หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ก่อน kick offเรื่องเล่าจากลานประหาร เรื่องจริงที่คุณต้องสยอง

โพสต์เมื่อ: อังคาร เม.ย. 19, 2011 23:16
โดย benzsamui2508
การประหารชีวิต ถือเป็นบทลงโทษที่รุนแรงที่สุดในทุก ๆ ประเทศ ที่มีมาตั้งแต่อดีต ซึ่งถ้าหากใครได้อ่านหรือศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ซักครั้ง คงจะรู้สึกไม่ต่างกันหรอกค่ะว่าแม้ว่าในแต่ละประเทศจะมีเครื่องมือประหาร ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป
แต่ความรุนแรง หรือความซาดิสม์นั้นไม่ได้ต่างกันเลย เพราะไม่ว่าจะใช้เครื่องมือไหน ๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์เดียวกัน นั่นคือทรมานคนผิดอย่างเลือดเย็นแล้วปล่อยให้เจ็บปวดตายไปในที่สุด



ไม่ว่าจะด้วยการฉีกจ้วงเนื้อหนังด้วยของมีคม ลวกหรือต้มด้วยน้ำร้อน เผาทั้งเป็น
หรือแม้แต่การบีบทุบให้เจ็บปวดจนตายกันไปข้างหนึ่ง เหล่านี้ถือเป็นวิธีพื้นฐานที่ทั่วโลกทำกันทั้งนั้นค่ะ

และสำหรับในประเทศไทยก็เช่นกัน โทษประหารที่เคยทำกันมาตั้งแต่อดีตนั้นขึ้นชื่อว่าโหดใช่ย่อย
เริ่มตั้งแต่สมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ วิธีการประหารชีวิตจะเน้นความทรมานชนิดที่ได้ยินแล้วยังขนลุก
ไม่ว่าจะเป็นการเอาน้ำมันเดือดราดหัวจนตาย เอามีดและขวานผ่าอกแหวกตับไตไส้พุงทั้งเป็นจนตาย
เอาเบ็ดใหญ่เกี่ยวเนื้อให้หลุดทีละส่วนจนตาย เอามีดคม ๆ แล่เนื้อลอกหนังออกทีละนิดจนตาย
เอาหอกค่อย ๆ ทิ่มแทงจนตาย หรือฝังดินครึ่งตัวแล้วเผาส่วนบนจนทรมานตาย โอ้ นรกดี ๆ นี่เอง

ซึ่งโทษแสนทรมานในสมัยนั้น ก็จะตัดสินจากความผิดที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่นถ้าใครเผาบ้านเมือง
ก็จะถูกประหารด้วยการเอาผ้าชุบน้ำมันพันรอบตัวแล้วจุดไฟเผาทั้งเป็น อย่างงี้เป็นต้น และที่สำคัญ
การประหารชีวิตทุกรูปแบบก็จะต้องทำกันแบบโจ่งแจ้งต่อหน้าชาวบ้านมากมาย เพื่อให้คนเกรงกลัว
และมันก็ได้ผลดีเลยล่ะค่ะ เพราะเวลาที่มีการประหารนักโทษซักคน บ้านเมืองก็สงบสุขไปพักใหญ่ทีเดียว
เพราะไม่มีใครกล้าทำความผิด ไม่มีใครอยากถูกลงโทษอย่างทรมานอย่างที่ตัวเองไปเห็นมา แต่พอมาถึงสมัยอยุธยาตอนปลายและรัตนโกสินทร์ การประหารด้วยวิธีทรมานสารพัดก็เริ่มค่อย ๆ หายไปเหลืออยู่แค่วิธีเดียวง่าย ๆ นั่นคือ การตัดคอหรือกุดหัวเท่านั้น เป็นวิธีฉับเดียวดับ ไม่ทันได้ทรมานก็ตายแล้ว

แถม ก่อนหน้าวันประหารก็ยังมีการเลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำอย่างดีอีก และพอถึงวันประหารนักโทษก็ถูกปิดตาไม่ต้องเห็นบาดแผล ไม่ต้องรู้ว่าใครกำลังจะทำอะไรเรา ไปแบบสบาย ๆ เลยทีเดียว

และหากใครกำลังสงสัยว่า ถ้าหากฉับเดียวไม่ดับ นั่นจะไม่เรียกว่าทรมานได้อย่างไร
โอโห จะบอกว่าไม่มีเลยค่ะ เพราะเพชฌฆาตทุกคนนั้นถูกฝึกปรือมาเป็นอย่างดี และที่สำคัญ

ใน การประหารนักโทษ 1 คน เค้าจะใช้เพชฌฆาตถึง 3 คน ซึ่งโดยปกติแล้ว ถ้าเพชฌฆาตดาบ 1 จะพลาดก็พลาดมากที่สุดแค่ตัดคอแล้วตายแต่คอดันไม่ขาด ซึ่งแบบนี้เพชฌฆาตดาบ 2 ก็จะรีบเข้ามาฟันให้ขาดทันที

ถ้ายังไม่ขาด อีกก็มีดาบ 3 สำรองไว้อีก ต้องเอาให้ขาดอย่างแท้จริงเพื่อที่จะเอาหัวไปเสียบประจานนั่นเองส่วนร่างกาย ก็มอบให้ญาตินำไปทำพิธีต่อไป


ส่วนใน กรณีที่นักโทษเป็นเชื้อพระวงศ์หรือกษัตริย์ ก็จะมีวิธีเฉพาะคือการทุบด้วยท่อนจันทน์ที่ถือเป็นไม้หอม เป็นการให้เกียรตินักโทษ โดยการประหารด้วยท่อนจันทน์นี้ จะใช้วัดปทุมคงคาเป็นลานประหาร

ส่วนวิธีการ ก็คือ จะนำร่างของผู้ถูกประหารสวมด้วยถุงแดงแล้วรัดถุงให้แน่น เพื่อไม่ให้ใครแตะต้องพระวรกายและไม่ให้ใครเห็นพระศพด้วย จากนั้นเพชฌฆาตที่ได้รับนามเฉพาะว่า "หมื่นทะลวงฟัน" ก็จะใช้ไม้จันทน์ขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายสากตำข้าวทุบลงไปสุดแรงบริเวณพระเศียร หรือพระนาภีเสร็จแล้วก็นำไปฝังในหลุม 7 คืนเพื่อให้มั่นใจว่าสิ้นพระชนม์แล้วจริง ๆ ก่อนขุดขึ้นมาประกอบพิธีต่อไป

และ หากใครสงสัยว่าทำไมไม่ใช้วิธีเปิดผ้าดูว่าสิ้นแล้วหรือไม่ ก็อย่างที่บอกไปค่ะว่าไม่ว่าจะอย่างไรหลังจากนำนักโทษใส่ถุงแดงแล้วก็ห้าม เปิดให้ใครเห็นหรือแตะต้องพระวรกายโดยตรงได้เป็นอันขาด

วิธีการประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ เลิกล้มไปในสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากมีการประกาศใช้กฎหมาย ร.ศ. 127ว่า ให้ประหารชีวิตเชื้อพระวงศ์ด้วยวิธีเดียวกันกับสามัญชน ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นนักโทษ

และในที่สุด ในปี 2477 ก็ได้ล้มเลิกการประหารชีวิตด้วยการตัดหัวไป เปลี่ยนเป็นการใช้ปืนยิงแทน

โดย วิธีการยิงปืนประหารนี้ ก็จะมีขั้นตอนคล้ายกับการประหารชีวิตด้วยการตัดหัว ต่างที่การยิงปืนประหารจะทำในห้องประหารมิดชิด ไม่มีการเรียกประชาชนมามุงดูเหมือนกับการประหารชีวิตด้วยการตัดหัวอีกต่อไป
การประหารชีวิตด้วยปืนทำกันมาได้ไม่นานนัก เพราะเมื่อปี 2545 ได้เปลี่ยนวิธีการประหารชีวิตด้วยปืนมาเป็นการฉีดยาแทน ซึ่งการฉีดยาจะมี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นแรกจะฉีดยาให้นักโทษสลบก่อน จากนั้นค่อยฉีดยาหยุดการทำงานของปอดและกระบังลม และสุดท้ายก็จะฉีดยาที่ทำให้หัวใจหยุดเต้น เป็นอันเสร็จพิธี เรียกว่าสบายกว่าวิธีไหน ๆ ไม่ต้องตื่นเต้นว่าจะถูกสับหัวหรือยิงปืนเมื่อไหร่และวิธีนี้ก็ยังเป็นวิธี ที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน

ทั้งหมดนี้คือวิวัฒนาการของการ ประหารชีวิตในสยาม ที่ดูเหมือนจะลดความทรมานลงทุกวัน ๆ ขณะเดียวกันที่สถิติการประหารชีวิตก็ค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ ทั้งในไทยและหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งที่เป็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่เพราะว่าคนเรามีคุณธรรมกันมากขึ้นแต่อย่างใด
แต่เป็นเพราะบทลงโทษในสังคมทุกวันนี้มันเบาลงเรื่อย ๆ ต่างหาก..

ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคที่บทลงโทษในสังคมเบาลงทุกวัน ขณะที่โจรผู้ร้ายมีมากขึ้นแบบนี้
ก็ ยังมีคนในหลายประเทศออกโรงต่อต้านการประหารชีวิตกันอย่างมากมาย เพราะเห็นว่ามันโหดร้าย ก็ไม่แน่ว่า.. บางที โทษประหารอาจถูกล้มเลิกไปในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้าก็เป็นได้

และถ้าวันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ สังคมก็คงวุ่นวายขึ้นน่าดู

ขอบคุณบทความจาก nongza.exteen

ขออภัยหากเก่าหรือซ้ำ

โพสต์เมื่อ: พุธ เม.ย. 20, 2011 00:09
โดย Kaokao'
ยังไงก็ดูทารุณแฮะ

โพสต์เมื่อ: พุธ เม.ย. 20, 2011 01:02
โดย cassanova09
บางครั้ง ความผิดนั้น ก็ มิใช่ ตัว เค้าทำสักหน่อย เป็นแพะ หรือโดนป้ายสี ก่อ สถาณการณ์

หรือ อาจจะสำนึกผิด แล้ว คนเรา ปรับตัวกันได้

แต่บางคนที่เลวจริง ก็สมควรโดนประหาร แต่ถ้ามันเลวๆ จริง ก็โดนวิสามัญไปตั้งแต่แรกแล้ว เพราะคงไม่ยอมให้โดนจับหรอก

เพราะรู้ว่าคดีที่ตัวเองทำ น่าจะโดนรับโทษ ขนาดไหน


เมื่อก่อน เค้าทำโทษเพื่อให้ ซาบซึ้งในอำนาจ คนใหญ่คนโต และศาสนา อ่านะ เหอะๆ

ศึกษาให้ดีอย่ามองด้านเดียว

ถ้าเป็นคุณ ไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วโดนจับข้อหา....ขังคุก 10 ปีแล้ว ประหาร คุณ จะเข้าใจพวกเขา แพะ ตายไปเยอะนะจ๊ะ

โพสต์เมื่อ: พุธ เม.ย. 20, 2011 01:11
โดย Sepsoonya
ก่อนอื่นนะครับ ขอบอกว่าดีใจมากที่เห็นเนื้อหานี้ในบอร์ด

ปัจจุบันหลายประเทศได้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิตแล้วนะครับ ด้วยเหตุผลทางด้านสิทธิมนุษยชนและศีลธรรม (รายละเอียดมีอยู่มากมายในอินเตอร์เน็ตนะครับ) โดยสังเขปคือการยกเลิกโทษประหารชีวิตเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปครับ เริ่มจากการกำจัดลักษณะความผิดที่จะลงโทษให้น้อยลงเรื่อยๆ กับกระแสของการเรียกร้องให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตจากนักกิจกรรมต่างๆ

เป็นประเด็นถกเถียงกันหลายปีเกี่ยวกับความเหมาะสมโดยเฉพาะแนวคิดทางศาสนาพุทธ, คริสต์, และอิสลาม หลักก็คือศาสนาพุทธถือว่าการฆ่าชีวิตมนุษย์(สัตว์)เป็นเรื่องที่ผิดตามศีลธรรม และเน้นเรื่องกระบวนการกล่อมเกลาผู้กระทำความผิดให้กลับตัวกลับใจ(ความเมตตา) เช่น กรณีองคุลีมาล เป็นต้น แต่กลับพบว่าการสำรวจพระสงฆ์จำนวน 80% (คนกรุงเทพฯในผลสำรวจเห็นด้วย 84%) ยังเห็นด้วยกับการประหารชีวิต และเจ้าอาวาสมีสัดส่วน 50% ที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้

ส่วนศาสนาคริสต์ ถือว่าชีวิตเป็นคำอวยพรของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นกาประหารชีวิตจึงเป็นเรื่องไม่สมควร แต่ศาสนาอิสลามนั้น โทษประหารชีวิตถือเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา แต่การที่ผู้กระทำความผิดจะได้รับโทษนั้นจะต้องมีกระบวนการพิจารณาที่ละเอียดรอบคอบอย่างยิ่ง คือ จะต้องมีพยานอย่างน้อย 4 คนที่ยืนยั่นการกระทำความผิดนั้น และเจตนาในการกระทำความผิด ดังนั้นในประเทศไทยที่ระบบการพิจารณาคดียังมีความบกพร่องในเรื่องของพยานหลักฐานและความเป็นกลาง และปัญหาการใ้ช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ ทนายความมุสลิมจึงเห็นว่าโทษประหารชีวิตจึงไม่ควรใช้ในสังคมที่กระบวนการยุติธรรมยังมีความบกพร่อง

ประเด็นเรื่อง "หากไม่มีโทษประหารมันจะทำให้สังคมวุ่นวายหรือไม่" ประเด็นนี้เป็นประเด็นหลักที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง

เพราะฝ่ายสนับสนุนเห็นว่าโทษประหารชีวิตทำให้อาชญากรรมลดลง แต่ฝ่ายที่คัดค้านก็ให้เหตุผลว่า การประหารชีวิตเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมในการใ้ช้ความรุนแรง และการลงโทษจำคุกตลอดชีวิตก็ยังได้ผลเช่นเดียวกัน ซึ่งการลงโทษจำตุกตลอดชีวิตควรจะต้องปรับปรุงให้สามารถบังคับอย่างจริงจัง กับข้อกังวลที่ว่า "ติดคุกไม่เท่าไรมันก็ออกมาอีก" ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การลงโทษหรอกครับ แต่อยู่ที่การพิจารณาคดีและการบังคับให้โทษที่ศาลตัดสินบังเกิดผลได้จริงต่างหาก

โทษไม่ได้เบาลงครับ และเราก็มีกฎหมายจำนวนมากออกมาจากฝ่ายนิติบัญญัติเพิ่มขึ้นมาตลอดเวลา จนบางครั้งทำให้แต่ว่าการพิจารณาคดีของผู้ต้องหามันทำได้ลำบากขึ้น เพราะไม่มีมาตรการคุ้มครองพยานที่ดี ผู้คนยังหวาดกลัวกับการเบิกความต่อศาลเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเสียเวลา และอาจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย, การพิจารณาคดีที่ขาดประิสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคง(ก่อการร้าย) การสอบสวนผู้ต้องหายังพบว่ามีการทรมานเพื่อให้รับสารภาพจำนวนมาก เช่น ในพื้นที่ภาคใต้ และล่าสุดที่จังหวัดอุุดรธานี ตามปรากฎในหนังสือพิมพ์ แม้กระทั่งที่กรุงเทพมหานคร ก็ยังพบครับ ,

ประเทศไทยมีกระบวนการราชทัณฑ์และอาชญวิทยาที่อ่อนแอมาก ซึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาให้ผู้ที่พ้นโทษจำคุกสามารถกลับเข้าสังคมได้ตามปกติ การเข้าคุกจึงเหมือนเป็นการตีตราบุคคลนั้น (ขี้คุก) ทำให้ไม่สามารถหางานทำได้ัทั่วไป และถูกเหยียดหยามจากสังคม ทำให้พบว่ามีจำนวนผู้พ้นโทษกลับเข้าคุกจำนวนมาก

ปล.ปัจจุบันได้มีการเคลื่อนไหวของนักสิทธิมนุษยชน เพื่อยกเลิกโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด, ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนได้ชื่อว่าเป็นประเทศทีมีการประหารชีวิตสูงมาก ส่วนหนึ่งเ็ป็นเพราะสภาพสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมาก ประเทศที่ใช้กฎหมายอิสลามเ็ป็นหลักก็ยังพบว่ารูปแบบการประหารตามหลักศาสนา เช่น การตัดคอในที่สาธารณะ, การใ้ช้หินขว้างให้ตาย ยังพบว่ามีอยู่ เช่น ประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น, โทษประหารชีวิตมีประเทศต่อรัฐมากว่าเพราะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการจำคุกตลอดชีวิต

เป็นต้นครับผม

โพสต์เมื่อ: พุธ เม.ย. 20, 2011 01:13
โดย Little_Devil_15
ผมสนับสนุนโทษประหารนะครับ แต่สังคมมันเปลี่ยนไป เพราะแพะมันเยอะเนี่ยล่ะประเด็นเลย

จริงๆแล้วการฆ่าคนตายเนี่ยผมว่าประหารไปตามเลยมันส่งผลดีอะไรหลายๆด้าน ทั้งทำให้อาชญากรรมลดลง และัมันคงสาสมในความรู้สึกของผู้ที่สูญเสียแล้วไม่ใช่จำคุก 20 ปีแล้วลดโทษเอาๆ (สำหรับผมไม่คิดว่ามันไร้มนุษยธรรมตรงไหน ในเมื่อคุณไปฆ่าเขาอย่างไร้ความเป็นมนุษย์ บางครั้งไตร่ตรองวางแผน บางครั้งฆ่าอย่างโหดเหี้ยม แต่เมื่อเวลาตนเองจะถูกลงโทษกลับมองว่ามันป่าเถื่อน ร้องขอความเมตตา แล้วตอนคุณฆ่าเขาคุณเคยคิดสงสารเหยื่อของคุณหรือไม่ ผมว่ามันบัดซบสิ้นดีให้ตายเหอะ)


เพียงแต่ แพะ คำเดียวจริงๆครับที่ผมไม่คิดว่าการประหารคือทางออกที่ดีที่สุดเสมอไป (เหมือนที่ท่าน cassanova09 ว่านั่นแหละ)

เพราะเงินซื้อได้เกือบทุกอย่างจริงๆ เฮ้อออมนุษย์โลก

โพสต์เมื่อ: พุธ เม.ย. 20, 2011 01:42
โดย wonderfulz
น่ากลัวทุกอย่าง

โพสต์เมื่อ: พุธ เม.ย. 20, 2011 11:26
โดย GuzJung
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ

โพสต์เมื่อ: พุธ เม.ย. 20, 2011 13:26
โดย other09
อยากให้วิธีโหดมาใช้กับบ้านเมืองสมัยนี้จังแต่ก็คงเป็นไปไม่ได้

โพสต์เมื่อ: พุธ เม.ย. 20, 2011 16:27
โดย Redarmy_Yoona
สงสัยต้องกลับไปใช้วิธีสมัยโบราณแล้วมั๊ง