
หลังจากที่ ราดาเมล ฟัลเกา ได้ย้ายเข้ามาเล่นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสัญญายืมตัว เขาก็ได้รับเสื้อแข่งหมายเลข 9 ซึ่งว่างมา 2 ปีไปสวมใส่ นั่นหมายความว่าดาวยิงชาวโคลอมเบียจะได้สานต่อการถล่มประตูในเสื้อตัวนี้ต่อจากดาวยิงคนอื่นๆ ของสโมสร
มีนักเตะหลายต่อหลายคนที่ได้สวมเสื้อหมายเลขนี้ของสโมสร ไล่มาตั้งแต่ ทอมมี่ เทย์เลอร์ ในช่วงยุค 1950 มาจนถึง ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่ได้ใส่มันเมื่อปี 2012
ในบทความนี้เราจะมองไปยังผู้เล่นแต่ละคนโดยเรียงตามค่าเฉลี่ยการถล่มประตู น่าสนใจว่าราดาเมลที่เข้ามายังสโมสรด้วยสถิติอันสุดยอดจะทำได้ดีแค่ไหน โดยดาวยิงวัย 28 ปีพร้อมแล้วที่จะได้ลงสนามในบาร์เคลย์ส พรีเมียร์ ลีก หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงพักเบรคทีมชาติกันมา

ทอมมี่ เทย์เลอร์, ลงเล่นช่วง 1953-58, 131 ประตู จาก 191 เกม - ค่าเฉลี่ย 0.69
ศูนย์หน้าคนแรกที่มีชื่อเข้ามานั้นเขายิงประตูเป็นจำนวนมากที่สุดจากนักเตะทั้งหมดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เคยสวมเสื้อหมายเลข 9 ค่าเฉลี่ยการถล่มประตูต่อเกมของเขาก็คือ 0.69 ลูก ศูนย์หน้าตัวเป้าผู้เกิดในบาร์นสลี่ย์ย้ายมาจากทีมบ้านเกิดในปี 1953 ด้วยค่าตัว 29,999 ปอนด์ โดยอีก 1 ปอนด์ที่เหลือนั้น แมตต์ บัสบี้ ได้นำไปจ่ายให้กับสาวชงชาของสโมสรแทน นั่นทำให้เทย์เลอร์มีค่าตัวไม่ถึง 30,000 ปอนด์ เขาได้รับการขนานนามจาก อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ ดาวยิงเรอัล มาดริด ว่า 'แม็กนิฟิโก้' น่าเศร้าที่เทย์เลอร์ต้องมาจบชีวิตลงในเดือนกุมภาพันธ์ 1958 ร่วมกับเพื่อนร่วมทีมอีก 7 คนในโศกนาฏกรรมที่มิวนิค

แอนดี้ โคล, ลงเล่นช่วง 1995-2002, 121 ประตู จาก 275 เกม - ค่าเฉลี่ย 0.44
เขาได้สถาปนาตนเองจอมถล่มประตูมาตั้งแต่ก่อนย้ายเข้ามาแล้ว โคลผู้เกิดในน็อตติ้งแฮมโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจหลังจากย้ายจากนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เข้ามาในเดือนมกราคม 1995 และภายในช่วงระยะเวลาไม่นาน เขาก็โชว์ฟอร์มฮอตถึงขั้นซัด 5 ประตูในเกมเดียว เป็นเกมที่ถล่มเอาชนะอิปสวิช ทาวน์ ไป 9-0 เมื่อเดือนมีนาคม พิสูจน์ให้เห็นเป็นอย่างดีว่าโคลพร้อมแล้วที่จะประสบความสำเร็จกับทีมปีศาจแดง

ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ, ลงเล่นช่วง 2008-2012, 56 ประตู จาก 149 เกม - ค่าเฉลี่ย 0.38
เขาย้ายเข้ามาในวันสุดท้ายของตลาดซื้อขายในปี 2008 ดาวเตะชาวบัลแกเรียเข้ามาเติมเต็มทีมชุดที่เพิ่งคว้าดับเบิ้ลแชมป์คือพรีเมียร์ ลีก และแชมเปี้ยนส์ ลีก ไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น อดีตศูนย์หน้าท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูงจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยนำเขาไปเปรียบเทียบกับตำนานแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่าง เอริค คันโตน่า ในฤดูกาล 2010/11 เขาคว้ารางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ ลีก คู่กับอดีตเพื่อนร่วมทีม คาร์ลอส เตเบซ แต่แล้วดิมิทาร์ก็มาเสียตำแหน่งของเขาให้กับ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ก่อนจะย้ายไปอยู่กับฟูแล่มในปี 2012

สจ๊วร์ต เพียร์สัน, ลงเล่นช่วง 1974-79, 66 ประตู จาก 180 เกม - ค่าเฉลี่ย 0.35
เขาได้รับการขนานนามจากสเตรทฟอร์ด เอนด์ ว่า 'พันโช่' เขาถูกเซ็นสัญญาเข้ามาจากฮัลล์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 200,000 ปอนด์ ถือเป็นหนึ่งในการทำธุรกิจที่ยอดเยี่ยมของผู้จัดการทีม ทอมมี่ ด็อคเฮอร์ตี้ ตลอดระยะเวลาที่เขาเข้ารับตำแหน่งในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด โดยเพียร์สันมีส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมคว้าแชมป์ในปี 1977 เมื่อเขายิงประตูได้ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ที่เอาชนะคู่ปรับอย่างลิเวอร์พูลไป 2-1

หลุยส์ ซาฮา, ลงเล่นช่วง 2004-2008, 42 ประตู จาก 124 เกม - ค่าเฉลี่ย 0.34
สถิติการยิง 53 ประตู จาก 117 เกมให้กับฟูแล่มของดาวยิงชาวฝรั่งเศสรายนี้เพียงพอที่จะทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทุ่มเงิน 12.8 ล้านปอนด์คว้าตัวเขามาร่วมทีมในเดือนมกราคมของฤดูกาล 2003/04 เขาได้รับช่วงต่อเสื้อหมายเลข 9 ต่อจาก แอนดี้ โคล จากนั้นซาฮาก็ประเดิมสนามแบบสวยหรูด้วยการยิงฟรีคิก รวมแล้ว 5 เกมที่ลงสนามเขาทำประตูไปถึง 3 ลูก น่าเสียดายที่ช่วงเวลาของเขาในโอลด์ แทรฟฟอร์ด มักถูกรบกวนด้วยอาการบาดเจ็บ นั่นทำให้เขาเสียตำแหน่งในทีมชุดใหญ่ไป ก่อนที่จะย้ายไปเล่นกับเอฟเวอร์ตันในปี 2008

เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน, ลงเล่นช่วง 1956-73, 249 ประตู จาก 758 เกม - ค่าเฉลี่ย 0.33
ตำนานตัวจริงของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชาร์ลตันเซ็นสัญญามาอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฐานะเด็กฝึกหัดเมื่อปี 1953 ตลอดระยะเวลาการค้าแข้ง 16 ปี เขาสามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี เขาเป็นผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุทางอากาศที่มิวนิค และชาร์ลตันก็ได้กลายมาเป็นนักเตะคนสำคัญในทีมของ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ชุดยิ่งใหญ่ในยุค 1960 โดยเป็นกัปตันพาทีมคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ในปี 1968 และก็กลายมาเป็นเจ้าของสถิติดาวยิงตลอดกาลของสโมสร ซึ่งยังคงยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้

โจ จอร์แดน, ลงเล่นช่วง 1978-1981, 41 ประตู จาก 126 เกม - ค่าเฉลี่ย 0.33
ด้วยฟันหน้าที่หลอ 2 ซี่ของเขา อาจสื่อให้เห็นถึงสไตล์การเล่นแบบสู้ไม่ถอยของ โจ จอร์แดน เขาไม่เคยกลัวที่จะขึ้นโขกในจังหวะที่อาจทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ อดีตนักเตะลีดส์คนนี้กลายมาเป็นกองหน้าของทีมปีศาจแดงในปี 1977 ถึง 1981 แม้ว่าผู้คนจะจดจำโจในฐานะฮาร์ดแมนมากกว่า แต่ความสามารถในฐานะนักเตะของเขาก็ถือว่าสุดยอดไม่แพ้ใคร และด้วยฟอร์มของเขาก็ทำให้หลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรปจ้องคว้าตัวเขาไปร่วมทีม แฟนๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เองก็เศร้าไม่น้อยที่ต้องเห็นเขาย้ายไปเล่นให้กับหนึ่งในทีมเหล่านั้นคือเอซี มิลาน ในช่วงต้นยุค 1980

ไบรอัน แม็คแคลร์, ลงเล่นช่วง 1987-1998, 127 ประตู จาก 471 เกม - ค่าเฉลี่ย 0.27
ทุกวันนี้เขาก็ยังทำงานให้กับทีมอคาเดมี่ของสโมสรอยู่ แม็คแคลร์ย้ายจากเซลติกมายังถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ถือเป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาช่วงแรกๆ ในฐานะผู้จัดการทีมของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในปี 1987 และเจ้าของชื่อเล่น 'ช็อคซี่' ก็ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจในฤดูกาลแรกเมื่อยิงประตูไปได้ถึง 31 ลูก เป็นนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนแรกที่ยิงได้เกินกว่า 20 ประตูต่อฤดูกาลนับตั้งแต่ จอร์จ เบสต์ ในฤดูกาล 1967/68 ไบรอันเป็นนักเตะคนแรกของสโมสรที่ได้สวมเสื้อหมายเลข 9 อย่างเป็นทางการ เมื่อพรีเมียร์ ลีก ออกกฏให้นักเตะแต่ละคนต้องมีเบอร์เสื้อเป็นของตัวเองในปี 1993

แฟร้งค์ สเตเปิลตัน, ลงเล่นช่วง 1981-1987, 78 ประตู จาก 288 เกม - ค่าเฉลี่ย 0.27
ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในตอนนั้นอย่าง รอน แอตกินสัน ให้คำนิยาม แฟร้งค์ สเตเปิลตัน ว่าเป็น "ศูนย์หน้าตัวเป้าที่ดีที่สุดในยุโรป" เมื่อเขาย้ายจากอาร์เซนอลมาเล่นในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ตอนปี 1981 แฟร้งค์ได้กลายมาเป็นกองหน้าจอมแกร่งของสโมสร ประสานงานกับมิดฟิลด์มากพรสวรรค์อย่าง ไบรอัน ร็อบสัน และ เรย์ วิลกิ้นส์ ได้อย่างลงตัว หลังจากที่ลงเล่นไปเกือบ 300 เกม นักเตะชาวไอริชก็ได้ย้ายไปเล่นกับอาแจ็กซ์ในปี 1987