คนเราโดนฟ้าผ่าครั้งนึงก็ตายได้แล้ว แต่นี่...................

คอลัมน์ คิดไม่ออกบอกเบนจี้ - โดย ben@matichon.co.th
ฟ้าผ่าเป็นประกายไฟฟ้าที่เกิดขึ้นโดยความแตกต่างของพลังงานระหว่างก้อนเมฆกับอากาศแวดล้อมหรือพื้นดิน ฟ้าที่ผ่าจากก้อนเมฆลงสู่พื้นดิน พลังงานจะเสาะหาเส้นทางที่สั้นที่สุดลงพื้นดิน ซึ่งอาจผ่านตัวคนที่อยู่กลางแจ้ง โดยผ่านทางหัวไหล่ลงตามร่างกายจนถึงเท้า พลังงานที่เดินทางผ่านในร่างจะทำให้รู้สึกเจ็บปวด ตกใจแน่นิ่งจนถึงช็อค ผิวหนังเป็นรอยไหม้ หากพลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากฟ้าผ่าไม่ผ่านหัวใจหรือกระดูกสันหลัง ผู้เคราะหห์ร้ายอาจไม่ตาย
ฟ้าผ่าเดินทางด้วยความเร็ว 160-1600 กม./วินาที ทำให้เกิดอุณหภูมิได้ถึง 30,000 องศาเซลเซียส ร้อนกว่าพื้นผิวดวงอาทิตย์ถึง 6 เท่า แต่ที่น่าแปลกใจคือ มีหลายคนที่โดนอัดด้วยพลังรุนแรงมหาศาลขนาดนี้แต่ก็ยังไม่ตาย ถึงแม้ว่าจะถูกไฟลวกอย่างสาหัสก็ตาม
รอย ซัลลิแวน ชาวอเมริกันผู้ดูแลอุทยานอยู่ที่รัฐเวอร์จิเนีย ถูกฟ้าผ่ามาแล้วกว่า 7 ครั้ง ล่าสุดเขาถูกฟ้าผ่าเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1977 แต่ละครั้งเขาต้องบาดเจ็บ ทั้งเสียเล็บเท้า ขนคิ้วไหม้ หัวไหล่พองเกรียม เส้นผมลุกไหม้ และขาก็ไหม้ แต่เขาก็รอดชีวิตมาได้
คณะแพทยศาสตร์จากโรงพยาบาลแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา อ้างถึงผู้ป่วยรายหนึ่งที่เข้ารับการรักษาจากการถูกฟ้าผ่าระหว่างฟังเพลงจากเครื่องเล่นเพลงแบบพกพา ว่า อุปกรณ์อิเล็คโทรนิค เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องเล่นเพลงแบบพกพา ไม่ได้ล่อฟ้าผ่า หากแต่เป็นเพราะเหงื่อและหูฟังที่มีโลหะนำกระแสไฟฟ้าวิ่งไปสู่ร่างกายผู้สวมหูฟังอยู่ หากมีฟ้าผ่าลงมาที่ศีรษะของผู้ที่กำลังสวมหูฟัง กระแสไฟฟ้าจะวิ่งอย่างรวดเร็ว ทำให้อากาศในช่องหูเกิดความร้อน และขยายตัวเกิดเป็นคลื่นกดอากาศดันแก้วหูทะลุ ยิ่งกว่านั้น ยังมีแผลไฟไหม้ที่หน้าอกข้างซ้าย โดยมีผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า แรงปะทะของฟ้าผ่าทำให้ร่างเขากระเด็นไปไกลถึง 2 เมตร
การป้องกันจากการถูกฟ้าผ่า คือ อย่าอยู่กลางแจ้งขณะฝกตก ควรหลบเข้าในอาคาร หากอยู่กลางแจ้งพยายามนั่งหรือนอนราบลงเพื่อให้เตี้ยที่สุด และห้ามหลบใต้ต้นไม้ ถ้าอยู่ในรถยนต์ ควรปิดหน้าต่างให้มิดชิด ป้องกันการไหลผ่านของกระแสไฟฟ้า อยู่ห่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการเชื่อมต่อสายไฟจำนวนมาก เช่น เครื่องปรับอากาศ งดใช้โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคทุกประเภท ควรถอดเครื่องประดับที่มีส่วนผสมของโลหะออกด้วย
ฝนฟ้าไม่มีใครหยั่งรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด หากเราป้องกันและระมัดระวังตัวจากความเสี่ยง เราก็มีโอกาสรอดชีวิตจากภัยธรรมชาตินี้ได้
ฟ้าผ่าเป็นประกายไฟฟ้าที่เกิดขึ้นโดยความแตกต่างของพลังงานระหว่างก้อนเมฆกับอากาศแวดล้อมหรือพื้นดิน ฟ้าที่ผ่าจากก้อนเมฆลงสู่พื้นดิน พลังงานจะเสาะหาเส้นทางที่สั้นที่สุดลงพื้นดิน ซึ่งอาจผ่านตัวคนที่อยู่กลางแจ้ง โดยผ่านทางหัวไหล่ลงตามร่างกายจนถึงเท้า พลังงานที่เดินทางผ่านในร่างจะทำให้รู้สึกเจ็บปวด ตกใจแน่นิ่งจนถึงช็อค ผิวหนังเป็นรอยไหม้ หากพลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากฟ้าผ่าไม่ผ่านหัวใจหรือกระดูกสันหลัง ผู้เคราะหห์ร้ายอาจไม่ตาย
ฟ้าผ่าเดินทางด้วยความเร็ว 160-1600 กม./วินาที ทำให้เกิดอุณหภูมิได้ถึง 30,000 องศาเซลเซียส ร้อนกว่าพื้นผิวดวงอาทิตย์ถึง 6 เท่า แต่ที่น่าแปลกใจคือ มีหลายคนที่โดนอัดด้วยพลังรุนแรงมหาศาลขนาดนี้แต่ก็ยังไม่ตาย ถึงแม้ว่าจะถูกไฟลวกอย่างสาหัสก็ตาม
รอย ซัลลิแวน ชาวอเมริกันผู้ดูแลอุทยานอยู่ที่รัฐเวอร์จิเนีย ถูกฟ้าผ่ามาแล้วกว่า 7 ครั้ง ล่าสุดเขาถูกฟ้าผ่าเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1977 แต่ละครั้งเขาต้องบาดเจ็บ ทั้งเสียเล็บเท้า ขนคิ้วไหม้ หัวไหล่พองเกรียม เส้นผมลุกไหม้ และขาก็ไหม้ แต่เขาก็รอดชีวิตมาได้
คณะแพทยศาสตร์จากโรงพยาบาลแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา อ้างถึงผู้ป่วยรายหนึ่งที่เข้ารับการรักษาจากการถูกฟ้าผ่าระหว่างฟังเพลงจากเครื่องเล่นเพลงแบบพกพา ว่า อุปกรณ์อิเล็คโทรนิค เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องเล่นเพลงแบบพกพา ไม่ได้ล่อฟ้าผ่า หากแต่เป็นเพราะเหงื่อและหูฟังที่มีโลหะนำกระแสไฟฟ้าวิ่งไปสู่ร่างกายผู้สวมหูฟังอยู่ หากมีฟ้าผ่าลงมาที่ศีรษะของผู้ที่กำลังสวมหูฟัง กระแสไฟฟ้าจะวิ่งอย่างรวดเร็ว ทำให้อากาศในช่องหูเกิดความร้อน และขยายตัวเกิดเป็นคลื่นกดอากาศดันแก้วหูทะลุ ยิ่งกว่านั้น ยังมีแผลไฟไหม้ที่หน้าอกข้างซ้าย โดยมีผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า แรงปะทะของฟ้าผ่าทำให้ร่างเขากระเด็นไปไกลถึง 2 เมตร
การป้องกันจากการถูกฟ้าผ่า คือ อย่าอยู่กลางแจ้งขณะฝกตก ควรหลบเข้าในอาคาร หากอยู่กลางแจ้งพยายามนั่งหรือนอนราบลงเพื่อให้เตี้ยที่สุด และห้ามหลบใต้ต้นไม้ ถ้าอยู่ในรถยนต์ ควรปิดหน้าต่างให้มิดชิด ป้องกันการไหลผ่านของกระแสไฟฟ้า อยู่ห่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการเชื่อมต่อสายไฟจำนวนมาก เช่น เครื่องปรับอากาศ งดใช้โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคทุกประเภท ควรถอดเครื่องประดับที่มีส่วนผสมของโลหะออกด้วย
ฝนฟ้าไม่มีใครหยั่งรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด หากเราป้องกันและระมัดระวังตัวจากความเสี่ยง เราก็มีโอกาสรอดชีวิตจากภัยธรรมชาตินี้ได้