สนาม เดอะ วัลลี่ย์, อังกฤษ
ผู้ชมในสนาม 26,730 คน
รายการ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
เวลา 22.00 น. วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2548
ผู้ตัดสิน ไมค์ ไรลี่ย์
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มต้นยุคใหม่หลังจากรอย คีน อำลาทีมไปด้วยการเอาชนะชาร์ลตัน แอธเลติก ไปได้อย่างสบายด้วยสกอร์ 3-1 ที่สนามเดอะ วัลลี่ย์ เมื่อวันเสาร์
กองเชียร์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงดูมีชีวิตชีวาแม้ว่ากัปตันทีมคนสำคัญจะเพิ่งอำลาทีมไปอย่างถาวร แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดยั้งพวกเขาจากความสนุกสนานกับชัยชนะที่ได้มาอย่างยากลำบากในนัดนี้
ทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ครองเกมในครึ่งแรกเอาไว้ได้หมด และขึ้นนำอยู่ 1-0 ในช่วงพักครึ่งจากการทำประตูของอลัน สมิธ ในนาทีที่ 37 แต่ชาร์ลตัน กลับมาต่อสู้อย่างแข็งแกร่งในครึ่งหลัง และก็เป็นดาร์เรน อัมโบรส ที่ทำประตูตีเสมอได้สำเร็จ แต่ 2 ประตูจากรุด ฟาน นิสเตลรอย ก็ช่วยให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้า 3 คะแนนเต็มในเกมนี้ได้สำเร็จ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใช้นักเตะทั้งตัวจริงและตัวสำรองเป็นชุดเดียวกันกับในนัดที่เอาชนะเชลซี จ่าฝูงและแชมป์เก่าได้ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว
ชาร์ลตัน แอธเลติก ไม่สามารถใช้งานโจนาธาน สเป็คเตอร์ กองหลังได้เนื่องจากมีข้อกำหนดเอาไว้ในสัญญายืมตัวจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นระยะเวลา 1 ฤดูกาล ซึ่งระบุเอาไว้ว่าเขาไม่สามารถลงเล่นในเกมที่พบกับปิศาจแดง ได้
ชาร์ลตัน ไม่เพียงแต่กำลังพยายามเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้ได้เป็นครั้งแรกในพรีเมียร์ชิพ แต่ชัยชนะในนัดนี้จะทำให้พวกเขามีสถิติเริ่มต้นฤดูกาลในลีกที่ดีที่สุดในรอบ 16 ปี
มันเป็นวันที่อากาศปลอดโปร่ง สดใส แต่หนาวเย็นเล็กน้อยในทางตอนใต้ของกรุงลอนดอนเมื่อทั้ง 2 ทีมก้าวลงสู่สนาม โดยชาร์ลตัน สวมชุดเจ้าบ้านสีแดงและขาวตามปกติ ในขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ในชุดทีมเยือนสีน้ำเงินล้วน
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มต้นเกมโดยมีแฟนบอลของพวกเขาส่งเสียงเชียร์อยู่บนอัฒจันทร์ทางด้านหลัง และก็เป็นปิศาจแดง ที่เปิดฉากบุกโจมตีทันที จากการประสานงานกันของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ และจอห์น โอเชีย ทำให้เวย์น รูนี่ย์ ได้โอกาสทำประตู หลังจากนั้นไม่นานก็เป็นโรนัลโด้ ที่ได้หลุดไปแต่ลูกยิงไกลของเขาลอยข้ามคานออกไปไกล
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดเกมกันได้อย่างไหลลื่น แต่โชคไม่ดีที่ไม่สามารถทำประตูขึ้นนำได้ในช่วง 11 นาทีแรก โอกาสแรกเป็นของรุด ฟาน นิสเตลรอย ที่ได้หลุดเดี่ยว ก่อนจะดึงบอลหลบสเตฟาน แอนเดอร์เซ่น ผู้รักษาประตูชาร์ลตัน แล้วยิงมุมแคบทางด้านซ้าย แต่ถูกสกัดออกมาจากเส้นประตูได้โดยเฮอร์มันน์ ไฮรดาร์สสัน และหลังจากนั้นอีกไม่กี่นาทีก็เป็นรูนี่ย์ ที่ไหลบอลออกไปทางขวาให้เวส บราวน์ ก่อนที่จะส่งกลับไปให้รูนี่ย์ ได้โอกาสซัดเต็มข้อ แต่บอลลอยข้ามคานออกไปอย่างน่าเสียดาย
เกมผ่านไป 20 นาที ดาร์เรน เบนท์ หาที่ว่างได้ดีก่อนที่จะได้ยิงด้วยเท้าซ้ายจากลูกเปิดยาวของแดนนี่ เมอร์ฟี่ย์ อริเก่าของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ คว้าบอลเอาไว้ได้อย่างสบาย
ชาร์ลตัน ค่อยๆ กลับเข้าสู่เกมได้มากขึ้นทีละน้อย และในนาทีที่ 34 พวกเขาก็น่าจะได้ประตูแรกของเกม อลัน สมิธ เข้าไปสกัดราโดสติน คิชิเชฟ ล้มลงทำให้ชาร์ลตัน ได้ลูกฟรีคิกระยะไกล ทาลาล เอล คาร์คูริ ลองส่องไกล บอลแฉลบนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปเข้าทางเบนท์ ถือเป็นโอกาสงามในกรอบเขตโทษทางด้านขวา แต่เขากลับยิงออกข้างเสาไป
มันเป็นความผิดพลาดที่ชาร์ลตัน จะต้องเสียใจในภายหลัง หลังจากนั้น 3 นาทีพวกเขาก็เสียประตูไปก่อนจนได้ มันเป็นการประสานงานกันอย่างยอดเยี่ยมของนักเตะ 4 คนที่สามารถเปิดช่องในแผงหลังของชาร์ลตัน ได้สำเร็จ เริ่มจากโรนัลโด้ ได้บอลทางด้านซ้ายก่อนจะไหลเข้ากลางให้กับรูนี่ย์ ที่พาบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนจะจ่ายต่อไปที่เสาสอง แม้ว่าดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ จะถลำไปแล้ว แต่ก็กลับตัวมาได้ทันแล้วไหลย้อนกับไปให้สมิธ ที่เติมขึ้นมารออยู่บนกรอบเขตโทษกลางประตูพอดี สมิธ ซัดด้วยเท้าขวาในจังหวะแรกทันที บอลพุ่งเรียดเสียบมุมประตูเข้าไปตุงตาข่าย
มันเป็นประตูขึ้นนำที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สมควรได้จากการครองเกมที่เหนือกว่าในครึ่งแรกที่มีการเปิดเกมรุกแลกกันจากทั้ง 2 ทีม จบครึ่งแรกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกไปนำ 1-0
ชาร์ลตัน เริ่มต้นครึ่งหลังได้ดีทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องถอยไปตั้งรับในแดนตัวเอง เดนนิส รอมเมดาห์ล ได้โอกาสงามที่จะทำประตูตีเสมอจากลูกยิงในกรอบเขตโทษ แต่ฟาน เดอร์ ซาร์ ยังทำได้ดีสามารถปัดออกหลังไปได้
รูนี่ย์ โชว์ลีลาครองบอลอย่างสุดยอดในนาทีที่ 57 ก่อนที่จะมีที่ว่างได้โอกาสยิง แอนเดอร์เซ่น ดูเหมือนจะต้องเสียประตูที่ 2 ของเกมนี้ในจังหวะนี้แล้ว แต่ดาวยิงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับยิงออกข้างเสาไปเพียงนิดเดียว
ชาร์ลตัน เติมเกมรุกมากขึ้นในนาทีที่ 63 โดยเปลี่ยนตัวเอาเฌโรม โทมัส ลงมาแทนที่ของรอมเมดาห์ล
กองเชียร์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เดินทางมาด้วยยังส่งเสียงกันอย่างเต็มที่ ไม่แปลกใจที่มีเสียงร้องถึงรอย คีน และก็มีเสียงร้องถึงจอร์จ เบสต์ ที่ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีกด้วย
แฟนบอลชาร์ลตัน มาได้เฮในนาทีที่ 65 เมื่อดาร์เรน อัมโบรส ทำชิ่งกับเบนท์ ก่อนจะได้โอกาสซัดด้วยเท้าซ้ายเต็มข้อ บอลลอยข้ามมือฟาน เดอร์ ซาร์ เข้าไปตุงตาข่าย ทำให้ชาร์ลตัน ตามตีเสมอเป็น 1-1 เจ้าบ้านทำเกมได้ดีกว่าตั้งแต่เริ่มต้นครึ่งหลัง ดังนั้นประตูตีเสมอก็ไม่ได้ถือว่าเหนือความคาดหมาย
แต่กองเชียร์เจ้าถิ่นก็เฮได้ไม่นาน เมื่อหลังจากนั้นอีก 5 นาที ปิศาจแดงโต้ตอบประตูตีเสมอของทีมดาบอัศวินอย่างทันควัน รูนี่ย์ โชว์ลีลาลากเลื้อยตะลุยจากกลางสนามหลบนักเตะชาร์ลตัน คนแล้วคนเล่าเข้าไปในกรอบเขตโทษทางด้านซ้าย ก่อนจะงัดบอลโด่งด้วยเท้าขวาเข้ากลางไปให้กับฟาน นิสเตลรอย ที่พักบอลด้วยอกแล้วกลับตัวยิงเต็มเท้าขวา บอลพุ่งเสียบมุมบนเข้าไปตุงตาข่ายอย่างงดงาม ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขึ้นนำอีกครั้งเป็น 2-1
ในนาทีที่ 75 โรนัลโด้ ถูกเปลี่ยนตัวออกให้ปาร์ค จีซุง ลงมาเล่นแทน และอีก 2 นาทีถัดมาชาร์ลตัน ก็มีการเปลี่ยนตัวอีกครั้งให้เจย์ โบธรอยด์ ลงมาเล่นแทนคิชิเชฟ
และก่อนหมดเวลา 5 นาที แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็มาได้ประตูที่ 3 จากดาวยิงดัตช์แมนคนเดิม ฟาน นิสเตลรอย กัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้าไปแย่งบอลมาจากลุค ยัง กัปตันทีมชาร์ลตัน แล้วลากต่อไปที่หน้ากรอบเขตโทษก่อนจะยิงเต็มข้อด้วยเท้าขวาระยะ 20 หลา บอลลอดขาไฮรดาร์สสัน แล้วลอดตัวแอนเดอร์เซ่น เข้าประตูไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขึ้นนำห่างเป็น 3-1 พร้อมกับทำให้ฟาน นิสเตลรอย ขึ้นไปเป็นดาวซัลโวสูงสุดของพรีเมียร์ชิพ ร่วมกับแฟรงค์ แลมพาร์ด ของเชลซี โดยทำได้คนละ 10 ประตูในพรีเมียร์ชิพ
หลังจากทำประตูที่ 2 ของตัวเองในนัดนี้แล้ว ฟาน นิสเตลรอย ก็ถูกเปลี่ยนตัวออกให้คีแรน ริชาร์ดสัน ลงมาแทน และในนาทีที่ 89 ก็เป็นฟิลลิป บาร์ดสลี่ย์ ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนเฟล็ตเชอร์ หมดเวลาการแข่งขันแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกมาเอาชนะชาร์ลตัน ที่สนามเดอะ วัลลี่ย์ ได้อีกครั้งด้วยสกอร์ 3-1 ทำให้ตอนนี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขึ้นไปอยู่อันดับที่ 3 มี 24 คะแนนจากการลงเล่น 12 นัด (บรรยายเกมโดย DaKinG)
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
ชาร์ลตัน แอธเลติก
สเตฟาน แอนเดอร์เซ่น 16
ทาลาล เอล คาร์คูริ 15
เฮอร์มันน์ ไฮรดาร์สสัน 3
คริส พาวเวลล์ 22
ลุค ยัง 2
ดาร์เรน อัมโบรส 18 (

ราโดสติน คิชิเชฟ 7
แดนนี่ เมอร์ฟี่ย์ 13
อเล็กเซ สเมอร์ติน 25
ดาร์เรน เบนท์ 10
เดนนิส รอมเมดาห์ล 19
สำรอง
โธมัส มิห์เร่ 36
คริส เพอร์รี่ 5
ไบรอัน ฮิวจ์ส 20
เจย์ โบธรอยด์ 38


เฌโรม โธมัส 14


แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 19
เวส บราวน์ 6 (

ริโอ เฟอร์ดินานด์ 5
จอห์น โอเชีย 22
มิเกล ซิลแวสตร์ 27
ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 24
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 7
พอล สโคลส์ 18
เวย์น รูนี่ย์ 8
อลัน สมิธ 14 (

รุด ฟาน นิสเตลรอย 10 (


สำรอง
ทิม โฮเวิร์ด 1
ฟิลลิป บาร์ดสลี่ย์ 26


คีแรน ริชาร์ดสัน 23


ปาร์ค จีซุง 13


จูเซ็ปเป้ รอสซี่ 42
สถิติของเกม
ชาร์ลตัน แอธเลติก ยิงประตู 18 ครั้ง เข้ากรอบ 11 ครั้ง, ฟาวล์ 13, เตะมุม 4, ล้ำหน้า 2, การครองบอล 43%
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยิงประตู 13 ครั้ง เข้ากรอบ 7, ฟาวล์ 11, เตะมุม 3, ล้ำหน้า 4, ใบเหลือง 2, การครองบอล 57%
คะแนนความสามารถ
ชาร์ลตัน แอธเลติก สเตฟาน แอนเดอร์เซ่น 5, ลุค ยัง 7, ทาลาล เอล คาร์คูริ 6, เฮอร์มันน์ ไฮรดาร์สสัน 8, คริส พาวเวลล์ 5, แดนนี่ เมอร์ฟี่ย์ 6, ราโดสติน คิชิเชฟ 5, อเล็กเซ สเมอร์ติน 6, ดาร์เรน อัมโบรส 9, เดนนิส รอมเมดาห์ล 6, ดาร์เรน เบนท์ 6, เฌโรม โธมัส (สำรอง) 6, เจย์ โบธรอยด์ (สำรอง) 5
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 6, จอห์น โอเชีย 5, ริโอ เฟอร์ดินานด์ 7, เวส บราวน์ 7, มิเกล ซิลแวสตร์ 6, ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 6, พอล สโคลส์ 7, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 6, อลัน สมิธ 8, เวย์น รูนี่ย์ 8, รุด ฟาน นิสเตลรอย 9, ฟิลลิป บาร์ดสลี่ย์ (สำรอง) 6, คีแรน ริชาร์ดสัน (สำรอง) 6, ปาร์ค จีซุง (สำรอง) 6
แมน ออฟ เดอะ แมตช์ รุด ฟาน นิสเตลรอย (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)