ตำนานภูกระดึง
ตำนานภูกระดึง มาจากคำว่า “ ภู ” + “ กระดึง ” คำว่า ภูหมายถึงภูเขาสูง ส่วนคำว่ากระดึง หมายถึง อุปกรณ์พื้นบ้านชนิดหนึ่ง ทำจากไม้หรือโลหะเอาไว้ผูกคอวัว หรือควายให้มีเสียงดังเวลาเดิน คล้ายกระดิ่ง ตามตำนานจริงๆ เล่าขานนานหลายชั่วคน บ้างก็ว่า เกิดจากมีชาวบ้านละแวกภูแห่งนี้ ยามที่ฟ้าใสแดดดี ไม่มีเมฆฝน จะแว่วได้ยินเสียงกระดิ่งมาจากภูสูงแห่งนี้ จึงเรียกกันว่า “ ภูกระดิ่ง ” บ้างก็ว่ามีเสียงกระดิ่ง เสียงระฆัง เหมือนราวกับวันพระวันโกน หรือว่ามีวัดมีโบสถ์ตั้งอยู่บนยอดเขา
ต่อมาคำว่า “ ภูกระดิ่ง ” อาจเพี้ยนเป็น “ ภูกระดึง ” ในที่สุด บางตำนานก็กล่าวว่า มีนายพรานหาญกล้าผู้หนึ่ง จากละแวกบ้านศรีฐาน ใกล้เชิงภู ได้เดินทางตามล่าแกะรอยกระทิงโทน ตามร่องรอยขึ้นไปบนยอดภูสูง ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด สิ่งที่นายพรานป่ารายนั้นได้พบ และต้องตะลึงงงด้วยความมหัศจรรย์คือ บนยอดเขาที่ราบเรียบกว้างใหญ่แห่งนี้ ประกอบไปด้วย ทุ่งหญ้า ป่าสน ธารน้ำไหลริน ผืนป่าและอากาศสดใสเย็นสบาย ผิดจากเบื้องล่าง นอกจากนี้ยังมี สัตว์ป่านานาชนิด เช่น ฝูงกระทิง กวาง เก้ง หมูป่า และสัตว์อื่นๆ หากินเป็นฝูงๆ มากมาย ที่สำคัญ สัตว์พวกนี้ ไม่กลัวคนแต่อย่างไร อันเนื่องจากจาก ไม่เคยเห็นคนมาก่อน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทำให้ภูกระดึงที่เคยถูกปิดบังไว้ กลับถูกเปิดเผยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สวนสวรรค์บนดินที่ถูกค้นพบโดยพรานป่านี้ ได้เลื่องลือกันไปทั่ว หากแต่สมัยก่อนการสื่อสารยังจำกัด การคมนาคมยังลำบาก จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม สมุหเทศาภิบาล ซึ่งดูแลหัวเมืองฝั่งอีสานได้รับรายงานเรื่องนี้ และส่งเรื่องเข้าส่วนกลางที่มหาดไทย หลังจากนั้นเวลาล่วงเลยมาอีก ยังไม่มีการดำเนินการอย่างไรกับภูกระดึง เพราะการคมนาคมห่างไกล สมัยนั้นรถไฟไปถึงแค่โคราช ป่าดงพญาไฟยังร้อนแรงด้วยไข้ป่า ส่วนสายเหนือรถไฟที่ขึ้นลำปาง และเชียงใหม่จอดสถานีที่ใกล้ที่สุด แค่ตะพานหิน ในจังหวัดพิจิตร เพชรบูรณ์ยังเป็นดงดิบ ที่จะเข้าถึงได้ก็ต้องล่องเรือผ่านลำน้ำป่าสัก เส้นทางถนนช่องสาริกา ลำนารายณ์ ขึ้นหล่มเก่า ยังไม่มีจนกว่าจะถึงสงครามโลก
ในสมัยนั้น หลวงวิจิตรคุณสารนายอำเภอวังสะพุง ได้ร่วมกับชาวบ้าน สร้างองค์พระพุทธรูปขึ้นบนลานหิน กลางทุ่งกว้างป่าสนบนยอดภูเมื่อปี ๒๔๖๓ แรกเริ่มเดิมที องค์พระที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน หลายตำบลนี้ยังไม่มีชื่อ แต่ต่อมาในปี ๒๕๒๖ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้บูรณะองค์พระและบริเวณลานหินโดยรอบ และพระราชทานนามพระพุทธรูปนี้ว่า “ พระพุทธเมตตา ” และบริเวณลานพระแห่งนี้ จะมีการประดับประดาด้วยกระดิ่งเล็ก ๆ และระฆังใบเขื่องหลายใบ เพื่อให้เข้ากับตำนานและความเชื่อดั้งเดิม สายลมพัดที่โชยผ่านป่าสน มาตามลานหินกว้าง จะขยับกระดิ่งใบเล็กนับสิบใบให้เกิดเสียงดัง เป็นระยะๆ และนาน ๆ จะแว่วเสียงระฆังของนักเดินทางตีระฆังชื่อ “ พระพุทธเมตตา ” นั้น บ่อยครั้งในความรู้สึก ที่นักท่องเที่ยวที่ไปชมพระอาทิตย์ตกดิน ที่ผาหล่มสักจะเดินตัดทุ่งผ่านสระแก้วกลางความมืด เพื่อมุ่งหน้าสู่ศูนย์วังกวาง ด้วยฝีเท้าที่เหนื่อยล้า ท้องหิว อากาศเย็น แสงดาวเกลื่อนฟ้า เดินไปเรื่อยอย่างไม่รู้จบ ท่ามกลางความสิ้นหวัง สิ้นแรง เสียงกระดิ่ง หรือระฆังที่ดังแว่วฝ่าความมืดเบื้องหน้าจะเป็น กำลังใจให้รุดหน้าต่อเพราะหมายความว่า อีกไม่ไกลนักจะถึงองค์พระพุทธเมตตา ซึ่งเป็นหลักหมายสำคัญ ของการเดินทางก่อนสู่ศูนย์วังกวาง ซึ่งเป็นที่พักหลายคนที่เหนื่อยมาตลอดทาง ก็แวะไหว้องค์พระเพื่อความเป็นศิริมงคล ต่อมาวันที่ ๑๙ พ.ย. ๒๔๘๖ ได้มีการประกาศให้ภูกระดึง เป็นป่าสงวนแห่งชาติ และมีการเตรียมการประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ แต่งบประมาณจำกัด ขาดแคลนอัตรากำลังพล ทำให้เวลาล่วงเลยมาจนปี ๒๕๐๕ จึงประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติสำเร็จ จัดว่าเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งที่สองของไทยรองจาก “ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ” มีพื้นที่ ๒๑๗,๕๘๑.๒๕ ไร่ หรือ ๘๔๘.๑๓ ตารางกิโลเมตร
ขอบคุณข้อมูลจาก thai-tour.com
งุงิ