แมวผี(เรื่องสั้น)

แด่..............................วัดแมวสำราญ
.
.
.
วันที่สามของการบวช กุฏิร้อนระอุจากเปลวแดดและหลังคาสังกะสีที่ผุกร่อนจากสนิมกัดกิน (มันช่างไม่กลัวบาป)
ฝ้าไม้จากโลงศพก็ช่วยอะไรไม่ได้ บนกุฎิจึงกลายสภาพเป็นเตาอบหลายเตาติดกัน ผลลัพท์คือไม่มีพระสงฆ์รูปไหนทนอยู่ได้
หลวงน้าต้อยเดินลงกะไดไปปูพื้นกระเบื้องโรงอาหาร กับพวกช่างและเณรมือขวาอีกองค์
หลวงตาคำผู้ชราภาพและไม่ละทิ้งยาฉุน แกลงไปนั่งดายหญ้าหน้าโบสถ์แบบค่อยๆถัด ค่อยๆทำ
หลวงอาหว่างใช้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปซื้อน้ำแข็งและกระทิงแดง
ส่วนผมพระบวชใหม่นั้น ก็จำต้องธุดงค์ลงมาจำวัดที่เปลใต้ถุนกุฎิ ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของกุฏิตัวเอง ตรงนั้นอากาศค่อยยังชั่วหน่อย ไม่ร้อน และเย็นสบายเมื่อมีลมโกรก ซึ่งนานๆจะพัดมาซักที
เมื่อไปที่เปลก็พบหลวงพี่อ๊อฟ กับท่านปุ้ย และเณรต้อมนอนเรียงกันอยู่เป็นแพ ทั้งสามคุยกันเงียบๆ หนุงหนิง ทั้งหมดเงยหน้ามามองที่ผมอย่างพร้อมเพรียงและยิ้มทักทาย
หลวงพี่อ๊อฟรูปร่างสูงโย่ง หน้ากลมตาโปน แก่กว่าผมสักสองปี ท่านปุ้ยหน้าเสี้ยมผอมกะหร่องสักเต็มตัว ส่วนเณรต้อมนอนเปลเรี่ยดินเนื่องจากน้ำหนักเกินเกณฑ์ แต่หน้าแกมีเค้าหล่อเหมือนพระเอกหนังสมัยก่อน
ในพวกเราเณรต้อมอายุเยอะสุด ที่แกมาบวชก็เพราะแก้บนให้แฟน
"อ้าว ว่าไงหลงพี่"แกทักทันที
"ร้อนน่ะสิ อยู่ไม่ได้เลยบนกุด"
"มานอนเล่นเย็นๆฟังหลงพี่อ๊อฟเล่าเรื่องผีดีกว่า" ท่านปุ้ยชวน
ผมคลี่เปลและนั่งลงหันหน้าไปทางหลวงพี่อ๊อฟ
"วันนี้เรื่องอะไรล่ะหลวงพี่"
"แมวผี" เจ้าของเสียงทำหน้าตาขึงขัง
"เรื่องจริงรึเปล่าเนี่ย"ผมถามไปยังงั้น
"เป็นพระ ต้องเรื่องจริง" แกทำหน้าขึงขังยิ่งกว่าเดิม
"งั้นเล่ามาเลยหลวงพี่ ผมบวช 10 กว่าวัน ฟังหลวงพี่วันละเรื่อง สึกแล้วผมจะเอาไปเขียนให้คนอ่าน"
"เป็นนักเขียนเรอะ"
"ผมเป็นนักโม้"
"เออ เข้าท่า"
"เมื่อปีที่แล้วนี่เอง ตอนหลงพี่มาบวชใหม่ๆ ตรงท้ายเมรุนู้น"
"เดี๋ยวหลงพี่" ท่านปุ้ยขัดขึ้น แกล้งทำหน้ากวน
"อะไรวะ"หลวงพี่อ๊อฟหน้าฉุน
"ขอมวนยาเส้นก่อน ฟังด้วยดูดด้วย ท่าทางจะเพลิน"
"แหม่...ไอ้ห่านี่ แค่นี้ต้องขัด"
"เอาล่ะทีนี้จะเล่ารวดเดียว ใครขัดกูไม่เล่าละ" แกว่าแล้วหันมายิ้มให้ผม เณรต้อมจ้วงน้ำในกระติก ทำหน้าตาอยากฟังมากกว่าใคร
"เมื่อปีที่แล้วนี่เอง ตอนหลวงพี่มาบวชใหม่ๆ ตอนนั้นวัดเราเนี่ย เลี้ยงไ่ก่ไว้เยอะแยะไปหมด เยอะกว่าตอนนี้ซะอีก ทั้งไก่ชนไก่แจ้ ไก่อู ไอ้พวกไก่น่ะมันอยู่หลังวัด หน้าที่ดูแลก็เป็นของหลวงพี่เฉิ่ม
ก็องค์เตี้ยๆ ที่เขาเอาบาตรให้พระใหม่ยืมนั่นแหละ เขามีหน้าที่ให้อาหารทุกเย็น หลวงพี่เฉิ่มเนี่ย แกเป็นคนรักไก่นะ หวงไก่ด้วย ญาติโยมไปขอนี่แกไม่ให้เลย เวลาญาติโยมถวายปัจจัย
แกก็จะเอาไปซื้อไก่มาเลี้ยงนี่แหละ ทีนี้มันก็เยอะขึ้นๆ ออกลูกออกหลานเป็นหลายร้อยตัว
มีอยู่วันนึงไก่แกเกิดตายขึ้นมาน่ะสิ ตอนแรกๆก็วันละตัวสองตัว โดนกัดตาย กัดที่คอ แต่ไม่กิน ตอนแรกแกคิดว่าหมา ตอนนั้นหมาตัวไหนไปทางหลังวัดนี่แกจะเอาหนังกะติ๊กยิงเลย
คราวนี้เวลาผ่านไป ไก่มันก็ยังตายอยู่ดี อีทีนี้ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นด้วย ตายอาการเดิม ท่านเฉิ่มแกจนปัญญา ก็เลยให้หลวงพี่เนี่ย คอยจับตาดูว่ามันเกิดจากอะไร
วันนั้นคืนเดือนหงาย หลวงพี่ไปนั่งซุ่มอยู่ในเล้าไก่ ถ้าจะถามว่าทำไมหลวงพี่ถึงทุ่มทุนขนาดนั้นก็ขอบอกเลยว่า เอ็มร้อยสองแพ็คกับกรองทิพย์หนึ่งคัตต้อนที่หลวงพี่เฉิ่มจะให้นั้น มันสั่งให้หลวงพี่ทำ
ตอนนั้นดึกสงัดแล้ว ลมพัดเอื่อยๆอากาศเย็นเฉียบ บางทีมันก็พัดแรง จนต้นไม้ไหวเสียงเกรียวกราว ไอ้ต้นยางสูงๆนั้นน่ากลัวหน่อยเพราะในความมืดขมุกขมัว ตาของหลวงพี่คอยจะฝาดเห็นมันเป็นเปรต
แต่ก็อย่างว่า หลวงพี่ไม่ใช่คนกลัวผี จึงอดทนนั่งรอในนั้นจนเมื่อยไปทั้งตัวและเริ่มคิดถอดใจจะกลับกุฏิ ก็พอดีได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากทางเมรุหลังวัด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเล้าไก่เท่าไรนัก
มันร้องออกมาเป็นจังหวะ ตอนแรกหลวงพี่ก็เดาไม่ถูกว่ามันเป็นเสียงของตัวอะไรเหมือนกัน มันแหบมันห้าว บางครั้งเหมือนเสียงคนแก่พร่าเลือนไปกับลม
บางทีมันก็ออกโทนสูงเหมือนเด็กแดงๆร้องหาแม่ แล้วไอ้เสียงที่ว่านี้ดูเหมือนมันจะค่อยๆขยับมาใกล้เล้าไก่ที่หลวงพี่ซุ่มอยู่ทุกทีๆ ไอ้พวกไก่ก็กะโต๊กกะต๊ากกันใหญ่
หลวงพี่รวบรวมสติ แล้วตั้งใจฟัง ไอ้เสียงนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น ท่ามกลางความมืดสลัวนั้น หลวงพี่ก็เห็นเงาลางๆกะลังเคลื่อนเข้ามา หลวงพี่คิดว่ามันต้องเป็นสัตว์แน่ๆ ไม่หมาก็อีเห็น
มันเยื้องย่างแช่มช้าอย่างมั่นใจ แต่ชั่วขณะมันก็วิ่งเหย่าๆตัวเข้ามา แล้วมันก็หมอบคลานช้าๆ ในแสงสลัวนั้นหลวงพี่เห็นแววตาของมันเรืองขึ้นมา สีมันเขียวจ้าสะท้อนอยู่ในความมืด เหมือนนัยน์ตาของสัตว์
หลวงพี่กลั้นหายใจ ไม่ขยับตัว
ในที่สุดมันก็เคลื่อนเข้ามา ห่างจากเล้าไก่ไม่ถึง 3 วา เมื่อนั้นแหละที่หลวงพี่เห็นตัวมัน"
"โฮก คร่อกกกก"
ผมสะดุ้งหันไปมองต้นเสียง เห็นท่านปุ้ยนอนหลับอ้าปากหวอ ส่งเสียงกรนออกมา ที่ซอกนิ้วมียาเส้นที่ดับไปแล้วคาอยู่
"โถ่ ไอ้ชิบหาย" หลงพี่อ๊อฟทั้งเคืองทั้งขัน
"ต่อเลยหลงพี่"เณรต้อมคะยั้นส่วนผมพยักหน้าคะยอ
"ตอนนั้นแหละที่หลวงพี่เห็นตัวมัน ตามันสีเขียววาวเรือง ขนสีดำของมันเงาปลาบกระทบแสงจันทร์ หัวหูนั้นแหว่งวิ่นขนหรอมแหรม หางยาวของมันสั่นไกวช้าๆอย่างสบายอารมณ์อยู่ในที
มันเป็นแมวขนาดโตเต็มที่กำลังเปรียว หลวงพี่แปลกใจและโล่งอกที่มันเป็นแค่แมว มันยังยืนนิ่งเฉยอยู่
แต่ไก่ในเล้ากระพือปีก วิ่งกันสับสน ชั่วขณะ มันก็ค่อยๆเอาหัวมุดเข้ามาในเล้าตรงที่ซี่ไม้ไผ่หลุดเป็นช่อง แต่ทันใดนั้นมันก็หยุดชะงัก
มันหันมาทางหลวงพี่ มันจ้องมองหลวงพี่อย่างแปลกใจ ตาสีเีขียวของมันเรืองจ้ากว่าเดิม ส่วนหลวงพี่ก็นิ่งเฉย ไม่ขยับตัว จ้องตาประสานกับมัน
ภาวนาให้มันเข้ามาจะได้ตะครุบตัว ผิดคาด ไอ้แมวระยำนั้นมันถดหัวออกไป ทั้งๆที่ยังจ้องหลวงพี่ มันทำอย่างช้าๆและเงียบกริบ หลวงพี่เลยกระโดดพุ่งไปที่มันพร้อมเอามือตระครุบ
แต่ช้ากว่ามัน ไอ้นั่นมันผลุบออกไปแล้ว พร้อมทั้งวิ่งไปทางเมรุ หลวงพี่เปิดประตูเล้าวิ่งไล่ตามหลังมันไป พอถึงที่เมรุมันก็หายไปแล้ว
คืนนั้นหลวงพี่กลับมานอนก่ายหน้าผากที่กุฎิ ในหัวมีแต่ภาพดวงตาของมัน วงรีสีเขียววาวเรืองในความมืด ก่อนจะผลอยหลับไปหูยังแว่วเสียงของมันดังมาจากทางเมรุ
ไอ้แมวระยำ!!
รุ่งเช้าหลังจากออกบิณเสร็จ หลวงพี่เดินไปแถวนั้นเพื่อหาร่องรอยของมัน ก็พอดีเจอโยมพวนสัปเหร่อวัดเราเข้้า เลยถามว่าเคยเห็นแมวตัวสีดำๆ แถวนี้มั่งมั้ย
โยมพวนแกยิ้มแล้วก็ว่า มีอยู่ตัวเดียวชื่อไอ้ดำ มันนอนอยู่ในเมรุ มันอาศัยอยู่ในนั้น ไอ้ตัวนี้มันแมวผีนาหลวงพี่ หลวงพี่ก็ถามว่าทำไม โยมพวนแกบอกสัปเหร่อคนก่อน
เคยเห็นมันมาแทะเศษศพที่เหลือจากเผาแล้ว แกว่าไล่มันมันยังหันมามองเหมือนคน แกจะจับมันมันก็วิ่งหายไป พอจะดักก็เหมือนมันรู้
ตอนนั้นหลวงพี่คิดว่าเป็นตัวเดียวกันแน่ แต่จะจัดการไอ้แมวห่านี่ยังไง
เย็นวันนั้นเองหลังจากทำวัตรเสร็จ หลวงพี่เตรียมตัวออกไปรอมันเหมือนเมื่อวาน แต่วันนี้หลวงพี่ขึ้นไปแอบบนต้นไทรใหญ่พร้อมด้วยหนังกะติ๊ก
กะว่าจะยิงให้มันเข็ดไม่มากินไก่อีกเท่า่นั้น
ในคืนนั้นดูเหมือนอากาศอบอ้าวกว่าทุกวัน หลวงพี่นั่งอยู่บนต้นไทรเหงื่อออกท่วมตัว และคันคะเยอจากฝูงมดดำที่ขนไข่เดินเป็นแนว เสียงหมาหอนดังมาจากทางหน้าวัด
ไก่ในเล้านอนกันเงียบกริบ ทันใดนั้น เสียงร้องประหลาดเป็นจังหวะก็ดังทำลายความเงียบขึ้น เป็นมันนั่นเอง มันมาเวลาเดียวกันกับเมื่อวาน และเสียงของมันก็เคลื่อนเข้ามาใกล้เหมือนเดิม
ไก่ในเล้าพอได้ยินเท่านั้นก็วิ่งวนสับสนอลหม่าน หลวงพี่สะกดใจไว้รอให้เห็นตัวมันซะก่อน แล้วมันก็มา เงาสีดำขนาดย่อมและดวงตาสีเขียวเรืองรองในความมืด
คราวนี้ัมันรีๆรอๆเหมือนระแวง จากนั้นมันก็เดินต่อมาเรื่อยจนเกือบจะถึงเล้า ในความมืดนั้นตัวมันเลือนลางเหมือนเงาเหมือนควัน มีแต่ดวงตาของมันที่หลวงพี่มองเห็น
มันเดินวนรอบบริเวณเล้าก้มลงดมโน่นดมนี่ ก่อนจะวกกลับมาเข้าทางเดิมของมัน คืออีช่องที่ซี่ไม้ไผ่หลุด และขณะนั้นเองหลวงพี่ล้วงย่ามเอากระสุนและหนังกะติ๊กมารอท่าไว้
รวบรวมสมาธิง้างหนังกะติ๊กเล็งไปที่มัน ขณะที่กำลังจะยิง ไอ้ฝนจัญไรมันก็ตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ฟ้าร้องโครมครามเหมือนจะทลาย มันชะงักกึกทำท่าจะวิ่งกลับไปที่เมรุ
หลวงพี่ตัดสินใจยิงในตอนนั้นทันที ไม่รู้ว่าแม่นหรือโชคช่วย แต่กระสุนโดนมันที่หลังอย่างจัง แต่นั่นแหละที่ทำให้หลวงพี่ตกใจจนแทบตกต้นไม้
เพราะเสียงที่มันร้องออกมาไม่ใช่เสียงแมว แต่เสือกเป็นเสียงของคนที่ร้องว่า โอ๊ย เป็นเสียงแหบห้าวเหมือนกับเสียงระยำของมัน และแฝงไว้ด้วยความโกรธแค้น
มันหันกลับมามองหลวงพี่บนต้นไม้ คราวนี้ดวงตาของมันแดงก่ำ แล้วตัวมันก็ค่อยๆเลือนหายไปในความมืดท่ามกลางสายฝน"
หลวงพี่อ๊อฟล้วงไฟแช็คและบุหรี่ออกมาจากอังสะ ทำท่าจะจุดสูบ
"จบแล้วเหรอหลวงพี่"เณรต้อมที่นั่งฟังตาปริบๆถามขึ้น
"จบแล้ว"
"แล้วต่อจากนั้นล่ะหลวงพี่ มันเป็นยังไง มีใครเห็นมันมั้ย แล้วไก่ยังตายเหมือนเดิมรึเปล่า"
"ไม่มีใครเห็นมันอีกเลย แต่ไก่ตายแทบหมดเล้า"
"ฮ้า...ทำไมยังงั้นล่ะหลวงพี่"
"มันเป็นโรคตายว่ะ" หลวงพี่พูดแล้วอัดควันเข้าปอด
"เป็นไงพระใหม่ เรื่องนี้ใช้ได้มั้ย"
"สนุกดีครับหลวงพี่" ผมพูดยิ้มๆ แต่ในใจก็อดขวัญหายไม่ได้
เพราะเมื่อวานระหว่างที่ไปกวาดรอบเมรุ ผมเห็นแมวตัวหนึ่ง
สีของมันดำขลับ หัวหูแหว่งวิ่น ตาของมันสีเขียวเรือง และจ้องมองผมเหมือนแววตาของคน
.
.
.
วันที่สามของการบวช กุฏิร้อนระอุจากเปลวแดดและหลังคาสังกะสีที่ผุกร่อนจากสนิมกัดกิน (มันช่างไม่กลัวบาป)
ฝ้าไม้จากโลงศพก็ช่วยอะไรไม่ได้ บนกุฎิจึงกลายสภาพเป็นเตาอบหลายเตาติดกัน ผลลัพท์คือไม่มีพระสงฆ์รูปไหนทนอยู่ได้
หลวงน้าต้อยเดินลงกะไดไปปูพื้นกระเบื้องโรงอาหาร กับพวกช่างและเณรมือขวาอีกองค์
หลวงตาคำผู้ชราภาพและไม่ละทิ้งยาฉุน แกลงไปนั่งดายหญ้าหน้าโบสถ์แบบค่อยๆถัด ค่อยๆทำ
หลวงอาหว่างใช้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปซื้อน้ำแข็งและกระทิงแดง
ส่วนผมพระบวชใหม่นั้น ก็จำต้องธุดงค์ลงมาจำวัดที่เปลใต้ถุนกุฎิ ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของกุฏิตัวเอง ตรงนั้นอากาศค่อยยังชั่วหน่อย ไม่ร้อน และเย็นสบายเมื่อมีลมโกรก ซึ่งนานๆจะพัดมาซักที
เมื่อไปที่เปลก็พบหลวงพี่อ๊อฟ กับท่านปุ้ย และเณรต้อมนอนเรียงกันอยู่เป็นแพ ทั้งสามคุยกันเงียบๆ หนุงหนิง ทั้งหมดเงยหน้ามามองที่ผมอย่างพร้อมเพรียงและยิ้มทักทาย
หลวงพี่อ๊อฟรูปร่างสูงโย่ง หน้ากลมตาโปน แก่กว่าผมสักสองปี ท่านปุ้ยหน้าเสี้ยมผอมกะหร่องสักเต็มตัว ส่วนเณรต้อมนอนเปลเรี่ยดินเนื่องจากน้ำหนักเกินเกณฑ์ แต่หน้าแกมีเค้าหล่อเหมือนพระเอกหนังสมัยก่อน
ในพวกเราเณรต้อมอายุเยอะสุด ที่แกมาบวชก็เพราะแก้บนให้แฟน
"อ้าว ว่าไงหลงพี่"แกทักทันที
"ร้อนน่ะสิ อยู่ไม่ได้เลยบนกุด"
"มานอนเล่นเย็นๆฟังหลงพี่อ๊อฟเล่าเรื่องผีดีกว่า" ท่านปุ้ยชวน
ผมคลี่เปลและนั่งลงหันหน้าไปทางหลวงพี่อ๊อฟ
"วันนี้เรื่องอะไรล่ะหลวงพี่"
"แมวผี" เจ้าของเสียงทำหน้าตาขึงขัง
"เรื่องจริงรึเปล่าเนี่ย"ผมถามไปยังงั้น
"เป็นพระ ต้องเรื่องจริง" แกทำหน้าขึงขังยิ่งกว่าเดิม
"งั้นเล่ามาเลยหลวงพี่ ผมบวช 10 กว่าวัน ฟังหลวงพี่วันละเรื่อง สึกแล้วผมจะเอาไปเขียนให้คนอ่าน"
"เป็นนักเขียนเรอะ"
"ผมเป็นนักโม้"
"เออ เข้าท่า"
"เมื่อปีที่แล้วนี่เอง ตอนหลงพี่มาบวชใหม่ๆ ตรงท้ายเมรุนู้น"
"เดี๋ยวหลงพี่" ท่านปุ้ยขัดขึ้น แกล้งทำหน้ากวน
"อะไรวะ"หลวงพี่อ๊อฟหน้าฉุน
"ขอมวนยาเส้นก่อน ฟังด้วยดูดด้วย ท่าทางจะเพลิน"
"แหม่...ไอ้ห่านี่ แค่นี้ต้องขัด"
"เอาล่ะทีนี้จะเล่ารวดเดียว ใครขัดกูไม่เล่าละ" แกว่าแล้วหันมายิ้มให้ผม เณรต้อมจ้วงน้ำในกระติก ทำหน้าตาอยากฟังมากกว่าใคร
"เมื่อปีที่แล้วนี่เอง ตอนหลวงพี่มาบวชใหม่ๆ ตอนนั้นวัดเราเนี่ย เลี้ยงไ่ก่ไว้เยอะแยะไปหมด เยอะกว่าตอนนี้ซะอีก ทั้งไก่ชนไก่แจ้ ไก่อู ไอ้พวกไก่น่ะมันอยู่หลังวัด หน้าที่ดูแลก็เป็นของหลวงพี่เฉิ่ม
ก็องค์เตี้ยๆ ที่เขาเอาบาตรให้พระใหม่ยืมนั่นแหละ เขามีหน้าที่ให้อาหารทุกเย็น หลวงพี่เฉิ่มเนี่ย แกเป็นคนรักไก่นะ หวงไก่ด้วย ญาติโยมไปขอนี่แกไม่ให้เลย เวลาญาติโยมถวายปัจจัย
แกก็จะเอาไปซื้อไก่มาเลี้ยงนี่แหละ ทีนี้มันก็เยอะขึ้นๆ ออกลูกออกหลานเป็นหลายร้อยตัว
มีอยู่วันนึงไก่แกเกิดตายขึ้นมาน่ะสิ ตอนแรกๆก็วันละตัวสองตัว โดนกัดตาย กัดที่คอ แต่ไม่กิน ตอนแรกแกคิดว่าหมา ตอนนั้นหมาตัวไหนไปทางหลังวัดนี่แกจะเอาหนังกะติ๊กยิงเลย
คราวนี้เวลาผ่านไป ไก่มันก็ยังตายอยู่ดี อีทีนี้ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นด้วย ตายอาการเดิม ท่านเฉิ่มแกจนปัญญา ก็เลยให้หลวงพี่เนี่ย คอยจับตาดูว่ามันเกิดจากอะไร
วันนั้นคืนเดือนหงาย หลวงพี่ไปนั่งซุ่มอยู่ในเล้าไก่ ถ้าจะถามว่าทำไมหลวงพี่ถึงทุ่มทุนขนาดนั้นก็ขอบอกเลยว่า เอ็มร้อยสองแพ็คกับกรองทิพย์หนึ่งคัตต้อนที่หลวงพี่เฉิ่มจะให้นั้น มันสั่งให้หลวงพี่ทำ
ตอนนั้นดึกสงัดแล้ว ลมพัดเอื่อยๆอากาศเย็นเฉียบ บางทีมันก็พัดแรง จนต้นไม้ไหวเสียงเกรียวกราว ไอ้ต้นยางสูงๆนั้นน่ากลัวหน่อยเพราะในความมืดขมุกขมัว ตาของหลวงพี่คอยจะฝาดเห็นมันเป็นเปรต
แต่ก็อย่างว่า หลวงพี่ไม่ใช่คนกลัวผี จึงอดทนนั่งรอในนั้นจนเมื่อยไปทั้งตัวและเริ่มคิดถอดใจจะกลับกุฏิ ก็พอดีได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากทางเมรุหลังวัด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเล้าไก่เท่าไรนัก
มันร้องออกมาเป็นจังหวะ ตอนแรกหลวงพี่ก็เดาไม่ถูกว่ามันเป็นเสียงของตัวอะไรเหมือนกัน มันแหบมันห้าว บางครั้งเหมือนเสียงคนแก่พร่าเลือนไปกับลม
บางทีมันก็ออกโทนสูงเหมือนเด็กแดงๆร้องหาแม่ แล้วไอ้เสียงที่ว่านี้ดูเหมือนมันจะค่อยๆขยับมาใกล้เล้าไก่ที่หลวงพี่ซุ่มอยู่ทุกทีๆ ไอ้พวกไก่ก็กะโต๊กกะต๊ากกันใหญ่
หลวงพี่รวบรวมสติ แล้วตั้งใจฟัง ไอ้เสียงนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น ท่ามกลางความมืดสลัวนั้น หลวงพี่ก็เห็นเงาลางๆกะลังเคลื่อนเข้ามา หลวงพี่คิดว่ามันต้องเป็นสัตว์แน่ๆ ไม่หมาก็อีเห็น
มันเยื้องย่างแช่มช้าอย่างมั่นใจ แต่ชั่วขณะมันก็วิ่งเหย่าๆตัวเข้ามา แล้วมันก็หมอบคลานช้าๆ ในแสงสลัวนั้นหลวงพี่เห็นแววตาของมันเรืองขึ้นมา สีมันเขียวจ้าสะท้อนอยู่ในความมืด เหมือนนัยน์ตาของสัตว์
หลวงพี่กลั้นหายใจ ไม่ขยับตัว
ในที่สุดมันก็เคลื่อนเข้ามา ห่างจากเล้าไก่ไม่ถึง 3 วา เมื่อนั้นแหละที่หลวงพี่เห็นตัวมัน"
"โฮก คร่อกกกก"
ผมสะดุ้งหันไปมองต้นเสียง เห็นท่านปุ้ยนอนหลับอ้าปากหวอ ส่งเสียงกรนออกมา ที่ซอกนิ้วมียาเส้นที่ดับไปแล้วคาอยู่
"โถ่ ไอ้ชิบหาย" หลงพี่อ๊อฟทั้งเคืองทั้งขัน
"ต่อเลยหลงพี่"เณรต้อมคะยั้นส่วนผมพยักหน้าคะยอ
"ตอนนั้นแหละที่หลวงพี่เห็นตัวมัน ตามันสีเขียววาวเรือง ขนสีดำของมันเงาปลาบกระทบแสงจันทร์ หัวหูนั้นแหว่งวิ่นขนหรอมแหรม หางยาวของมันสั่นไกวช้าๆอย่างสบายอารมณ์อยู่ในที
มันเป็นแมวขนาดโตเต็มที่กำลังเปรียว หลวงพี่แปลกใจและโล่งอกที่มันเป็นแค่แมว มันยังยืนนิ่งเฉยอยู่
แต่ไก่ในเล้ากระพือปีก วิ่งกันสับสน ชั่วขณะ มันก็ค่อยๆเอาหัวมุดเข้ามาในเล้าตรงที่ซี่ไม้ไผ่หลุดเป็นช่อง แต่ทันใดนั้นมันก็หยุดชะงัก
มันหันมาทางหลวงพี่ มันจ้องมองหลวงพี่อย่างแปลกใจ ตาสีเีขียวของมันเรืองจ้ากว่าเดิม ส่วนหลวงพี่ก็นิ่งเฉย ไม่ขยับตัว จ้องตาประสานกับมัน
ภาวนาให้มันเข้ามาจะได้ตะครุบตัว ผิดคาด ไอ้แมวระยำนั้นมันถดหัวออกไป ทั้งๆที่ยังจ้องหลวงพี่ มันทำอย่างช้าๆและเงียบกริบ หลวงพี่เลยกระโดดพุ่งไปที่มันพร้อมเอามือตระครุบ
แต่ช้ากว่ามัน ไอ้นั่นมันผลุบออกไปแล้ว พร้อมทั้งวิ่งไปทางเมรุ หลวงพี่เปิดประตูเล้าวิ่งไล่ตามหลังมันไป พอถึงที่เมรุมันก็หายไปแล้ว
คืนนั้นหลวงพี่กลับมานอนก่ายหน้าผากที่กุฎิ ในหัวมีแต่ภาพดวงตาของมัน วงรีสีเขียววาวเรืองในความมืด ก่อนจะผลอยหลับไปหูยังแว่วเสียงของมันดังมาจากทางเมรุ
ไอ้แมวระยำ!!
รุ่งเช้าหลังจากออกบิณเสร็จ หลวงพี่เดินไปแถวนั้นเพื่อหาร่องรอยของมัน ก็พอดีเจอโยมพวนสัปเหร่อวัดเราเข้้า เลยถามว่าเคยเห็นแมวตัวสีดำๆ แถวนี้มั่งมั้ย
โยมพวนแกยิ้มแล้วก็ว่า มีอยู่ตัวเดียวชื่อไอ้ดำ มันนอนอยู่ในเมรุ มันอาศัยอยู่ในนั้น ไอ้ตัวนี้มันแมวผีนาหลวงพี่ หลวงพี่ก็ถามว่าทำไม โยมพวนแกบอกสัปเหร่อคนก่อน
เคยเห็นมันมาแทะเศษศพที่เหลือจากเผาแล้ว แกว่าไล่มันมันยังหันมามองเหมือนคน แกจะจับมันมันก็วิ่งหายไป พอจะดักก็เหมือนมันรู้
ตอนนั้นหลวงพี่คิดว่าเป็นตัวเดียวกันแน่ แต่จะจัดการไอ้แมวห่านี่ยังไง
เย็นวันนั้นเองหลังจากทำวัตรเสร็จ หลวงพี่เตรียมตัวออกไปรอมันเหมือนเมื่อวาน แต่วันนี้หลวงพี่ขึ้นไปแอบบนต้นไทรใหญ่พร้อมด้วยหนังกะติ๊ก
กะว่าจะยิงให้มันเข็ดไม่มากินไก่อีกเท่า่นั้น
ในคืนนั้นดูเหมือนอากาศอบอ้าวกว่าทุกวัน หลวงพี่นั่งอยู่บนต้นไทรเหงื่อออกท่วมตัว และคันคะเยอจากฝูงมดดำที่ขนไข่เดินเป็นแนว เสียงหมาหอนดังมาจากทางหน้าวัด
ไก่ในเล้านอนกันเงียบกริบ ทันใดนั้น เสียงร้องประหลาดเป็นจังหวะก็ดังทำลายความเงียบขึ้น เป็นมันนั่นเอง มันมาเวลาเดียวกันกับเมื่อวาน และเสียงของมันก็เคลื่อนเข้ามาใกล้เหมือนเดิม
ไก่ในเล้าพอได้ยินเท่านั้นก็วิ่งวนสับสนอลหม่าน หลวงพี่สะกดใจไว้รอให้เห็นตัวมันซะก่อน แล้วมันก็มา เงาสีดำขนาดย่อมและดวงตาสีเขียวเรืองรองในความมืด
คราวนี้ัมันรีๆรอๆเหมือนระแวง จากนั้นมันก็เดินต่อมาเรื่อยจนเกือบจะถึงเล้า ในความมืดนั้นตัวมันเลือนลางเหมือนเงาเหมือนควัน มีแต่ดวงตาของมันที่หลวงพี่มองเห็น
มันเดินวนรอบบริเวณเล้าก้มลงดมโน่นดมนี่ ก่อนจะวกกลับมาเข้าทางเดิมของมัน คืออีช่องที่ซี่ไม้ไผ่หลุด และขณะนั้นเองหลวงพี่ล้วงย่ามเอากระสุนและหนังกะติ๊กมารอท่าไว้
รวบรวมสมาธิง้างหนังกะติ๊กเล็งไปที่มัน ขณะที่กำลังจะยิง ไอ้ฝนจัญไรมันก็ตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ฟ้าร้องโครมครามเหมือนจะทลาย มันชะงักกึกทำท่าจะวิ่งกลับไปที่เมรุ
หลวงพี่ตัดสินใจยิงในตอนนั้นทันที ไม่รู้ว่าแม่นหรือโชคช่วย แต่กระสุนโดนมันที่หลังอย่างจัง แต่นั่นแหละที่ทำให้หลวงพี่ตกใจจนแทบตกต้นไม้
เพราะเสียงที่มันร้องออกมาไม่ใช่เสียงแมว แต่เสือกเป็นเสียงของคนที่ร้องว่า โอ๊ย เป็นเสียงแหบห้าวเหมือนกับเสียงระยำของมัน และแฝงไว้ด้วยความโกรธแค้น
มันหันกลับมามองหลวงพี่บนต้นไม้ คราวนี้ดวงตาของมันแดงก่ำ แล้วตัวมันก็ค่อยๆเลือนหายไปในความมืดท่ามกลางสายฝน"
หลวงพี่อ๊อฟล้วงไฟแช็คและบุหรี่ออกมาจากอังสะ ทำท่าจะจุดสูบ
"จบแล้วเหรอหลวงพี่"เณรต้อมที่นั่งฟังตาปริบๆถามขึ้น
"จบแล้ว"
"แล้วต่อจากนั้นล่ะหลวงพี่ มันเป็นยังไง มีใครเห็นมันมั้ย แล้วไก่ยังตายเหมือนเดิมรึเปล่า"
"ไม่มีใครเห็นมันอีกเลย แต่ไก่ตายแทบหมดเล้า"
"ฮ้า...ทำไมยังงั้นล่ะหลวงพี่"
"มันเป็นโรคตายว่ะ" หลวงพี่พูดแล้วอัดควันเข้าปอด
"เป็นไงพระใหม่ เรื่องนี้ใช้ได้มั้ย"
"สนุกดีครับหลวงพี่" ผมพูดยิ้มๆ แต่ในใจก็อดขวัญหายไม่ได้
เพราะเมื่อวานระหว่างที่ไปกวาดรอบเมรุ ผมเห็นแมวตัวหนึ่ง
สีของมันดำขลับ หัวหูแหว่งวิ่น ตาของมันสีเขียวเรือง และจ้องมองผมเหมือนแววตาของคน