รายการ เอฟเอ คัพ รองรองชนะเลิศ
เวลา 20.00 น. วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2548
ผู้ชมในสนาม 69,280 คน
ผู้ตัดสิน ไมค์ ไรลี่ย์ (เวสต์ ยอร์คเชียร์)
ย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคม 2004 เพียง 1 สัปดาห์ก่อนการแข่งขันพรีเมียร์ชิพ ฤดูกาลนี้จะเริ่มขึ้น สนามมิลเลนเนียม สเตเดี้ยม ในคาร์ดิฟฟ์ เป็นสนามแข่งขัน ที่อาร์เซนอล เป็นคู่ต่อสู้ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แน่นอนว่านั่นคือเกมแชริตี้ ชิลด์ และทั้งสองทีมนี้จะต้องมาพบกันอีกครั้งที่สนามแห่งเดิมในเกมเอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ในวันที่ 21 พฤษภาคม
ไอ้ปืนใหญ่ได้โล่รางวัลไปในเดือนสิงหาคม จากชัยชนะ 3-1 แต่ขณะนี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีโอกาสล้างแค้นหลังจากเอาชนะ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ได้ 4-1 ในรอบรองชนะเลิศ ที่คาร์ดิฟฟ์

อาร์เซนอล ผ่านเข้ารอบที่สนามเดียวกันเมื่อวันเสาร์จากการเอาชนะแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ของมาร์ค ฮิวจ์ส ได้ 3-0 มันเป็นการเข้าชิงเอฟเอ คัพ ครั้งที่ 17 ของไอ้ปืนใหญ่ ซึ่งเป็นสถิติเท่ากันกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากเอาชนะเจ้าสาลิกาดง ได้
รุด ฟาน นิสเตลรอย ทำได้ 2 ประตู ในขณะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็สามารถทำประตูได้เช่นเดียวกัน
รายชื่อผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดูเหมือนจะเป็นชุดที่แข็งแกร่งเต็มที่เมื่อมีการประกาศออกมาในช่วงเตรียมตัวก่อนเริ่มแข่งขัน สิ่งที่น่าตกใจอย่างเดียวในรายชื่อ 11 คนแรกก็คือ การมีชื่อของ เวส บราวน์ แทนที่ของ มิเกล ซิลแวสตร์ ซึ่งเป็นเพียงแค่ตัวสำรอง ขณะที่ไรอัน กิ๊กส์ และดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ หายจากอาการบาดเจ็บกลับมา ก็มีชื่อในม้านั่งสำรอง
นิคกี้ บัตต์ อดีตกองกลางของปีศาจแดง มีชื่ออยู่ในรายชื่อ 11 คนแรกของนิวคาสเซิล และอลัน เชียร์เรอร์ ซึ่งลงเล่นเป็นฤดูกาลรองสุดท้ายที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค เป็นกัปตันทีมของเจ้าสาลิกงดง ในขณะที่ รอย คีน กลับมาทำหน้าที่ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกครั้ง หลังจากไม่ได้ลงเล่นในการไปเยือน นอริช เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
บรรยากาศภายในสนามดีมากในช่วงก่อนที่จะลงสนาม แฟนบอลทั้ง 2 ทีม โดยที่นิวคาสเซิล อยู่ฝั่งนอร์ธสแตนด์ และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอยู่ฝั่งเซาธ์ แฟนของทั้งสองทีมส่งเสียงอึกทึกครึกโครมเมื่อเพลงประจำแต่ละสโมสรบรรเลงขึ้น
ฝนได้ตกลงมาอย่างต่อเนื่องจากท้องฟ้ามืดครึ้มเมื่อเกมเริ่มขึ้น โดยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกไปทางฝั่งนอร์ธสแตนด์ของ มิลเลนเนียม สเตเดี้ยม
เกมเริ่มขึ้นอย่างดุเดือด โดยปีศาจแดง มีโอกาสที่ดีกว่าในช่วงแรก รุด ฟาน นิสเตลรอย หมุนตัวได้ดีเพื่อทำประตู แต่ เชย์ กิฟเว่น สามารถคว้าบอลเอาไว้ได้ไม่ยาก
หลังจากนั้นไม่กี่นาที แฟนปีศาจแดงคิดว่าทีมของพวกเขาจะได้ลูกจุดโทษ หลังจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ล้มลงในกรอบเขตโทษหลังจากถูกเข้าปะทะโดยกองหลังสาลิกาดง สตีเว่น เทย์เลอร์ แต่ความจริงก็คือผู้ตัดสิน ไมค์ ไรลี่ย์ ทำสัญญาณให้ลูกฟรีคิกกับ นิวคาสเซิล และให้ใบเหลืองกับผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป
การเล่นที่ฉลาดในนาทีที่ 9 เกือบจะทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ประตู เมื่อ แกรี่ นวิลล์ โยนบอลอย่างยอดเยี่ยมจากฝั่งขวา ซึ่งทั้ง เวย์น รูนี่ย์ และ รุด พยายามเข้าเล่นบอลแต่พลาดไป การได้บอลในจังหวะนี้น่าจะทำให้บอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้ไม่ยาก
ปีศาจแดงบุกอย่างสนุกสนานอยู่ฝ่ายเดียว และความพยายามก็เป็นผลสำเร็จ เมื่อในนาทีที่ 19 พวกเขาได้ประตูขึ้นนำ โรนัลโด้ โยนบอลจากทางขวา และ รุด ยิงในจังหวะแรก บอลพุ่งผ่านมือ กิฟเว่น และเข้าไปทางมุมล่างของประตู มันเป็นประตูแรกของกองหน้าชาวดัตช์ ตั้งแต่กลับมาเมื่อเดืนที่แล้วจากการบาดเจ็บที่ยาวนาน

นาทีต่อมาควินตัน ฟอร์จูน เกือบจะทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นำห่างโดยการยิงด้วยเท้าซ้าย จากการโยนบอลทางซ้ายของ กาเบรียล ไฮน์เซ่ บอลพุ่งข้ามคานไปเพียงนิดเดียว
นิวคาสเซิล ยังคงหาบอลไม่เจอ เชียร์เรอร์ และ โชล่า วิ่งไล่บอลทุกจังหวะที่อยู่ใกล้ เกมผ่านไป 35 นาที แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกือบได้ประตูนำห่างอีกครั้ง หลังจาก รูนี่ย์ ยิงจากนอกกรอบเขตโทษ กิฟเว่น ป้องกันไว้ได้ แต่ไม่สามารถคว้าติดมือ และบอลไหลออกไปทำให้ปีศาจแดง ได้ลูกเตะมุม
ฝนยังคงตกต่อไปเมื่อเวลาเข้าใกล้ช่วงพักครึ่ง แต่มันไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นของผู้เล่นหรือแฟนบอลลดลงเลย ในเกมเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ครั้งนี้
ก่อนจบครึ่งแรกไม่กี่วินาที แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกนำห่างไปอีกด้วยประตูที่สวยงามอีกครั้ง โรนัลโด้ โยนบอลจากทางขวา และ พอล สโคลส์ วิ่งเข้ามาได้ถูกที่ถูกเวลา โหม่งบอลอย่างรวดเร็วผ่านมือผู้รักษาประตู นิวคาสเซิล เข้าไป
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งออกนำไป 2 ประตูและเล่นได้เหนือกว่า เข้าห้องพักไปด้วยความรู้สึกพอใจกับผลงานการเล่นในครึ่งแรก
ผู้จัดการทีมเจ้าสาลิกาดงแกรม ซูเนสส์ ทำการเปลี่ยนตัวในช่วงพักครึ่ง แอมดี้ เฟย์ ถูกแทนที่โดย เอ็นซอคเบีย ซึ่งยิงประตูให้ทีมสำรองนิวคาสเซิล ในการพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อไม่นานมานี้ ในขณะที่ บาบายาโร่ ถูกถอดออก โดยมี โอไบรอัน ลงไปเล่นแทน
นิวคาสเซิล เริ่มครึ่งหลังอย่างมีชีวิตชีวา และแฟนบอลของพวกเขารู้สึกได้ว่าจะมีการสู้กลับเกิดขึ้น แต่เมื่อผ่านไป 12 นาที แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โต้ตอบเจ้าสาลิกาดงด้วยวิธีการที่ดีที่สุด นั่นคือยิงอีก 1 ประตู
เริ่มจากการจ่ายบอลพลาดของ บัตต์ ที่กลางสนาม และการผ่านบอลต่ออีกไม่กี่ครั้งก็เป็นผลให้บอลไปอยู่ที่ก้นตาข่ายของทีมเขาเอง โดยรุด ฟาน นิสเตลรอย ทำประตูที่ 2 ของตัวเองได้ในเกมนี้ จากการผ่านบอลของ สโคลส์
หลังจากนั้นเพียงนาทีเดียว นิวคาสเซิล มายิงประตูคืนได้ 1 ประตูจาก โชล่า
รุด ฟาน นิสเตลรอย เกือบจะทำแฮททริก สำเร็จในนาทีที่ 69 ด้วยการชิบบอลข้ามตัวผู้รักษาประตู แต่ กิฟเว่น ยังถอยไปปัดข้ามคานออกไปได้ทัน
ทั้ง สโคลส์ และ รูนี่ย์ ทำให้ กิฟเว่น ต้องออกแรงเซฟจากการยิงฟรีคิกที่พุ่งต่ำและแรง

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มกลับมาคุมเกมได้อีกครั้งเมื่อเกมเข้าสู่ช่วงท้าย และในนาทีที่ 76 โรนัลโด้ ยิงประตูที่ 4 ให้กับทีม ทำให้โอกาสของ นิวคาสเซิล หมดลง และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เปลี่ยนตัวทีเดียว 3 คนรวด หลังการทำประตูที่ 4 และหลังจบเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ในเดือนหน้าได้อย่างสบาย (คำบรรยายโดย DaKinG)
รายชื่อนักเตะของทั้งสองทีม
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
เชย์ กิฟเว่น 1
เซเลสติน บาบายาโร่ 33
ฌอง อแล็ง บูมซง 6
สตีเฟ่น คาร์ 2
นิคกี้ บัตต์ 4
แอมดี้ เฟย์ 15
เจมส์ มิลเนอร์ 16 (

โลร็องต์ โรแบร์ 32 (

สตีเว่น เทย์เลอร์ 27
โชล่า อาเมโอบี้ 23 (

อลัน เชียร์เรอร์ 9
สำรอง
สตีเฟ่น ฮาร์เปอร์ 12
แอนดี้ โอไบรอัน 5


ดาร์เรน อัมโบรเซ่ 17
ชาร์เลส เอ็นซอคเบีย 14


แพทริค ไคล์เวิร์ต 11


แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ทิม โฮเวิร์ด 1
เวส บราวน์ 6 (

ริโอ เฟอร์ดินานด์ 5
กาเบรียล ไฮน์เซ่ 4 (

แกรี่ เนวิลล์ 2
ควินตัน ฟอร์จูน 25
รอย คีน 16
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 7 (


พอล สโคลส์ 18 (

เวย์น รูนี่ย์ 8
รุด ฟาน นิสเตลรอย 10 (

สำรอง
รอย คาร์โรลล์ 13
มิเกล ซิลแวสตร์ 27
ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 24


ไรอัน กิ๊กส์ 11


อลัน สมิธ 14


สถิติของเกม
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ยิงประตู 1, ลูกยิงตรงกรอบ 2, ลูกยิงหลุดกรอบ 5, เตะมุม 5, ฟาวล์ 26, ล้ำหน้า 2, ใบเหลือง 2, การครองบอล 43.3%
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยิงประตู 4, ลูกยิงตรงกรอบ 10, ลูกยิงหลุดกรอบ 5, เตะมุม 7, ฟาวล์ 26, ใบเหลือง 3, การครองบอล 56.7%
คะแนนความสามารถ
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เชย์ กิฟเว่น 7, สตีเฟ่น คาร์ 6, ฌอง อแล็ง บูมซง 7, สตีเว่น เทย์เลอร์ 6, เซเลสติน บาบายาโร่ 5, นิคกี้ บัตต์ 4, แอมดี้ เฟย์ 5, เจมส์ มิลเนอร์ 6, โลร็องต์ โรแบร์ 5, โชล่า อาเมโอบี้ 6, อลัน เชียร์เรอร์ 6, แอนดี้ โอไบรอัน (สำรอง) 5, แพทริค ไคล์เวิร์ต (สำรอง) 5, ชาร์เลส เอ็นซอคเบีย (สำรอง) 6
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทิม โฮเวิร์ด 6, แกรี่ เนวิลล์ 7, กาเบรียล ไฮน์เซ่ 7, ริโอ เฟอร์ดินานด์ 7, เวส บราวน์ 6, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 8, รอย คีน 8, พอล สโคลส์ 7, ควินตัน ฟอร์จูน 7, เวย์น รูนี่ย์ 8, รุด ฟาน นิสเตลรอย 9, ไรอัน กิ๊กส์ (สำรอง) 6, อลัน สมิธ (สำรอง) 6, ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ (สำรอง) 6