โดย formen » เสาร์ พ.ย. 11, 2017 22:54
อ่านจากคอลัมนิสต์
คนกลัว "แพ้'" มากกว่าอยาก "ชนะ"
ผู้เชี่ยวชาญทางสถิติปั๊มตัวเลขออกมาตีแผ่ว่า หากอัตราการทะลวงตาข่ายของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังร้อนแรงแบบที่ผ่านมาสิบเอ็ดเกมแล้ว เมื่อถึงสิ้นสุดซีซั่นทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะจารึกหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยการยิงได้ถึง 133 ลูก
ใช่ครับ นั่นเป็นการคาดเดาและเป็นการอาศัยหลักทางคณิตศาสตร์มาวิเคราะห์
ภายใต้ความมืดของท้องฟ้า แสงสปอตไลต์ที่สาดส่องลงผืนหญ้าที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ทำให้เห็นร่างนักเตะชุดน้ำเงินกับแดงวิ่งไล่กวดลูกหนังลูกเดียวท่ามกลางเสียงกรีดร้องจากสิ่งมีชีวิตร่วมสี่หมื่น เป็นเกมที่สนุกพอประมาณ เป็นเกมที่ตื่นเต้นพอใช้ได้
"ผมไม่สนใจสถิติพวกนั้นหรอก ผมรู้แต่ว่าที่ผมดูจากข้างสนาม รอมมีโอกาสทำประตูได้แต่โดนเซฟ เขาเล่นได้ดีตามสายตาของผม" คนที่พูดประโยคนี้ก็เป็นคนที่คุณก็รู้ว่าใคร เขาออกมาปกป้องลูกน้องตัวเองหลังจากมีนักข่าวชูมือถามถึงอีกเกมที่หัวหอกเจ้าของค่าหัว 75 ล้านปอนด์ไม่เป็นโล้เป็นพาย โดยไม่มีโอกาสได้สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษเชลซีเลย
ไม่ต้องพึ่งคอมพิวเตอร์ ใช้นิ้วนับก็รวมที่ได้สัมผัสบอล... 24 ครั้ง
ใครบางคนอาจอยากอุทาน "โอ้ววว พระเจ้า มีพัฒนาการเหมือนกันนะเรา เยอะกว่าวันแดงเดือด!!!"
หากใครที่ยักไหล่พลางบ้วนน้ำลายบอก "ไม่สนสถิติ" ก็เป็นคนที่วันแถลงข่าวก่อนเกมเพิ่งผายมือพูดใส่ไมโครโฟนเองว่า "คุณจะเขียนอะไรก็ได้แต่อย่าลืมตัวเลข 25 โทรฟี่ด้วย"
ถูกต้องครับ 25 แชมเปี้ยนเป็นจำนวนเกียรติยศที่โค้ชโปรตุกีสไขว่คว้าได้บนเส้นทางสายนี้
ถึงกระนั้น ความยียวนหรือการที่ชอบทำตัว "ว่าแต่เขา อิเหนาเอาซะเอง" ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้นาทีนี้นครแมนเชสเตอร์ฉาบด้วยสีฟ้าไปทั่วหรอก จากที่เคยเบียดแข่งกันชนิดหายใจรดต้นคอกลับมามีระยะห่างถึง 8 แต้ม แม้ยังไม่เข้าสู่เดือนสุดท้ายของหน้าปฏิทินเลย
นับแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีกมา ไม่มีหรอกครับที่จะมีซีซั่นไหนจ่าฝูงทิ้งทีมอันดับสองมากเท่านี้ อย่าลืมว่านี่ก็ยังเป็นปีที่เราต่างเชื่อว่าคงแย่งกันเข้มข้นที่สุด ดูการเสริมทัพ ดูจากการเติบโตขึ้นของทีมอย่างท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ตลอดจนถึงเป็นปีที่สองการคุมของมูรินโญ่ด้วย ซึ่งที่ผ่านมามักลงเอยด้วยการจูบถ้วย
ยังแน่ ยังเร็วไปที่จะฟันธง
หากก้อนตะกอนที่เกิดขึ้นที่ทุกคนเห็นก็คงหลีกเลี่ยงมิได้ต้องวิพากษ์ถึงกุนซือผู้มี "25 โทรฟี่" ติดสองบ่า เขาจะมีปรัชญาของตัวเองอย่างไรก็ช่าง เป็นสิทธิของคุณแต่ยิ่งเขายึดมั่น ยึดถือและไม่ปล่อยว่าง ก็ยิ่งจะสะท้อนถึงความต่างและความห่างจากคู่แข่งตลอดชาติผู้มีชื่อว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
สถิติ 10 ครั้งหลังสุดที่อดีตเทรนเนอร์เรอัล มาดริด พาทีมตัวเอง (รวมเชลซีภาคสอง) ด้วยบุกรังสโมสรท็อปซิกซ์ของประเทศสะกดได้อย่างน่าทุเรศทุรังยิ่ง : 10 เกม เสมอ 5 แพ้ 5 ยิงได้แค่ 1 ลูก!!!
ถ้านี่เป็นคริสตัล พาเลซ เป็นซันเดอร์แลนด์หรือเป็นฮัลล์ ซิตี้ ก็ว่าอย่าง
ผมเข้าใจว่าต่างยุค ต่างสมัย ผมก็ยังเชื่อว่าแฟนผีต้องลืมไปซะความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ตอน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ปกครอง ทว่านี่มันไม่ใช่แล้ว
1. มันไม่ใช่ผลงานของสโมสรที่มีโลโก้อสูรผู้อยากจะท้าชิงบัลลังก์ทุกปี
2. มันยิ่งไม่ใช่เร็กคอร์ดของหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ดีสุดของโลกยุคปัจจุบัน
"You are not special any more" กระหึ่มสแตมฟอร์ด บริดจ์ ช่วงท้ายๆ ของเกมเมื่อวันอาทิตย์ โดยที่กล้องทีวีก็แพนไปยังมูรินโญ่ที่ยืนจ้องมองเกมด้วยแววตาที่ศิโรราบให้แล้วต่อสกอร์
อืมมม คุณไม่ใช่ "สเปเชียล วัน" อีกต่อไป...
จะใช่ได้อย่างไรต่อสถิติเลวๆ เหมือนพวกทีมรองบ่อนแบบนั้น
ย้อนกลับไปวันที่เปิดโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เฉือนท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สำเร็จ 1-0 ก็ต้องอธิบายว่ามันเป็นความบังเอิญของการลงล็อกมากกว่าจะมาจากการซักซ้อม ลูกที่ ดาบิด เด เคอา เตะโด่งมาเข้าศีรษะ โรเมลู ลูกากู ก่อนบอลเด้งเข้าหา อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ย่อมไม่ได้เป็นสิ่งที่เตรียมเอาไว้ มันเป็นยุทธวิธีที่ถูกสั่งให้ทำบนสถานการณ์แบบนั้น ทั้งสภาพอากาศฝนตกตลอด ทั้งการต่อบอลก็โดนเกมเพรสเร็วของไก่เข้าบีบ
มาดูประตูของเชลซีซิครับ มันเหมือนการรีเพลย์เทปจากสัปดาห์ก่อนๆ หรือเปล่า
ลูกครอสจากฝั่งขวาจาก เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า เข้าไปกลางเขตโทษให้ อัลบาโร่ โมราต้า ปิดบัญชี นี่เป็นแอสซิตส์ลูกที่ 5 แล้วที่กองหลังสเปนส่งให้กองหน้าสเปน สูงสุดของลีกกว่าทุกๆ พาร์ตเนอร์ด้วย
นี่ต่างหากมาจากการฝึกซ้อมในแต่ละวัน เป็นหนึ่งในหมากที่ อันโตนิโอ คอนเต้ ตระหนักว่ายามที่ปีกสองฝั่งหรือวิงแบ็กสองข้างถูกประกบตายก็ต้องอาศัยการเติมขึ้นมาของสต็อปเปอร์
มูรินโญ่อาจเอาระบบกองหลังสามตัวมาใช้ แต่ความต่างคือปราการหลังจะยืนเรียงไลน์เดียวกันแทบไม่มีพาบอลไปข้างหน้าเลย
เอริก ไบยี่, คริส สมอลลิ่ง กับ ฟิล โจนส์ เหมือนถูกโซ่ตรวนว่าห้ามไปสูงเลย 40 หลาจากประตูตัวเอง โดยสิ่งนี้ก็เหมือนกับวันเจอสเปอร์สที่ผมได้เขียนไปแล้วว่าทั้ง โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ กับ แยน แฟร์ต็องเก้น ก็จะหาจังหวะเติมยามพื้นที่เปิด
อืมมม ระบบเดียวกันแต่รายละเอียดก็สะท้อนความเป็นมูรินโญ่เต็มๆ
ก็ยังมีคนชี้นำถึงฟอร์มการเล่นของผู้เล่นปีศาจบางคนที่ดร็อปลงโดยเฉพาะ เฮนริค มคิทาร์ยาน หลังเปิดซีซั่นฉูดฉาด ทว่าอย่าลืมด้วยว่าช่วงหลังโปรแกรมของทีมยากกว่าตอนต้น นอกจากนั้นผู้เล่นคุณสมบัติอย่าง "มคิ" ก็จะไปงัดของวิเศษออกมาได้อย่างไรเมื่อต้องอยู่ภายใต้แท็กติกน่าอึดอัด
พอมูรินโญ่งัดรถบัสไปวางที่แอนฟิลด์ เกมแดงเดือดน่าเอาตัวซุกใต้ผ้าห่มก็โดนด่า
พอเปิดหน้าบุกเยอะขึ้นหน่อย (แต่ยังระวังตามสไตล์) ก็มีจุดอ่อนโผล่ขึ้นมา เกมรับมีรูให้คู่แข่งเจาะ ขณะที่เกมรุกก็เหมือนเก้ๆ กังๆ กลายเป็นนักมวยที่เหมือนจะเดินบุกแต่ก็ไม่จู่โจมเต็มที่ ได้แค่แย็บแล้ววนไปบนเวที
ครับ บอลเอนเตอร์เทนล้มเหลวหรือไปไม่ถึงฝั่งฝันก็มี ตัวอย่างชัดเจนก็ลิเวอร์พูลของ เจอร์เก้น คล็อปป์ หรือหมุนเข็มนาฬิกากลับไปกลางทศวรรษ 90 ก็นิวคาสเซิ่ลยุค เควิน คีแกน
ปัญหาบนคิ้วที่ขมวดหากันของบรรดาเร้ด อาร์มี่ส์คือ ฤดูกาลนี้จาก 11 เกมเก็บไป 23 แต้ม ไม่เชิงว่าย่ำแย่ อย่างน้อยในรังก็กวาดชัยรวดเรียบเพียงแต่เพราะหนนี้มีทีมที่ดีกว่าพวกเขาแถมเป็นศัตรูร่วมเมือง เป็นทีมที่เคยโดนเหน็บแนมว่าเป็นพวก "Noisy Neighbour" (เพื่อนบ้านน่าหนวกหู) และตกใต้ร่มเงาเสมอมา
เหนืออื่นใด ทุกริ้วรอย ทุกรูขุมขน ทุกอณูของการรับชม
ตอนนี้บอลเป๊ปกำลังพีก ทั้งดูสนุก สวย และมีวิธีการเข้าทำมีรูปแบบชัดเจน ใช่ครับ - ทุกอย่างต่างจากบอลมูที่ผ่านมาเป็นภาพยนตร์คนละแนวเลย
ดูซิ ต้องเบ่งตาดู
แมนฯ ซิตี้ชุดนี้กับเพลานี้ นักเตะอย่าง นิโกลัส โอตาเมนดี้, จอห์น สโตนส์, ฟาเบียน เดล์ฟ, ราฮีม สเตอร์ลิง, ลีรอย ซาเน่ จนถึง เควิน เดอ บรอยน์ ราวกับว่าอยู่กับเป๊ปมาตั้งแต่อายุ 15 ขวบ ทุกคนต่างซึมซับ ปรับตัวและเข้าใจปรัชญาที่เจ้านายต้องการ
ใครจะเชื่อว่าทีมที่มีคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟที่เฟอะฟอะ ทำผิดพลาดบ่อยแบบนั้นจะอยู่กับทีมที่ครองฝูงแถมกวาดไปกระจุย 31 แต้มจาก 11 เกม
ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ เล่นเซนเตอร์ฮาล์ฟไม่ได้ ก็ทำได้ ฟิลิปป์ ลาห์ม ยืนมิดฟิลด์ตัวรับไม่ได้ ก็ทำได้
เออ...ทำไมเดลฟ์จะมาเป็นแบ็กซ้ายไม่ได้บ้าง!
แล้วอะไรบ้างที่มูรินโญ่ได้ปลูกสร้างกับทีมของเขาบนจำนวนเวลาที่ไล่เลี่ยกับเป๊ป??
คำตอบแรกที่เด้งขึ้นมาทันทีก็คือ มารูยาน เฟลไลนี่
ถ้ามูรินโญ่มักซื้อนักเตะรูปร่างสูงใหญ่ เป๊ปก็ขอเลือกไซส์มินิลงหน่อย สิ่งหนึ่งสลับคนสองคนไปอยู่คุมคนละฝั่งของเมืองก็คงจะไม่ได้สิ่งที่ปรากฏทุกสัปดาห์แน่นอน
ผมรู้ว่าความจริงสถิติของผีก็ห่วยมาก่อนแล้วแต่ไหนแต่ไรยามลงมาสแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยชนะแค่ 1 นับแต่ปี 2002 เป็นต้นมา
หากมันไม่ใช่แค่นัดนี้หรอก
จากหนังสือที่เขียนถึงมูรินโญ่โดยนักข่าวชาวกระทิงที่สนิทกับเจ้าตัวมากที่สุดเคยบรรยายเอาไว้ถึงกฎเหล็ก 7 ข้อถึงวิธีการเซตทีมของกุนซือปีศาจแดงคนปัจจุบันยามพาทีมลงทำศึกบิ๊กแมตช์
1. เกมจะชนะด้วยทีมใดก็ตามที่ทำผิดพลาดน้อยกว่า
2. ทีมที่ทำผิดพลาดเยอะกว่าก็มักจะทำให้อีกทีมได้เปรียบขึ้นมาทันที
3. ยิ่งถ้าออกนอกบ้านแทนที่จะพยายามครองบอลบุกให้เยอะกว่า สิ่งที่ควรทำคือบีบให้คู่แข่งพลาดต่างหาก
4. อย่าไปคิดเรื่องครองบอลเยอะเพราะยิ่งครองบอลจะยิ่งผิดพลาด
5. ใครที่มีบอลกับตัวเองจะยิ่งมีความกลัวตามมา
6. ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคืออย่าไปครองบอลเยอะ ก็จะลดข้อผิดพลาดได้เอง
7. จงจำไว้การไม่มีบอลก็จะทำให้ทีมได้เปรียบขึ้นเอง
อ่านครบเจ็ดข้อแล้วก็ยิ่งสะท้อนสิ่งที่เราพบเจอทีมของมูรินโญ่โดยเฉพาะพอยุคที่บาร์เซโลน่าแข็งแกร่งแทบไร้เทียมทานสมัยเป๊ปสร้างชื่อ ก็ยิ่งรู้สึกเฉยๆ ของการดูบอลจากแดงเดือดมาถึงเมื่อวันอาทิตย์
เพราะนี่คือคนที่ไม่อยากแพ้ไว้ก่อน โดยไม่ได้คำนึงว่าจะต้องชนะหรือเปล่า
ไก่ป่า