หน้า 1 จากทั้งหมด 1

พาราเซตามอล : ยาสามัญ..อันตราย!

โพสต์เมื่อ: จันทร์ พ.ย. 30, 2009 16:26
โดย Firetermart
พาราเซตามอล ที่เรียกกันง่ายๆว่า พาราบ้าง พาราเซตบ้าง

เป็นยาประจำบ้านสำหรับลดไข้แก้ปวดที่รู้จักกันดี และใช้กันอย่างแพร่หลาย

ที่มาแห่งความนิยม

จากการศึกษาวิจัยพบว่าพาราเซตามอลเป็นยาที่มีผลเสียน้อย ปลอดภัยในการใช้

จนให้มีการซื้อใช้ได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์ แต่ยาตัวนี้มีคุณสมบัติเพียงแค่ลดไข้บรรเทาปวดเท่านั้น

ไม่มีคุณสมบัติด้านอื่นๆเมื่อเทียบกับแอสไพริน แต่หลายคนเข้าใจว่าพาราเซตามอลสามารถบำบัดรักษา

อาการเจ็บป่วยได้สารพัด ไม่สบายเป็นอะไรก็หาพาราเซตามอลมากินไว้ก่อน

คนเราส่วนใหญ่ที่ไม่สบายก็เป็นแค่ปวดหัวตัวร้อนหรือไข้หวัดธรรมดาๆ

เมื่อได้พาราเซตามอลก็ทุเลาขึ้น พาราเซตามอลเลยกลายเป็นยาประจำบ้าน

ที่ขายดิบขายดีกินกันเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะปวดหัว ไข้หวัด ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหลัง

เลยเถิดไปถึงปวดท้อง เวียนศีรษะ ซึ่งอันที่จริงคงช่วยแก้อะไรไม่ได้

แต่ก็ทำให้สบายใจว่าได้กินยาแล้ว ทว่าใครจะรู้บ้างว่าอันที่จริงพาราเซตามอลไม่ใช่ยาเทวดา

ที่รักษาได้สารพัดโรค นอกจากนั้นถ้ากินมากเกินขนาดยังอาจะเป็นผลร้ายต่อร่างกายเสียด้วยซ้ำ

ภัยที่คาดไม่ถึง

ในสหรัฐอเมริกาซึ่งมีการควบคุมการใช้ยาอย่างรัดกุม ได้ศึกษาพบว่า พาราเซตามอล

ยาที่คิดกันว่าไม่มีพิษมีภัยหากไม่กินเกินขนาดและยาวนานติดต่อกันนั้น แท้จริงแล้วมีอันตรายที่ต้องพึงระวังอีก

หลายอย่าง อันตรายที่พบได้บ่อยขึ้นเรื่อยๆคือเป็นพิษต่อตับ จากการสำรวจพบว่าพาราเซตามอลเป็น

ตัวการทำให้ตับวายได้บ่อยกว่ายาแก้โรคเบาหวานที่ชื่อ เรซูลิน ที่ถูกประกาศห้ามใช้ไปแล้วด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ในประเทศอังกฤษยังมีผู้พยายามฆ่าตัวตายโดยใช้พาราเซตามอลมีอัตราสูงจนน่าตกใจ

จนต้องจำกัดการซื้อยาตัวนี้แต่ละครั้งมิให้มากเกินจำนวนที่กำหนด เสี่ยงตายโดยไม่ตั้งใจ

การใช้พาราเซตามอลเกินขนาดจนถึงขีดอันตราย ส่วนมากเกิดโดยไม่ตั้งใจ เมื่อแรกออกสู่ตลาด

พาราเซตามอลชนิดเม็ดมี 2 ขนาด คือ 325 มก. และ 500 มก. ผู้ใช้คิดว่าต้องกินครั้งละ 2เม็ด

ถ้าเป็นครั้งละ 325 มก. ก็ไม่เท่าไร แต่ถ้าเป็นขนาด 500 มก. กินเป็นครั้งคราววันละไม่เกิน 8 เม็ด

เพียง 1-2 วันก็พอไหว แต่ถ้ากินเป็นเวลายาวนานก็จะเกิดอันตรายต่อร่างกายโดยเฉพาะตับ

สาเหตุที่ทำให้ได้ยาเกินขนาดอีกอย่างเกิดขึ้นเนื่องจากพาราเซตามอลเป็นตัวยาหนึ่งที่ถูกผสมลงในยา

หลายชนิด เล่น ยาแก้หวัดและยาคลายกล้ามเนื้อ ฉะนั้นใครที่กินยาจำพวกนี้แล้วกินพาราเซตามอล

เพิ่มเข้าไปอีก จึงได้รับยาเกินขนาดโดยไม่รู้ตัว การเอาพาราเซตามอลต่างชนิดผสมกันก็อาจเกิดอันตรายได้

พาราเซตามอลมีหลายรูปแบบ ความเข้มข้นของยาก็ต่างกันไป

เรื่องที่ควรระวังอีกเรื่องคือ การกินพาราเซตามอลควบคู่กับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น ไวน์หรือ

เหล้าผสม เพราะมันจะอันตรายต่อตับรุนแรงยิ่งขึ้น ถึงขนาดบางรายต้องเปลี่ยนตับกันมาแล้ว

ผู้ปฏิบัติงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคหลายรายต้องการให้ติดป้ายเตือนถึงเรื่องพิษของพาราเซตามอล

ต่อตับให้เห็นได้ชัดเจน พวกเขามีความเห็นว่าผู้บริโภคส่วนมากไม่ค่อยคำนึงว่าการกินยาตัวนี้เกินขนาดเป็นไปได้

โดยง่ายจากความพลั้งเผลอ บางคนกินติดต่อกันนานวันเกินไป บ้างก็กินยาขณะท้องว่าง

หรือซื้อมาเพิ่มเสริมฤทธิ์ยาอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนบางคนมีความไวต่อยาสูง กินเพียงไม่มากก็มีผลร้ายต่อตับได้

ยาทุกชนิดเปรียบเหมือนมีดสองคม มีคุณอนันต์แต่ก็อาจมีโทษมหันต์ถ้าใช้ผิดวิธีหรือไม่ระวังรอบคอบในการใช้

ข้อมูล...นิตยสารใกล้หมอ

โพสต์เมื่อ: จันทร์ พ.ย. 30, 2009 16:29
โดย Mr.SenGz
โห! ขนาดยาเบาๆนะเนี่ย..

โพสต์เมื่อ: จันทร์ พ.ย. 30, 2009 16:29
โดย Firetermart
ภัยของยาพาราเซมอล

(อาจจะยาวไปหน่อยแต่ขอให้ลองอ่านเรื่องมีประโยชน์ดูนะครับ )

เรื่องยาพาราเนี่ย บอกจนปากจะฉีกแล้ว แต่คนก็รู้น้อยมาก
ไปโรงพยาบาล ก็มีคนกินพาราฆ่าตัวตาย เฮ้อ ฟังแล้วเศร้า
แต่ที่น่ากลัวกว่าคือ มีคนที่ปวดหัว เครียด แล้วก็กินพาราเนี่ยทุกวัน
ทำไมไม่อ่านดูว่า พาราเซตามอลเนี่ย น่ากลัวขนาดไหน
กินได้กินดี แต่ว่าห้ามกินเกิน 5 วัน คนเป็นโรคตับยิ่งต้องหนีห่าง
แอสไพริน กัดกระเพาะ ถ้าไม่กินอะไร พาราเซตามอล ไม่กัดกระเพาะ แต่ทำให้ตับวาย ... ตาย

ถึงบอกว่า เกลียดใคร ก็ให้เขากินยาพาราทุกวัน รับรองผลจ้า

ก่อนยุคพาราเซตมอล ยาประจำบ้านที่ใช้แก้ไข้แก้ปวด ได้แก่ แอสไพริน
เป็นยาที่ซื้อง่ายขายคล่อง มีทั้งชนิดเม็ด ชนิดน้ำเชื่อมและชนิดผงบรรจุซอง
แม้แต่ที่เป็นยาตำราหลวงก็มี สมัยก่อนนี้ใครเป็นไข้ปวดหัวตัวร้อน ปวดฟัน
ก็หาแอสไพรินมากินไว้ก่อน ต่อมามียาเม็ดสีชมพูออกจำหน่าย เรียกว่า เอ.พี.ซี
ว่ากันว่าฤทธิ์แรงกว่าแอสไพรินอย่างเดียว เพราะใส่ตัวยาเพิ่มอีก 2 ตัว เฟนาซีติน
และคาเฟอีน ชาวบ้านร้านตลาดใช้เอ.พี.ซี. อยู่นับสิบปี
กว่าจะมีรายงานออกมาว่าเฟนาซีตีนกดไขกระดูก
และคาเฟอีนก็เป็นสารอันตรายที่อาจมีผลร้าย ต่อหัวใจและอาจเสพติดได้
สูตรเอ.พี.ซี.จึงถูกยกเลิกไป แม้ตัวยาแอสไพรินเองก็มีผลระคายเคือง
ต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร และมีผลข้างเคียงอื่น เช่น ทำให้เลือดออกง่าย
ความนิยมในการใช้ แอสไพรินลดไข้แก้ปวดจึงเสื่อมลงไป

ยาตัวใหม่ที่มาแทนที่แอสไพรินสำหรับลดไข้แก้ปวดได้แก่
พาราเซตมอล (มีชื่อเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า อะเซตามิโนเฟน)
จากการศึกษาวิจัยพบว่า เป็นยาที่มีผลเสียน้อยกว่า ปลอดภัยในการใช้
จนได้รับการยินยอมให้ซื้อใช้ได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์ แต่ยาตัวนี้
ก็ดีเพียงลดไข้แก้ปวดเท่านั้น ไม่มีคุณสมบัติด้านอื่นเหมือนแอสไพริน

พาราเซตมอลได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางรวดเร็ว
หลายต่อหลายคนเข้าใจว่า พาราเซตตามอลบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยได้สารพัดอย่าง ( ยาเทวดา )
ไม่สบายเป็นอะไรก็หาพาราเซตมอล มากินไว้ก่อน
คนเราส่วนใหญ่ที่ไม่สบายก็มักเป็นแค่ปวดหัวตัวร้อนหรือไข้หวัดธรรมดาๆ
เมื่อได้พาราเซตมอลก็ทุเลาขึ้น พาราเซตมอลก็เลยกลายเป็นยาประจำบ้านที่ขายดิบขายดี
กันเป็นว่าเล่น ปวดหัว ไข้หวัด ก็กินพาราเซตมอล ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหลัง
ก็กินพาราเซตมอล แล้วเลยเถิดไปถึงขั้นปวดท้อง เวียนศีรษะ ก็กินพาราเซตมอล
ซึ่งคงช่วยแก้อะไรไม่ได้ แต่ก็ทำให้สบายใจว่าได้กินยาแล้ว
บางคนมัวแต่ผัดวันประกันพรุ่งกว่าจะไปหาหมอรักษา อย่างเป็นกิจลักษณะ
โรคก็ลุกลามต้องรักษากันอยู่นานเสียเงินเสียทองโดยใช่เหตุ

จึงอยากบอกกล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่า
“พาราเซตมอลไม่ใช่ยาเทวดา ที่รักษาได้สารพัดโรค”
นอกจากนั้นถ้ากินมากเกินขนาดยังอาจเป็นผลร้ายต่อร่างกายได้

ในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการควบคุมการใช้ยาอย่างรัดกุม ได้ศึกษาวิจัย
ถึงผลเสียของยาต่างๆ อย่างถี่ถ้วนพบว่าพาราเซตามอล ยาที่คิดกันว่าไม่เป็นพิษเป็นภัย
หากไม่กินจนเกินขนาดและยาวนานติดต่อกันนั้น ตามความเป็นจริงยังมีอันตราย
ที่ต้องพึงระวังอีกหลายอย่าง

อันตรายที่พบได้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ คือ พิษต่อตับ
จากการสำรวจพบว่า พาราเซตามอลเป็นตัวการทำให้ตับวาย
ได้บ่อยกว่ายาแก้โรคเบาหวานตัวใหม่ชื่อ เรซูลิน
ที่ถูกห้ามใช้ไปแล้วด้วยซ้ำไป

ดร.วิลเลียม ลี แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัสเซาท์เวสเทิร์น ติดตามศึกษาผู้ป่วย
ด้วยโรคตับวายเฉียบพลันจำนวนกว่า 300 ราย ที่เข้ารักษาในโรงพยาบาล 22 แห่ง
พบว่ามีสาเหตุเกี่ยวข้องกับพาราเซตามอลถึง 38%
เปรียบเทียบกับที่เกิดจากยาอื่นที่มีเพียง 18%
นอกจากนั้นในการสำรวจกลุ่มผู้ป่วยผู้ใหญ่อีก 307 ราย
ที่มีอาการตับอย่างร้ายแรงในโรงพยาบาล อีก 6 แห่ง
ก็พบว่ามีพาราเซตามอลเป็นตัวการร่วม 35% ดร.ลี กล่าวว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
เพราะล้วนแต่เป็นกรณีที่อาจป้องกันได้

ดร.ลี มิได้หยุดแค่นั้น เขาได้สอบถามไปทางประเทศอังกฤษ ถึงอันตรายจากพาราเซตามอล
ที่ตรวจพบ
ก็ได้ทราบว่าที่นั่นผู้คนที่พยายามฆ่าตัวตายโดยใช้พาราเซตามอลมีมากจนน่าตกใจ
จนทางการสาธารณสุขต้องจำกัดการซื้อยาตัวนี้ แต่ละครั้งมิให้มากเกินจำนวนที่กำหนด

การใช้พาราเซตามอลเกินขนาดจนถึงขีดอันตราย ส่วนมากเกิดโดยไม่ตั้งใจ
เมื่อแรกออกสู่ตลาด พาราเซตามอลชนิดเม็ดมี 2 ขนาด คือ 325 มก. ก็ไม่เท่าไหร่
ถ้าเป็นขนาด 500 มก. กินเป็นครั้งคราววันละไม่เกิน 8 เม็ด เพียงวันสองวันก็ยังพอไหว
แต่ถ้ากินเป็นเวลายาวนานก็จะเกิดอันตรายโดยเฉพาะต่อตับ

สาเหตุที่ทำให้ได้ยาเกินขนาดอีกอย่างหนึ่ง

เกิดขึ้นเนื่องจากพาราเซตามอล มีอยู่ในยาผสมหลายอย่าง เช่น
ยาแก้หวัดและยาคลายกล้ามเนื้อ บางคนกินยาแก้หวัดแล้ว อาการหายไม่ทันใจ
หรือยังปวดเมื่อยมาก เลยซื้อพาราเซตามอลมากินเพิ่ม จึงได้รับยาเกินขนาด
โดยไม่รู้ตัว ครั้งสองครั้งพอทำเนา บ่อยนักก็ไม่ไหว

การเอาพาราเซตามอลต่างชนิดผสมกันก็อาจเกิดอันตรายได้ พาราเซตามอลมีหลายรูปแบบ
มีความเข้มข้นของยาต่างกัน เช่น ชนิดไซรัปหรือน้ำเชื่อมสำหรับเด็ก
ขนาดกินเป็นขนาดช้อนชา และชนิดหยดสำหรับทารก กินกันแค่หยดๆ
บางคนเอาทั้งแบบน้ำเชื่อมและชนิดผสมกันแล้ว ตวงให้เด็กกินเป็นช้อนชา
ถ้าเป็นทารกก็จะได้ยาเกินขนาด

เรื่องที่ควรระวังอีกเรื่องหนึ่ง คือ
กินพาราเซตามอลควบกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
เช่น ไวน์หรือเหล้าผสม
เพราะสุราเมื่อรวมกับพาราเซตามอลจะเป็นอันตรายต่อตับรุนแรงขึ้น
กองควบคุมอาหารและยาของสหรัฐออกกฎบังคับให้ติดคำเตือนไว้ที่ฉลากยาพาราเซตามอล
ห้ามกินร่วมกับเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์
เพราะมีคดีความที่ชาวเวอร์จิเนียผู้หนึ่งฟ้องร้องต่อศาลว่า
หลังจากกินพาราเซตามอลยี่ห้อหนึ่งไม่เกินขนาดที่กำหนดพร้อมกับดื่มเหล้าไวน์อย่างที่เคยดื่ม
เป็นอาจิณหลังอาหารแล้ว เลยเกิดอาการทางตับอย่างรุนแรง
ถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลปลูกเปลี่ยนตับ ศาลพิพากษาให้ทางบริษัทผู้ผลิตยาแพ้คดี
ต้องจ่ายค่าชดเชยให้ถึง 8 ล้านดอลล่าร์ (ร่วม 400 ล้านบาท)

ผู้ปฏิบัติงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคหลายรายต้องการให้ติดป้ายเตือนถึง
เรื่องพิษของพาราเซตามอลต่อตับให้เห็นได้ชัดเจน
พวกเขามีความเห็นว่าผู้บริโภคส่วนมาก ไม่ค่อยคำนึงว่า
การกินยาตัวนี้เกินขนาดเป็นไปได้โดยง่ายจากความพลั้งเผลอ
บางคนกินติดต่อกันนานวันเกินไป บ้างก็กินยาขณะท้องว่าง
หรือซื้อมาเพิ่มเสริมฤทธิ์ยาอื่น ที่ต้องคำนึงถึงอีกอย่างหนึ่งคือ
บางคนมีความไวต่อยาสูง กินเพียงไม่มากก็มีผลร้ายต่อตับได้
พาราเซตามอล เป็นยาที่ติดอันดับขายดีและซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์
ในสหรัฐอเมริกาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ไทลินอล
ซึ่งเป็นชื่อการค้าของพาราเซตามอลผลิตโดย
บริษัทยาในสหรัฐติดตลาดมากจนมีคนจิตทรามเอายาพิษ (ดูเหมือนจะเป็นสตรี๊กนิน)
ผสมเม็ดยาใส่ปนลงไป ผู้คนกินไทลินอลหลายคนเกิดอาการเป็นพิษ บางคนถึงแก่ชีวิต
บริษัทผู้ผลิตต้องเก็บยาออกจากตลาดจนหมด แล้วทำภาชนะบรรจุแบบใหม่ที่ปลอดภัย
และแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดแตะต้องเม็ดยาได้จนกว่าจะถึงมือผู้บริโภค แต่ผู้บริโภคหลายราย
ก็กลัวยาตัวนี้ไปแล้ว ทำความเสียหายแก่บริษัทผู้ผลิตอย่างมหาศาล

ยาทุกชนิดเปรียบเสมือนมีดสองคม มีคุณอนันต์ แต่ก็อาจมีโทษมหันต์
ถ้าใช้ผิดวิธีหรือไม่ระวังรอบคอบในการใช้!

โพสต์เมื่อ: จันทร์ พ.ย. 30, 2009 16:35
โดย manutd_girl_w
กินมาเกินก็ไม่ดี ไม่กินก็ไม่ได้
เอาให้พอดีดีที่สุด

โพสต์เมื่อ: จันทร์ พ.ย. 30, 2009 16:38
โดย JackJack
รู้มานานแล้ว ว่าพารามีทั้งประโยชน์ แต่ถ้ากินต่อเนื่องนานๆจะมีโทษ (มากซะด้วย)

เดี๋ยวนี้เลยออกกำลังกายทุกวัน ร่างกายจะได้แข็งแรง ไม่ต้องพึ่งยาบ่อยๆ

โพสต์เมื่อ: จันทร์ พ.ย. 30, 2009 16:40
โดย zekoza
กินยามันขม กินนมดีกว่า [UHT นะเพ๊]

โพสต์เมื่อ: จันทร์ พ.ย. 30, 2009 16:53
โดย Kaokao'
เลิกกินยากันดีกว่า

หันมาเสพ

เย้ยยย

ไม่ใช่ๆ

โพสต์เมื่อ: จันทร์ พ.ย. 30, 2009 17:13
โดย Little_Devil_15
หึหึ พวกหมอพยาบาลที่ไร้ความรับผิดชอบหลายๆที่ยกให้มันเป็นยาวิเศษ

ปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน รถชน หน้ามืดเป็นลม แม่มจัดแต่พารา เข้าใจนะว่าวันๆคนไข้เยอะ แต่ชีวิตคนทั้งคน เงินเดือนและผลตอบแทนของคุณก็สูงเอาใจใส่ผู้ป่วยมั่งเหอะ ไม่ใช่เป็นไรมาจับปรอทยัดปาก สั่งพารา กลับบ้านได้


เฮ้ออออ

โพสต์เมื่อ: จันทร์ พ.ย. 30, 2009 17:14
โดย thaneejo
น่ากลัวน่ะคับ..

โพสต์เมื่อ: จันทร์ พ.ย. 30, 2009 17:36
โดย gantam
ห้านกินเกินครั้งล่ะ 2 เม็ด *.*

โพสต์เมื่อ: จันทร์ พ.ย. 30, 2009 21:36
โดย ยากูซ่า
ขอบคุนคัฟ

สำหรับสาระดีดีแบบนี้ ^^

โพสต์เมื่อ: จันทร์ พ.ย. 30, 2009 23:00
โดย Firetermart
Little_Devil_15 เขียน:หึหึ พวกหมอพยาบาลที่ไร้ความรับผิดชอบหลายๆที่ยกให้มันเป็นยาวิเศษ

ปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน รถชน หน้ามืดเป็นลม แม่มจัดแต่พารา เข้าใจนะว่าวันๆคนไข้เยอะ แต่ชีวิตคนทั้งคน เงินเดือนและผลตอบแทนของคุณก็สูงเอาใจใส่ผู้ป่วยมั่งเหอะ ไม่ใช่เป็นไรมาจับปรอทยัดปาก สั่งพารา กลับบ้านได้


เฮ้ออออ



ใช่ครับ โดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ

โพสต์เมื่อ: อังคาร ธ.ค. 01, 2009 00:21
โดย hanakaba0
ไม่ค่อยชอบกินยา อ่ะ

โพสต์เมื่อ: อังคาร ธ.ค. 01, 2009 08:12
โดย ยากูซ่า
hanakaba0 เขียน:ไม่ค่อยชอบกินยา อ่ะ


เหมือนผมเลย

ไม่กินก้อหายเองได้ ^^

โพสต์เมื่อ: อังคาร ธ.ค. 01, 2009 15:58
โดย k_ball_manu
ร้าย แรง จิง ๆ