หน้า 1 จากทั้งหมด 1

[HOT] มนุษย์กินมนุษย์ !!อิซเซ ซากาวะ!!

โพสต์เมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 13:34
โดย freeweezynu
** เชื่อว่าท่านเหล่านี้คงจะเคยได้ยินประวัติมาไม่น้อย

สำหรับใครที่ไม่เคยก็ลองมาอ่านกันดูครับ **

อิซเซ ซากาวะ (บางข่าวก็ว่าเป็น อิซซากะ ซากาวะ หรือ อิสเซ)

รูปภาพ

ซากาวะมีรูปร่างเตี้ยมากสูงไม่เกิน ๕ ฟุต มือเท้ามีขนาดเล็ก เสียงพูดก็แหลมเหมือนผู้หญิง และมีท่าทางกระตุ้งกระติ้งออกไปทางผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มีแนวโน้มอาจเป็นพวกลักเพศ


ซากาวะเป็นเด็กที่ฉลาดมากแต่ร่างกายค่อน ข้างอ่อนแอ ผอม และค่อนข้างกังวลเรื่องส่วนสูงของตนเอง แต่เขาชอบวรรณกรรมซึ่งจากความชอบนี้เองทำให้เขามีความรู้ในภาษาต่างประเทศ หลายภาษา จนสามารถไปเรียนต่อวิชาวรรณคดีอังกฤษที่มหาวิทยาลัยวาโกอย่างสบายและที่ ยุโรปนี้เอง เขาได้เกิดหลงใหลสตรีชาวยุโรปที่รูปร่างสูงกว่าเขาและหลงรักพวกเธออย่างลึก ซึ้งซึ้งจนอยากกินพวกเธอ


เรนี ฮาร์เทเวล

รูปภาพ


ระหว่างที่อิสเซทำการศึกษาที่ "สถาบัน เซนซิแยร์" ในมหานครกรุงปารีส ในปี ค.ศ. ๑๙๘๑

อิสเซได้ตกหลุมรักนักศึกษาชาวยุโรปคนหนึ่งชื่อเรนี ฮาร์เทเวลท์ ที่นั่งถัดไปในห้องเรียน

เร นีเป็นสาวสวยชาวยุโรปเหนืออายุ ๒๕ ปี ผมสีบบลอนด์ พูดได้ถึง ๓ ภาษา เธอตั้งเป้าหมายว่าจะเรียนให้จบปริญญาเอกด้านวรรณคดีฝรั่งเศสเพื่อประกอบ อาชีพในอนาคต

อิสเซหลงรักเธอจนหักห้ามใจไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นแขนขาวเนียนของเธอ เรนีเป็นผู้หญิงในฝันของเขา เขาต้องหาทางให้ถึงตัวเธอให้จงได้

ระยะแรกอิสเซปูทางด้วยการขอให้เรนีสอนภาษาเยอรมันให้เขา โดยเสนอค่าจ้างในราคาสูงๆ เรนียอมรับข้อเสนอนี้

อิส เซเริ่มแผนการด้วยการเขียนจดหมายสารภาพรักกับเธอ นัดเธอไปดูคอนเสิร์ตและนิทรรศการศิลปะต่างๆ แม้ว่าอิสเซจะตัวเล็กและเดินกระตุ้งกระติ้งแบบผู้หญิงแต่เรนีก็ไม่ได้ รังเกียจที่จะไปไหนมาไหนด้วยกัน จนบางครั้งเรนีก็ชวนอิสเซไปกินน้ำชาบ้านของตัวเอง บางครั้งก็เต้นรำด้วยกัน

แต่บางครั้งอิสเซก็มักแสดงพฤติกรรมวิปริตให้เรนีเห็นบ่อยๆ เช่น ครั้งหนึ่งอิสเซเชิญเรนีมาที่อพาร์ทเมนต์เพื่อรับประทานอาหารค่ำ อิสเซให้เรนีอ่านกวีคลาสสิกของเยอรมัน เธอทำตามที่อิสเซต้องการ พอเรนีออกไปแล้วกลับก็พบอิสเซแสดงอารมณ์วิปริตออกมา เขาสูดดมกลิ่นที่เก้าอี้ที่เรนินั่ง ใช้ลิ้นเลียที่ผ้าบุเก้าอี้ พร้อมสบถว่าแม่คุณเอ๋ยฉันจะกินเธอให้อิ่มแปล้ให้จงได้

เรนีเห็นพฤติกรรมของอิสเซ ดูแล้วน่าขยะแขยงอย่างยิ่ง

และ แล้ววันนั้นก็มาถึง.....................(จากคำให้การของอิสเซใน เวลาต่อมาบอกว่าเขามีความคิดที่จะฆ่าโสเภณีเพื่อฆ่ากินศพหลายครั้งแล้ว แต่ตัดใจก่อนเพราะทำไม่ลง)


ขอตัดเข้าสู่ฉากไคลแม็กซ์เลยนะครับ


๑๑ มิถุนายน ๑๙๘๑ นั่นคือวาระสุดท้ายของเรนี

อิสเซตัดสินใจฆ่าเรนีเพราะอยากกินเธอ จึงได้ชวนเรนีมาวันเกิดครบรอบ ๓๒ ของเขา

ที่โต๊ะตัวเตี้ย (โต๊ะโทคัทซึ) นั่งตามสไตล์ญี่ปุ่น ซากาวะแอบปลื้มอยู่เงียบๆ เพราะในใจเขาอยากกินเรนีใจจะขาดแล้ว เมื่อ เรนีมาถึงอิสเซได้ต้อนรับเธอด้วยธรรมเนียมญี่ปุ่นด้วยการให้เรนีนั่งคุกเข่า กับพื้นชงชาให้ดื่มผสมเหล้าลงไปด้วย จากนั้นเขาได้สารภาพรักกับเรนีทันที ขณะที่เรนีกำลังตั้งใจสอนเขา

เรนีดูท่าทางจะตกใจมาก เนื่องจากรับสถานการณ์ไม่ทัน หล่อนจึงแกล่งตอบกลบเกลื่อนไปว่าเธอคบอิสเซแค่เป็นเพื่อนเท่านั้น ไม่ใช่แบบชู้สาว

อิสเซเงียบไปพักหนึ่งแล้วผงะจากเรนีเดินไปหยิบ กวีนิพนธ์มาส่งให้เธอ แล้วเอื้อมมือไปกดปุ่มบันทึกเสียงในขณะที่เรนีอ่านกวีนิพนธ์ อิสเซฟังเรนีอ่านกวีนิพนธ์พอใจแล้วจากนั้นก็เดินไปข้างหลัง หยิบปืนเดินกลับมาจากนั้นก็จ่อยิงกลางหลังเรนีหนึ่งนัด เรนีสะดุ้งเฮือกหล่นลงจากเก้าอี้ลงกองอยู่บนพื้นเธอตายทันที อิสเซพูดพล่านกับเรนีเหมือนคนบ้าต่อหน้าศพของเรนี

อิสเซเริ่มเปลื้อยผ้าออกจากศพของเรนีพบว่ามันยุ่งยากพอสมควร แต่ช่างหัวมันเถอะเพราะตอนนี้เธอเป็นของเขาแล้ว

อิส เซเดินไปหยิบมีดยาวคมกริบมาเฉือนหัวนมข้างซ้าย กับปลายจมูกของเรนีอย่างชำนาญ จากนั้นเขาเอาปลายจมูกใส่ปากเคี้ยวกินดิบๆ อย่างเอร็ดอร่อย

ในตอนหนึ่งในหนังสือ "ในหมอก" อิสเซได้บรรยายตอนนี้อย่างกวีนิพนธ์ไว้ว่า

" ข้าพเจ้าเอามือจับเอวเธอแล้วคิดว่าจะกินส่วนไหนก่อนเป็นอันดับแรก เอาล่ะแก้มก้นขวานี้แหละ กร้วม ข้าพเจ้าอ้าปากกัดลงไปเต็มที่แต่มันเหนียวมากจนฟันกัดไม่เข้า"


รูปภาพ << ชิ้นส่วนของเรนี


จากนั้นเขาก็เล่าไปฉากๆ ถึงเรื่องไขมันและกล้ามเนื้อ

" ข้าพเจ้าใช้มีดจ้วงแทงลงไปร่างของเรนี ไขมันก็ผลุดออกจากบาดแผลที่ฉีกกว้างสีมันเหลืองเหมือนสีเมล็ดข้าวโพดไม่ผิด ข้าพเจ้าดึงออกมาดม ปรากฏว่ามันไม่มีกลิ่นคาวและเหม็นเขียวสักนิด ข้าพเจ้าจึงแลลึกเข้าไปจนถึงเนื้อแดง ตัดเป็นชิ้นพอๆ คำใส่ปากเคี้ยวดิบๆ มันละลายในปากรสชาติคล้ายทูน่าทำซาซิมิในภัตตาคารไม่มีผิด" อิสเซ ง่วนอยู่กับการชำแหละศพของเรนีด้วยมีดปอกสายไฟอันคมกริบมาชำแหละเป็นชิ้นๆ ส่วนหนึ่งเก็บสำรองไว้กิน ส่วนหนึ่งก็ใส่ปากเคี้ยวดิบๆ โดยอาหารจานแรกที่อิสเซทำคือ "เนื้อคนผัดมัสตาร์ค" เขาถ่ายรูปศพที่อันเป็นเศษเนื้อเธอไว้เป็นที่ระลึกก่อนที่จะเปลือกเสื้อผ้า ร่วมรักกับศพอย่างหื่นกระหาย เขาบรรยายฉากนี้อย่างละเอียดลออไว้ว่า

" ระหว่างที่ข้าพเจ้าร่วมรักกับศพของเธอมันเหมือนกับว่าเธอหอบหายใจออกมา ข้าพเจ้าเร่งจังหวะแล้วบอกกับเธอว่า ผมรักเธอที่สุดในโลก โอ้....ว"



เนื้อที่ชำแหละไว้อิสเซได้เก็บไว้เพื่อทำอาหาร กินไปพลางฟังเสียงบทกวีที่เรนิอ่านในเทปบันทึกไปพลาง เมื่ออิ่มก็ใช้กางเกงในของเธอซับปากแทนผ้าเช็ดหน้า จากนั้นเดินกลับไปที่ศพเรนี ตัดเต้านมสองข้างไปอบในเตาอบ พอสุกก็เอามากินแชแต่ปรากฏว่าเขาไม่ชอบเพราะมันเหนียวยืดยาด ซึ่งเขาชอบเนื้อต้นขาของเรนีมากกว่า

เมื่ออิสเซชำแหละศพจนเหนื่อย หลังจากนั้นเขาก็ลากศพที่ยับเยินไปนอนกอดบนเตียงจนม่อยหลับ โดยเขาตั้งใจว่าจะทำลายหลักฐานในวันรุ่งขึ้นให้หมด

พอวันรุ่งเช้าเมื่อเขาตื่นนอนก็แทะเนื้อจากท้องแขนไปถึงข้อศอก ช่วงนี้อิสเซเขียนไว้ว่า

"ไม่รู้น่ะ ว่าทำไมแต่บอกได้คำเดียวว่า อร่อยชะมัด"

อิส เซยังไม่หายหิว เขาเชือดโน่นเชือดนี้กับอวัยวะส่วนต่างๆ ที่เหลืออยู่แม้แต่ทวารหนักเขาก็คว้านออกมา แล้วยัดใส่ปากเคี้ยวแต่กลิ่นมาสุดทนจนเขาต้องคายออกมา ชิ้นส่วนจากทวารหนักที่เหลือเขาต้องนำไปทอดแต่ก็รับไม่ได้เพราะมันเหม็นสุดๆ เขาจำเป็นต้องเททิ้งถังขยะแล้วแล่ส่วนอื่นๆ ไปกินต่อไป

เวลาผ่านไป แมลงวันฝูงใหญ่เริ่มแห่กันมาตอมซากศพอันแหลกเหลว อิสเซเริ่มได้สติว่าศพของเรนีเริ่มส่งกลิ่น เวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์หมดลงแล้ว อิสเซต้องทำลายหลักฐาน

อิสเซ เริ่มจากใช้ขวานสับร่างของเรนีเป็นท่อนๆ เพื่อจะยัดลงในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ เอาไปทิ้งเพื่อเอาหลักฐานไปทำลาย เขาสับไปก็เกิดอารมณ์เปลี่ยว จึงใช้มือของเรนิมาสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นทาง

ทำไปกินไป เอาเนื้อจมูกมากินเสียงกรุบกรอบบ้าง เอาริมฝีปากเธอกินบ้าง อิสเซได้บรรยายในตอนนี้ไว้ว่า

" ข้าพเจ้าอยากกินลิ้นเธอแต่งัดขากรรไกรล่างออกมาไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าก็เอามือล้วงผ่านช่องว่างระหว่างฟันเข้าไปจนได้ ที่สุดก็ควักปลายลิ้นออกมา ข้าพเจ้าใช้ใบมีดเฉือนปลายลิ้นของเธอออกแล้วโยนใส่ปากเคี้ยวหน้ากระจกเงา"

จาก นั้นก็ล้วงเข้าไปคลำอวัยวะภายในซึ่งทำให้เขาปวดแสบปวดร้อนเมื่อไปสัมผัสกับ กรดในกระเพาะอาหารเข้า แต่สุดท้ายก็เอาขวานตัดศีรษะของเรนีออกจากร่าง อิสเซขยุ้มเส้นผมของเรนีไว้ หิ้วหัวของเธอไว้ตรงหน้าอิสเซแล้วบรรยายความรู้สึกตรงนี้ไว้ว่า



"ตอนนี้แหละที่ได้ประจักษ์ว่าตนเองคือมนุษย์กินคนที่แท้จริง"

กว่า ที่จะยัดชิ้นส่วนของเรนีลงในกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนของ วันที่สองของการฆาตกรรม ลากปกระเป๋าลงมาจากกระเป๋าลงมาจากอพาร์มเมนต์เพื่อเรียกแท็กซี่ ลงมาจากแท็กซี่ที่ บัวส์ เดอ บูโลญจน์ ลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในสวนสาธารณะกะว่าจะหย่อนลงในสระน้ำ แต่กระเป๋าใบใหญ่มากยากแก่การเคลื่อนย้าย แถมคนดูก็จ้องเขม็ง จนเขาต้องตัดสินใจทิ้งกระเป๋าแล้วเผ่นเอาตัวรอดทันที



เมื่อตำรวจรวบตัวเขา เขาก็ไม่แสดงอาการขัดขืนแต่อย่างไร ไม่มีการวางแผนพิศวาสฆาตกรรมใดๆทั้งนั้น ทุกอย่างเรียบง่าย ให้ความร่วมมือกับตำรวจทุกประการ แถมยังชวนให้ตำรวจรับประทานอาหารของตนเองด้วย เพราะเหตุนี้ ตำรวจจึงลงความเห็นว่า เขาประสาทเสียซะแล้ว เขาลงมือฆ่าเรนีเพราะความวิกลจริตจริงๆ



แทนที่เขาจะถูกลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุก เขากลับหลุดจากคดีเนื่องจากสติไม่สมประกอบ จึงต้องเข้าบำบัดในโรงพยาบาลโรคจิต ในที่สุด ซากาวะก็หายเป็นปรกติ มีการประกาศต่อสังคมว่า เขาหายเป็นปรกติแล้ว สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุข ทว่า.....น่าแปลกที่พวกเขาเริ่มเขียนหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา เพื่อรวบรวมคืนสยอง

ในวันนั้น และนาทีในการชำแหละร่างบางๆของเรนีอย่างละเอียดละออ หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า"IN THE FOG" ซึ่งขายดีระดับ BEST SELLING อยู่แรมเดือน


ส่งท้ายด้วยศพของเธอ

รูปภาพ

ยาวเนอะ แต่สมกับความสยองจริงๆ

โพสต์เมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 14:05
โดย raiserty
เฮ้ออออ

คนเรา :?

โพสต์เมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 14:08
โดย ton777
โรคจิตสุดๆ

โพสต์เมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 14:59
โดย Little_Devil_15
รับไม่ได้จริงๆครับบอกตรงๆ เฮ้อสลด

โพสต์เมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 16:36
โดย โจ๊กเดอะคลอง
ผมก็ทนอ่านจนจะอ้วกเนอะเนี่ย -*-

โพสต์เมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 16:37
โดย Evangeline
มีหนักกว่านี้อีกครับ ญี่ปุ่นนี่แหล่ะ แต่มันโหดร้ายเกินกว่าคนหลายคนจะรับได้

ลอง search ดู junko furuta

โพสต์เมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 16:55
โดย akillis
สุดสุด!

โพสต์เมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 19:13
โดย Ed@Vanonfire
อ่ะ........... :(

โพสต์เมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 19:18
โดย deshwitat4
เรื่องนี้ติดอันดับ 1 ใน 10 นิครับ ถ้าผมจำไม่ผิดนะ แต่น่าสงสารครอบครัวของเหยื่อนี่แหละที่เอาโทษได้โรคจิตนี้ไม่ได้เลย แถมมันยังออกมาเขียนหนังสือจนขายดิบขายดีได้อีก -*-

โพสต์เมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 16, 2010 21:15
โดย karin
กฏหมายญี่ปุ่นทำไมเป็นแบบนี้
ของไทยรักษาจนหายบ้า แล้วก็ต้องมาเข้าคุกนี่
มีทางเดียวที่จะรอด คือ มุงต้องบ้าอยู่ใน รพ. เท่านั้น

โพสต์เมื่อ: ศุกร์ ธ.ค. 17, 2010 04:33
โดย khwn
นั่นไง นั่งอ่าคนเดียวตอนตีสี่
บรื๊ออออออออ ><

โพสต์เมื่อ: ศุกร์ ธ.ค. 17, 2010 13:54
โดย ASJ
เพิ่งกินข้าวมา อ้วกจะแตก