เดวิด มอยส์ กุนซือคนใหม่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังหาตัวนักเตะมิดฟิลด์ระดับคุณภาพมาเล่นร่วมกับ ไมเคิล คาร์ริค อยู่ เพื่อสานต่อความสำเร็จจากเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
พวกเขาได้ยื่นข้อเสนอเป็นครั้งที่ 3 สำหรับ เชส ฟาเบรกาส ขณะเดียวกันก็มีข่าวกับทั้ง เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ, ลูก้า โมดริช และ มารูยาน เฟลไลนี่
และนี่ก็คือช่วงเวลาที่ใครๆ ต่างก็หวาดกลัวแผงมิดฟิลด์ของทีมปีศาจแดงเมื่อต้องมาเยือนโอลด์ แทรฟฟอร์ด เพราะเคยมี 5 สุดยอดนักเตะที่เคยบัญชาเกมในแดนกลางให้กับทีมอย่างช่ำชองมาก่อน
บ็อบบี้ ชาร์ลตัน (1956-1973)
นักเตะที่ครองสถิติถล่มประตูสูงสุดตลอดกาลทั้งกับสโมสร และทีมชาติ เซอร์ โรเบิร์ต "บ็อบบี้" ชาร์ลตัน ได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากในฐานะตำนานนักเตะตัวจริง เขาพังประตูไปทั้งหมด 249 ลูกอย่างน่าทึ่งให้กับสโมสร และที่พิเศษไปกว่านั้นมันมาจากการเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ด้วย
เขาเล่นได้ดีทั้ง 2 เท้า และมีสไตล์การยิงที่รุนแรง มิดฟิลด์ตัวรุกรายนี้ช่วยสมานบาดแผลให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่มิวนิคในปี 1958 ในช่วง 3 ปีท้ายของยุค 60 ชาร์ลตันช่วยให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกในปี 1965 และอีกครั้งในปี 1967 เขายังเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติอังกฤษชุดคว้าแชมป์โลกปี 1966 ด้วย และก็เป็นนักเตะผู้ดีรายที่ 2 ที่สามารถคว้ารางวัลบัลลง ดอร์ มาครองได้ นอกจากนั้นแล้วเขายังได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมพร้อมกับยิง 2 ประตูในนัดชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ ที่เอาชนะเบนฟิก้า 4 - 1 ในปี 1968 อีกด้วย ซึ่งตอนนั้นทีมปีศาจแดงก็ได้กลายเป็นสโมสรแรกจากอังกฤษที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้
ทุกวันนี้เขายังคงมาชมเกมเหย้าอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งมีชื่อเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของสโมสรมานาน 30 ปีแล้ว ชาร์ลตันได้รับรางวัลบุคคลทางด้านกีฬาผู้ทรงเกียรติจากบีบีซีมาครองในปี 2008 ด้วย
ลงเล่น 758
ประตู 249
ไบรอัน ร็อบสัน (1981-1994)
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1981 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้จ่ายค่าตัวอันเป็นสถิติของอังกฤษ 1.5 ล้านปอนด์เพื่อคว้าตัว ไบรอัน ร็อบสัน มาจากเวสต์ บรอมวิช อัลเบี้ยน
เขาเป็นคนที่ทุ่มเทเพื่อทีม ร็อบสันเคยทิ้งโอกาสเป็นนักเตะอังกฤษคนแรกที่สามารถทำแฮตทริคได้ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ เมื่อเขายอมให้ อาร์โนลด์ มูห์เรน ซึ่งเป็นตัวยิงจุดโทษของทีมเป็นคนยิงประตูไปในชัยชนะ 4 - 0 เหนือไบรท์ตัน นี่คือถ้วยแชมป์แรกของกัปตันมาร์เวล เขายังเป็นกัปตันทีมชาวอังกฤษคนแรกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้ชูถ้วยแชมป์ด้วย นับตั้งแต่ ชาร์ลี โรเบิร์ตส ในปี 1909 เขานำทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้อีกในฤดูกาล 1989-1990 ถือเป็นแชมป์แรกที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำได้กับสโมสรแห่งนี้ด้วย โดยร็อบสันได้ลงบัญชาเกมในแดนกลางร่วมกับ พอล อินซ์ และ นีล เว็บบ์
เดือนสิงหาคม 2011 ร็อบสันได้รับการโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมตลอดกาลของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากที่ทีมคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 19 มาครองได้ ถือเป็นรางวัลที่คู่ควรสำหรับกัปตันทีมแชมป์สมัยแรกของพรีเมียร์ ลีก ในฤดูกาล 1992-1993 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทีมปีศาจแดงทำลายสถิติคว้าแชมป์สูงสุดของลิเวอร์พูลได้ในเวลาต่อมา รวมทั้งเป็นการสิ้นสุดการรอคอยอันยาวนาน 26 ปีสำหรับแชมป์ลีกสูงสุดด้วย
ลงเล่น 345
ประตู 74
พอล อินซ์ (1989-1995)
พอล อินซ์ ได้ย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี 1989 เขาใช้เวลาไม่นานในการคว้าแชมป์ร่วมกับทีมปีศาจแดง เมื่อได้แชมป์เอฟเอ คัพ ในปีนั้นเอง เขาประสานงานร่วมกับ ไบรอัน ร็อบสัน และ นีล เว็บบ์ ในแดนกลาง อินซ์กลายเป็นส่วนสำคัญของทีมอยู่อีกหลายปี จากการย้ายเข้ามาของ เอริค คันโตน่า และย้ายออกของร็อบสัน ทำให้อินซ์มีบทบาทมากขึ้นกับเกมในแดนกลางของทีม เขามีการเข้าปะทะที่หนักหน่วง จ่ายบอลอย่างชาญฉลาด และยิงด้วยความรุนแรง ตามสถิติแล้วเขาอาจจะไม่ใช่จอมถล่มประตู แต่เขาก็มีอิทธิพลต่อทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเวลานั้นเป็นอย่างมากเมื่อได้เล่นร่วมกับ ไบรอัน แม็คแคลร์ และ รอย คีน ในเวลาต่อมา
อินซ์ถูกขายให้กับอินเตอร์ มิลาน ด้วยค่าตัว 7.5 ล้านปอนด์ จากนั้นเขาก็ย้ายมาเล่นให้กับลิเวอร์พูล, มิดเดิ้ลสโบรช์ และวูล์ฟแฮมป์ตัน ก่อนจะแขวนสตั๊ดในปี 2007 หลังจากรับบทเป็นผู้เล่น และผู้จัดการทีมให้กับแม็คเคิลสฟิลด์ ทาวน์ ไปพร้อมกัน
อินซ์สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการฟุตบอล เมื่อได้เป็นนักเตะผิวสีคนแรกที่สวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติอังกฤษ นอกจากนั้นก็ยังเป็นผู้จัดการทีมผิวสีคนแรกที่ได้คุมทีมในพรีเมียร์ ลีก อีกด้วย จากการกุมบังเหียนแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในปี 2008 ตอนนี้เขาทำงานเป็นกุนซือให้กับแบล็คพูลอยู่ โดยเขาเข้ารับตำแหน่งนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ลงเล่น 281
ประตู 29
รอย คีน (1993-2005)
เขาย้ายมาจากน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ด้วยค่าตัวเป็นสถิติของอังกฤษ 3.75 ล้านปอนด์ในปี 1993 รอย คีน ถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่ฮอตที่สุดในวงการฟุตบอลอังกฤษเวลานั้น เขาเริ่มได้ลงเล่นกับทีมเนื่องจาก ไบรอัน ร็อบสัน เริ่มโรยราลงไป แถมยังมีอาการบาดเจ็บรบกวน คีนยิงคนเดียว 2 ประตูในนัดเปิดตัวพบกับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด จากนั้นก็ยึดตำแหน่งในทีมชุดใหญ่มาโดยตลอดด้วยสไตล์การเล่นที่ทุ่มเทเพื่อทีม และกัดไม่ปล่อย บางทีเขาก็เล่นรุนแรงเกินไป ดูได้จากการครองสถิติร่วมการโดนใบแดงสูงที่สุดในพรีเมียร์ ลีก 13 ใบ รวมถึงการย่ำเข่า อัลฟ์-อิงเก้ ฮาแลนด์ อันโด่งดังในปี 2001 ด้วย
คีนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมแทนที่ เอริค คันโตน่า หลังจากดาวเตะชาวฝรั่งเศสประกาศแขวนสตั๊ดในปี 1997 และฟอร์มการเล่นของคีนก็พุ่งสูงขึ้นหลังจากนั้น หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าจดจำที่สุดก็คือในเกมรอบรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก พบกับยูเวนตุสในปี 1999 ที่เขางัดฟอร์มอันสุดยอดที่สุดออกมา คีนช่วยยิงประตูตีตื้น 1 - 2 ก่อนปลุกเร้าให้ทีมคัมแบ็คกลับมาเป็นฝ่ายชนะ น่าเสียดายที่เขาต้องมาถูกจดชื่อทำให้ไม่สามารถลงสนามในนัดชิงชนะเลิศที่คัมป์ นู พบกับบาเยิร์น มิวนิค ได้
เขาอำลาทีมปีศาจแดงไปในปี 2005 พร้อมกับเป็นที่จดจำในฐานะนักเตะพันธุ์ดุผู้เป็นคู่ปรับตัวฉกาจของ ปาทริค วิเอร่า กัปตันทีมอาร์เซนอล นี่คือหนึ่งในนักเตะที่ดุดันที่สุดที่เคยสวมเสื้อสีแดงของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ลงเล่น 480
ประตู 51
พอล สโคลส์ (1993-2011 / 2012-2013)
ซีเนอดีน ซีดาน เคยเอ่ยปากยกย่องนักเตะจากซัลฟอร์ดรายนี้ว่าเป็นมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา
"เขาแทบจะไร้เทียมทานในสิ่งที่เขาทำ ผมไม่เคยเบื่อที่จะดูเขาลงเล่นเลย คุณคงไม่สามารถหานักฟุตบอลที่สมบูรณ์แบบได้ง่ายๆ แต่สโคลส์ก็ถือว่าใกล้เคียงกับสิ่งที่คุณกำลังมองหาอยู่"
"สิ่งหนึ่งที่ผมเสียใจมาจนทุกวันนี้ก็คือผมยังไม่มีโอกาสได้เล่นทีมเดียวกับเขาเลยตลอดอาชีพค้าแข้งของผม"
หลังจากที่แขวนสตั๊ดในครั้งแรก ทุกคนต่างยกย่องสโคลส์ในฐานะนักเตะมากพรสวรรค์ เขามีการจ่ายบอลที่ดี มีเทคนิคที่ยอดเยี่ยม มีวิสัยทัศน์ การยิงประตูที่ดี และการควบคุมจังหวะเกมอันชาญฉลาดอีกด้วย ช่วงแรกที่เขาเลิกเล่นไปนั้นส่งผลต่อเกมในแดนกลางของทีมทันที สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่ได้เป็นนักเตะที่สมบูรณ์แบบตรงตามทุกตัวอักษรก็คือเขามักจะเข้าปะทะแบบไม่ระมัดระวัง ซึ่งทำให้เขาได้รับใบเหลืองอยู่บ่อยครั้งนั่นเอง
ลงเล่น 718
ประตู 155
