.
.
คำเตือน.... กระทู้นี้ ยาวววววววววววว !! และไม่เหมาะกับคนมองโลกสวยงาม
.
.

.
เกริ่นนำ....
เดิมที จะเขียนลงกระทู้ตั้งแต่จบเกมชนะ สโต๊ค ซิตี้ 2-0 แล้วตั้งหัวกระทู้แบบ ขอ3คำ ประมาณว่า “ชนะได้ไง” “มั่วได้ใจ” “โยนเข้าไป” “อะไรป๋า” “มันคาใจ”
แต่ยับยั้งชั่งใจ ล็อกนิ้วตัวเองได้ทัน บรรยากาศคนกำลังแฮปปี้ ฉลองชัยชนะ (จากที่เสียหมามา 2 นัดก่อนหน้า) ผมจะมาต้มมาม่า เรียกคนมาดราม่ากันเพื่ออะไร? เลยเก็บความอัดอั้นจากรูปแบบการเล่น ไว้รอดูเกมกับ เวสต์แฮม เผื่ออะไรๆมันจะเข้าที่เข้าทาง แล้วไม่ต้องมาพูดถึงกันอีกเลย
แล้ว... หลังจบเกม เยือน เวสต์แฮม เมื่อคืนนี้ แล้วเก็บได้เพียงคะแนนเดียว มองแบบโลกสวย คือ “เกมมันเล่นยาก คว้า 1 แต้มออกมาได้ ก็ไม่เสียหาย และเรายังได้ชื่อว่า Die Hard ตายยาก เหมือนเดิม” ดูกันจริงๆแล้ว ในเกม นักเตะเราก็เล่นกันได้ดีกว่านัดเยือน สโต๊ค ที่เราไปชนะมาซะอีก... แต่ ครับ แต่ มันก็ยังมีประเด็นให้พูดถึงมากมาย... ผมเลยว่า จะรวบ 2 นัดล่าสุด (อาจพาดพิงถอยไป 2 นัดเสียหมาก่อนหน้านั้นด้วย)
สารภาพตามตรง ผมไม่ใช่ มิสเตอร์เพอร์เฟกต์ ประเภทต้องให้ทีมเล่นชนะทุกนัด แล้วชนะด้วยรูปเกมสวยหรู เหมือนทีมที่บินมาจากดาวอังคารบางทีม ผมยังคงรัก และติดตามเชียร์ทีม อย่างสม่ำเสมอ แม้จะเล่นห่วยแตก แพ้แล้วแพ้อีก หรือชนะด้วยการโดนยำทั้งเกม แต่สวนกลับ 1ครั้ง แล้วชนะไปเลย... ผมก็แฟนผี คนนึง ผ่านประสบการณ์ทั้งเจ็บ เศร้า ซึ้ง ไปจนถึง ดีใจ อิ่มเอม และสุขสันต์... แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นมากกว่ากีฬาที่ให้ความบันเทิง เพราะสำหรับผม... นี่คือ กลุ่มคนในครอบครัวคู่ขนาน ที่ผมเติบโตมาด้วยกัน.....
การพูดคุย วิพากษ์ วิจารณ์ ถึงคนในครอบครัว เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ จะผิด จะถูก จะชั่ว จะดี เราก็แสดงความคิดเห็น บนพื้นฐานความรักในครอบครัวของเรา จะติ ด่า ว่า รุนแรงขนาดไหน เราก็ยังอยู่ร่วมกันในบ้านหลังเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
.
.
.

หลังจบเกมกับ เวสต์แฮม เซอร์อเล็กซ์ (วันนี้ไม่ค่อยอยากเรียกว่า ป๋า) บ้วนวาทะใส่ไมค์ ในคืน Die Hard พลิกฟื้นจากความพ่ายแพ้มาตีเสมอ 2-2 ว่า “We played like champions”
แต่.... ท่าน ทำอะไรลงไปกับทีม “แชมเปี้ยน” ทีมนี้ ในตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
มันคือ “ความหลากหลายของแผนการเล่น หรือแค่ ปะผุ สลับอะไหล่ เข็นไปให้ถึงจุดหมาย”

จากที่นำ ฟิล โจนส์, เวลเบ็ค ไล่ตัดเกมของ มาต้า, อาซา กับ ออสการ์ ย้ายเคลฟ ไปยืนกราบซ้าย เอา นานี่ วาเลนเซีย ยืนกราบขวา ในนัดรีเพลย์ F.A. Cup กับเชลซี ผลก็คือ "แพ้" และเล่นสู้เขาไม่ได้ (มั่วมาก)

เปลี่ยนเอากิ๊กส์ มายืนมิดฟิลด์ คู่ คาร์ริคเต็มเกม เพื่อ ปะทะ ยาย่า, แบร์รี่, แล้วเอาโจนส์ คู่ริโอ ไว้รับมือ ซิลบา, เตเวส, นาสรี (กุน) พร้อมปรับทีมเล่นรับ (เต็มระบบ) รอโต้กลับ ผลก็คือ "แพ้" และเล่นสู้เขาไม่ได้จริงๆ (ปั่นป่วน)

พอเกมถัดมา ถอย รูนีย์ มายืนจอมทัพ เติมชิชาริโต้ คู่ โรบิน ใส่ คากาวะลงอีกคน ในเกมบุก เหมือนมีกองหน้า 4 คน ซึ่งแต่ละคนมีฝีเท้า และเทคนิคดี ครองบอลดี แต่การเจอกับ สโต๊ค ที่มาเล่นลูกโด่ง เซอร์อเล็กซ์ เลยสั่งทีมงัดลูกโด่ง มาลุยตอบโต้ ทั้งเกม มีแต่สาดโด่งใส่กันไปมา ทุกจังหวะที่ลูกถึง เดเคอา หรือ ริโอ จะเตะจุดพุลชักรอกไปแดนหน้าทันที (ใครมีคลิปเต็มเกม ลองไปนับดูนะครับ ว่า 2 คนนี้ เตะโด่งไปแล้วผิดเป้า เยอะแค่ไหน) คาร์ริค ก็เอามั่ง สาดโด่ง แบบไม่ดูขนาดความสูงของนักเตะเรา กับนักเตะ สโต๊ค เลย และผลของการจัดกองหน้า 4ตัว แบบฟูลเซ็ต คุณปิยะพงษ์ วิเคราะห์เกมว่า “วิ่งทับไลน์กันตลอด” และวิจารณ์การเล่นฝั่งซ้ายของ คากาวะว่า “ประดักประเดิด”
ผลก็คือ "ชนะ" แต่ไม่ได้เกิดจากโอเพ่นเพลย์สักลูก และ เหมือนเรากำลังนั่งดูเกมดิวิชั่น1 โบราณ ที่สาดโด่งใส่กันไปมา

พอจบเกม สโต๊ค – แมนยู ปุ๊บ ช่อง 7 ก็ถ่าย F.A. Cup ของอีก 2ทีม ที่เล่นบอลบนพื้นสวยงาม ผู้เล่นต่างโชว์เทคนิคการเข้าทำที่หลากหลาย ทีมทั้ง2 ต่างก็
จัดตัวแบบเต็มสเป็ค ในสไตล์ที่คุ้นตา เอาจุดแข็งของตัวเองมาห่ำหั่นกัน แม้ในเกมจะมีผลแพ้ชนะ แต่คนดูบอลเป็น คงไม่ปฏิเสธว่า ทั้งคู่ เหมาะจะเป็นคู่ชิงแชมป์ F.A. Cup มากกว่าจะเป็นแค่คู่ตัดเชือก
เลยยิ่งพาลสงสัยเข้าไปอีกว่า... ทำไม มันชินี่ กับ เบนิเตส มันไม่ต้องปรับรูปแบบของทีมเปลี่ยนไปตามคู่แข่ง แม้จะเจอกับทีมระดับท็อปของลีก เหมือนอย่างที่ ท่านเซอร์อเล็กซ์ สาธิตให้เห็นบ่อยๆเลย แต่ทำไมปีศาจแดง ต้องเปลี่ยนมันทุกนัด(นะ)
พลันมีเสียงตะโกนมาไกลๆ... “จัดตัวแบบนี้, เล่นแบบนี้ ก็ยังชนะ สโต๊ค 2-0 นำห่าง 15แต้ม แล้วเมิงยังต้องการอะไรอีก........”
คือ พี่คร๊าบ !! ประเด็นของผมไม่ได้อยู่ตรงผลการแข่งขัน ผมตั้งข้อสังเกตว่า เปลี่ยนแปลงทีมตลอดทำไมคร๊าบ มันแทบไม่เหลือคราบปีศาจแดงสไตล์แล้ว... และที่ยกตัวอย่างมาแต่ละเกม อย่าว่าแต่แผนไม่เวิร์คเลย จะต้องมีนักเตะอย่างน้อย 2-3 ตำแหน่ง ที่วางลงไปในสนาม แล้วมันไม่เวิร์คตลอด

อ่ะ!! งั้นยกตัวอย่างเกมกับ เวสต์แฮม เมื่อคืนวันพุธ ให้เห็นชัดๆละกัน.....
ดูเหมือน เซอร์อเล็กซ์ จะเริ่มชอบแผนที่นำ รูนีย์ มาขับเคลื่อนในแดนมิดฟิลด์ คู่กับ คาร์ริค แล้วใส่ คากาวะ เป็นมิดฟิลด์ ด้านซ้าย คอยวิ่งตัดเข้าใน เป็นกองหน้าตัวต่ำ ในเกมรุก.... ตัวผมเองก็ชอบนะ ดีกว่าเก็บไว้ข้างสนามแล้วสลับกันลง
แนวรับเราฟูลทีม ตัวจริงทั้งกระบิ แฟนๆก็อยากเห็นครบๆอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว....
แต่ให้เดาการจัดตัวได้ถูกครบทุกตำแหน่ง ก็ไม่ใช่ เซอร์อเล็กซ์ น่ะสิ ทุกเกมต้องมีตัวเซอร์ไพรส์แฟนๆ ให้ระทึกใจเล่น เหมือนเช่นเกมนี้ ท่านเซอร์ ยังส่ง ฟิล โจนส์ ลงเล่นมิดฟิลด์ตัวกลาง ในบทตัวตัดเกม แผนเลยออกมาเป็น 4-5-1 ในรูปแบบการยืน แต่เวลาเล่นจริง ยิ่งสร้างความงวยงง และขัดใจ ตุ้ม เป็นอย่างมาก....

งงที่ 1 ท่านเซอร์ จับ ฟิล โจนส์ ลงไปเพื่อไว้ ตัดเกม หรือ เล่นมิดฟิลด์ตัวรุก ก็ไม่ทราบ เพราะตลอดทั้งเกม เวลาเราครองบอล โจนส์ จะยืนสูงกว่า รูนีย์ และ คาร์ริค ตลอด หากบอลเคลื่อนออกปีกทางวาเลนเซีย โจนส์ จะวิ่งขึ้นไปต่อบอลเล่นด้วย หรือถ้ามี ราฟาเอล วิ่งขึ้น โจนส์ก็จะหุบเข้าไปยืนรอในเขตโทษ เหมือนจะเป็นกองหน้าตัวต่ำ (กะเขาด้วย) แต่ให้ตายสิ ถ้าไม่เล่นกับ วาเลนเซีย นักเตะคนอื่น จะส่งบอลไปที่โจนส์น้อยมาก ทั้งๆที่หลายจังหวะ เขาวิ่งโร่ไปกางมุ้งรอโล่งๆแนวหัวกะโหลก แต่ รูนีย์, คาร์ริค จะเลือกส่งไปที่ วาเลนเซีย, คากาวะ, และที่ ฟาน เพอร์ซี่ ทั้งๆที่ เห็นๆอยู่ว่า มีกองหลังประกบติด โรบินของเรา 2คนตลอด ก็ยังจะส่งบอลผ่านตัว โจนส์ ไปซะอย่างงั้น หรือจะไว้รอเล่นลูกโด่ง ก็ไม่ใช่ เพราะอยู่ๆ เกมนี้ แมนยู ก็กลับมาเล่นพาสซิ่งบอลกับพื้น (สมกับเป็นทีมแชมป์ มากกว่าวันที่เล่นกับ สโต๊ค) ซึ่งบางทีที่ได้รับชิ่งกับเพื่อน ก็รับ แปะ ส่ง ตามเบสิค เพราะเขาไม่ใช่นักเตะที่มีทักษะสูงอะไร ยิ่งเวลาได้ลูกเตะมุม ฟาน เพอร์ซี่ ก็จะเลือกโยนไปเป้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่ โจนส์ !!
สรุป งงที่ 1 คือ มึงวิ่งขึ้นสูงไปทำไม...
งงที่ 2 เมื่อเวลาถูกตัดบอลได้ หรือต้องสวิทช์จากรุกเป็นรับ ตัวที่คอยปะทะ ตัดเกมก่อนถึงกองหลัง คือ คาร์ริค กับ รูนีย์ แล้ว โจนส์ ล่ะครับ... ก็เขาขึ้นสูงตลอด จึงวิ่งลงมาไม่ค่อยทัน และกว่าเขาจะลงมารับ ก็มักจะอยู่ในช่วงชุลมุนอันตรายแล้ว !!
สรุป งงที่ 2 คือ มึงเล่นตำแหน่งอะไรกันแน่.....?
งงที่ 3 หลังทีมเสียลูกแรก คนดูทุกคน จะเห็นได้ว่า ตัวอันตราย ของเวสต์แฮม ที่สร้างความปั่นป่วน แนวรับเราได้ตลอดคือ แอนดี้ แคร์โรลล์ ซึ่งเขามักจะวิ่งส่ายไปมา ทำให้ไม่มีตัวประกบที่ชัดเจน หน้าที่หลักเป็น วิดิช แต่พอเล่นลูกเซ็ตเพลย์ แคร์โรลล์ มักจะหลบไปซ่อนแนวเสาไกล ซึ่งเป็นพื้นที่ของ เอวร่า ที่มีขนาดความสูงต่างกันลิบ เป็นผู้รับผิดชอบ และทุกครั้ง ลูกก็จะถูกโยนมาที่ แคร์โรลล์ เสมอ... ทำไม จึงไม่ส่ง โจนส์ ที่ไม่มีหน้าที่ต้องติดตามใครแน่นอน ไปประกบ แคร์โรลล์ ยามต้องรับในเขตโทษ และจริงๆ ก็ยังมีนักเตะเวสต์แฮม อีก2ตัว ที่ป่วนเราได้ตลอดคือ แม็ธธิว จาร์วิส กับ ดิยาเม่ ไม่จับ แคร์โรลล์ ก็น่าจะไปจับ 2 ตัวนี้แทนก็ยังดี....
สรุป งงที่ 3 คือ มึงมีหน้าที่อะไรกันแน่.....?
ก่อนที่จะงง เยอะเกินไป ผมลงทุนแค๊ปภาพจากวีดีโอไฮไลท์ (โดยใส่ชื่อตัวเอง ลงในภาพ ว่าเป็นคนทำกราฟิคเอง) มาใช้เป็นหลักฐานมัดตัวจำเลย กันพยานฝ่ายจำเลย กล่าวหาว่า “อคติ” ยืนยันว่า ทุกครั้งก่อนเขียนวิจารณ์ใคร ผมทำการบ้านก่อนเสมอ
เรามาดูชัดๆ กับ 2 ประตูที่เราเสียให้กับ เวสต์แฮม ที่ผมเน้นไปที่การยืนตำแหน่ง และหน้าที่ความรับผิดชอบของ โจนส์ โดยเฉพาะช่วงการเสียลูกแรก ซึ่งผมจะวงกลมสีแดง มาร์คตัว โจนส์ ให้เห็นชัดๆ
(ภาพที่นำมาลงในเว็บบอร์ด ขนาดของภาพ อาจเล็กดูไม่ชัดเจน สามารถคลิ้กบนภาพเพื่อขยายดูภาพใหญ่ได้....)

ภาพที่ 1 ในขณะที่เราเล่นเกมบุกเพลินๆ แล้ว คากาวะ ก็ออกบอลมึนๆ ให้ ดิยาเม่ ตัดเอาบอลกลับมาบุก จะเห็น ฟิล โจนส์ วิ่งตัวเปล่า อยู่สูงถึงเกือบหน้าเขตโทษของคู่แข่ง โดยมี คาร์ริค ห้อยต่ำ รอเข้าปะทะตัวรุกของ คุ้นค้อน

ภาพที่ 2 เมื่อบอลข้ามเข้าสู่แดน แมนยู ในฐานะผู้เล่นเกมรับ ราฟาเอล รีบปรี่วิ่งเข้าไปบีบช่วยคาร์ริคอีกคน แต่ลองดูวงกลมสีฟ้า ที่ผมมาร์ค ไว้ คือ แม็ธธิว จาร์วิส ซึ่งวิ่งตัวเปล่า ทางข้างหน้าเปิดโล่ง ข้างหลังก็ไม่มีใคร ในขณะที่ โจนส์ ยังวิ่งซอยเท้า จนหลุดเฟรม หากดูจากระยะทาง เขาคือคนที่อยู่ใกล้ จาร์วิส ที่สุด หากรักในอาชีพ ก็ควรจะวิ่งตามประกบตัวนี้ ดีกว่าเลือกวิ่งตัวเปล่าเข้าเขตโทษ (ในช็อตต่อไป)

ภาพที่ 3 ยังไม่ทันขาดคำ ดิยาเม่ ก็ส่งบอลให้ จาร์วิส ใช้สปีดเลี้ยงพุ่งเข้าสู่เขตโทษทันที แต่ โจนส์ ยังซอยเท้าอยู่นอกเฟรม (มึงวิ่งได้ช้าจริงๆ)

ภาพที่ 4 พอเข้าเขตโทษได้ ริโอ เลยต้องทิ้งตำแหน่ง วิ่งมาปิดทางเปิดของ จาร์วิส ซึ่งในภาพ เราเพิ่งเห็น โจนส์ (วงกลมสีแดง) วิ่งมาทันเหตุการณ์พอดี เขาตัดสินเข้าไปซ้อนช่วย ริโอ ซึ่งก็สมควรอยู่ แต่ลองดูการยืนตำแหน่งในเกมรับของ 5นักเตะว่าที่แชมป์นะครับ ที่ปล่อยให้ แคร์โรลล์, วาสเท, ดิยาเม่ 3 นักเตะขุนค้อน ยืนหายใจทิ้งเล่นๆในเขตโทษ แบบโล่งโปร่งสบาย

ภาพที่ 5 แม็ธธิว จาร์วิส ใช้จังหวะล็อกซ้าย ล็อกขวา ก็สลัดหลุด ริโอ ตัวประกบไปเปิดบอล โดยผู้ที่ทำหน้าที่ตัวซ้อน อย่างมิสเตอร์โจนส์ ก็ยืนขาตายตาม ริโอ ทำได้เพียงส่งสายตาไปป้องกันลูกเปิดของ จาร์วิส ห่างๆ โดยที่เขาก็ไม่คิดจะขยับตัวทำอะไรให้เกิดประโยชน์มากกว่านั้น พอๆกับปีศาจแดงตัวอื่นๆ ที่ช่วยกันใช้สายตามองตามบอล ปล่อยให้ แคร์โรลล์ (ตัวเสาไกล) กับ ดิยาเม่ (ตัวกลาง) ยืนว่างๆ ให้มีเวลาคิดถึงเรื่องในอดีตได้

ภาพที่ 6 แคร์โรลล์ โดดขึ้นโหม่งลูกเปิดแบบหวานหมู ลองสังเกตดู ดิยาเม่ (วงกลมสีฟ้า) ที่ยังยืนว่างๆอยู่ หมายความว่า เพิ่มทางเลือกในการโหม่งชงให้กับ แคร์โรลล์ โดยมีจำเลย (วงกลมสีแดง) ของเรา ยืนไม่ทำหน้าที่ใดๆ อยู่ใกล้ที่สุด

ภาพที่ 7 โชคดีที่ แคร์โรลล์ โหม่งไปให้ วาสเท ขวิดทำประตูสบายๆ ทั้งที่ถูกประกบ 2 อยู่ หากโหม่งย้อนกลับไปให้ ดิยาเม่ รับรองว่า คนที่ถูกวงกลมสีแดงจับตัวอยู่ จะกลายเป็นผู้รับผิดชอบเต็มๆแต่เพียงผู้เดียว

ภาพที่ 8 ไม่เกี่ยวกับ โจนส์ แต่อยากให้เห็น การยืนประกบคู่ต่อสู้ในเขตโทษ ของนักเตะปีศาจแดง คุณคงไม่สงสัยเลยใช่ไหมว่า ทำไม นักเตะที่หงส์ไม่เอา กับนักเตะ ที่มักถูกเปลี่ยนตัวออกก่อนหน้านี้ สามารถทำประตู ทั้งๆที่อยู่ในวงล้อมของคู่ต่อสู้ ที่คุมอยู่ (ห่างๆ)ได้

ภาพที่ 9 ภาพนี้ ก่อนเสียประตูที่ 2 ครั้งนี้ โจนส์ (วงกลมสีแดง) มีงานทำแล้ว เขามีโอกาสประกบคู่แข่ง แม้จะติดประมาท ยืนห่างระยะเกือบเมตร แต่จุดเริ่มต้นการเสียประตู มาจากที่ ดิยาเม่ (อีกแล้ว) เลี้ยงบอลหนีการประกบของ รูนีย์ แล้วเห็นช่องหน้าประตูโล่งขนาดจอดรถบัสได้คัน เป็นใคร จะไม่ยิงล่ะครับ

ภาพที่ 10 ขณะที่ลูกพุ่งออกจากเท้า ดิยาเม่ มิสเตอร์โจนส์ ก็เผลอยืนชื่นชมกับลูกไซด์โค้งสุดสวย จนลืมไปว่า คู่แข่งที่เขาประกบอยู่ ได้ขยับจากไปแล้ว หากลูกนี้ ถูกปัดออกมา ก็เท่ากับมีตัวคุ้นค้อนยืนรอซ้ำโล่งๆ อยู่อีก 2 ตัว (อีกตัวอยู่ไหน ดูเอาเอง)..... เฮ้อ !! นี่เหรอ คุณภาพเกมรับของทีมแชมป์
สรุป หลายๆ งง รวมกัน คือ ผมไม่เข่าใจว่า เซอร์อเล็กซ์ ใช้โจนส์ ในเกมนี้ เพื่ออะไร เพราะในเกมรุก ก็ไม่เห็นทำอะไรเป็นประโยชน์ ในเกมรับก็ไม่ช่วยเท่าไร ตัดเกมแดนมิดฟิลด์ก็ไม่ได้ เติมขึ้นไปช่วย วาเลนเซีย เปิดบอลได้ 2-3 ครั้งตลอดเกม ก็ไม่เข้าเป้า มีจังหวะที่ ฟาน เพอร์ซี่ เปิดมาให้เขาวอลเลย์จ่อๆหน้าประตู แต่แป๊ก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับนักเตะฝีเท้าดาดๆอย่าง โจนส์!
ผมกลับมองว่า โจนส์ จะมีประโยชน์มากกว่า หากจับไปเล่นเกมรับแบบไม่ต้องสนใจเกมรุก อย่างที่ใช้เขาล็อคตาย โรนัลโด้ หรือ อย่างนัดเจอกับ สโต๊ค ที่เขายืนเซ็นเตอร์คู่กับ ริโอ แล้วโชว์การดักสกัดลูกโด่ง และขึ้นปะทะกับกองหน้าโบราณของ สโต๊ค จนง่อยไปตามๆกัน
งงสุดท้ายของ โจนส์ คือ... ในเกม ผมมองว่า โจนส์ คือนักเตะที่อยู่ในสนามแล้วไม่เกิดประโยชน์ต่อรูปเกมเลย กลับได้ยืนจนจบ แต่ รูนีย์ กับ คากาวะ โดนเปลี่ยนตัวออก ทั้งๆที่ในเกม เรากำลังต้องการยิงประตู ??

เกมนี้ ผมสงสาร เวนย์ รูนีย์ มากๆ จริงอยู่ ที่เกมนี้ เขาเล่นไม่ดีเท่าวันเจอ สโต๊ค แต่ก็เพราะตัวเลือกในการจ่ายบอลในแดนหน้า มีแค่ ฟาน เพอร์ซี่ คนเดียว ซึ่งโดนประกบ 2 ตลอด พอจะจ่ายออกข้าง ก็มีแค่ วาเลนเซีย กับ คากาวะ บ่อยครั้ง ตัวเขาเองก็ต้องวิ่งลงมาล้วงลูกต่ำมาก ทำให้ยืนห่างจากแดนหน้ามาก ยิ่งพอโดนมิดฟิลด์ คุ้นค้อน วิ่งเข้าเพรสซิ่งเร็ว แถมเล่นหนัก ตุกติกอีกต่างหาก เลยไปไม่เป็น หรือ บ่อยครั้ง ก็รีบจนออกบอลเสีย ผลก็มาจากการที่นักเตะรอบข้างเขา ซัพพอร์ต หรือช่วยเหลือเขาน้อยมาก พ่วงโจนส์ อีกคน ที่วิ่งไปรอรับชิ่งบอลกับเขาในแดนหน้า แต่เหมือน รูนีย์ จะไม่ค่อยเชื่อมั่นเพื่อนคนนี้สักเท่าไร จึงเลือกฝืนส่งลูกยากไปที่ตำแหน่งอื่นแทน ก็ยิ่งทำให้ลูกเสียบ่อยมาก... . ในเกมนี้ เว็บไซต์ Goal.com ให้เขาเป็นดาวดับของเกม ซึ่งผมมองว่า ไม่แฟร์กับตัวเขา แต่ยิ่งเห็นท่าที ที่เขาเล่นเหมือนไม่ค่อยมีความสุขกับเกมเท่าไร ไม่กระตือรือร้น ไม่วิ่งพล่าน บู้สะบั้น เหมือนเคยๆ ยิ่งทำให้เราเริ่มเสียวๆกับข่าวลือ ที่ใจเขาอาจจะลอยไปถึงกรุงปารีสแล้ว
ถึงรูนีย์จะเล่นไม่ดี แต่ในช่วงที่เรากำลังต้องการประตู ถ้าเป็นผม จะเลือกเก็บเขาไว้ แต่ดันขึ้นเล่นกองหน้าคู่กับ ฟาน เพอร์ซี่ แล้วเอา คากาวะ เข้ามาเล่นหน้าต่ำ เอา โจนส์ ออก ส่งกิ๊กส์ ลงมาประคองในแดนกลาง แล้วคอยออกปีกโยนบอล เพราะผมดูว่า รูนีย์ เล่นจังหวะ 1-2 ในเขตโทษ ได้รู้ใจกับ ฟาน เพอร์ซี่ และ คากาวะ มากกว่า เอาไว้ตันๆตื้อๆจริงๆ ค่อยเอา ชิชาริโต้ลง ซึ่งจะถนัดโฉบเฉี่ยวในเขตโทษ มากกว่าเล่นพาสซิ่งในที่แคบๆ

สำหรับ คากาวะ เกมนี้ มีทั้งทำดี ทำเสีย พอๆกัน แต่ลูกที่เขาทำดี ก็เป็นประโยชน์ต่อเกมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเมื่อปลดล็อค โชว์สเต็ปเข้าไปเปิดถวายพานให้ วาเลนเซีย ยิง 1-1 ก็ดูเขามั่นใจขึ้นเรื่อยๆ กล้าเก็บบอล กล้าครองบอล มากขึ้นกว่าช่วงต้นเกม ที่เพื่อนส่งมา ก็แปะส่งคืนหลัง หรือชิ่งเร็วใส่เพื่อนตลอด จนหลายๆครั้งที่เพื่อนยังตั้งตัวไม่ทัน เลยทำบอลเสียบ่อยมาก รวมถึง ลูกแรกที่เราเสีย จุดเริ่มต้นก็มาจากที่ คากาวะ ชิ่งเร็วคืนเพื่อนไม่แม่น
นับเป็นความหวังที่ดี หาก คากาวะ กล้าเล่นมากขึ้น โดยเฉพาะ หากได้ยืนในตำแหน่งที่ถูกต้อง เช่น กองหน้าตัวต่ำ จะอันตรายมาก เพราะเขาเป็นคนที่ทักษะสูง เอาตัวรอดในที่แคบเก่ง แถมมีจังหวะพลิกยิงประตูที่รวดเร็ว ดีกว่า จับเขาไปเล่นริมเส้น ที่ต้องใช้ความเร็วในการวิ่งขึ้นลง ซึ่งคากาวะ เป็นคนคล่องตัว แต่ไม่ใช่คนวิ่งเร็ว และบ่อยครั้งที่บอลมาถึงเขา กลายเป็นชอบเล่นชิ่งมากจังหวะ จนเกมช้าลง คู่แข่งเลยวิ่งมาปิดทางได้ทัน หวังว่า การได้ลงบ่อยๆ น่าจะทำให้เขาปรับตัวกับเกมได้มากขึ้น

ผลเสมอของเกม ไม่ถึงกับเสียหาย แต่มองในรูปเกม ก็เล่นกันได้ดีกว่า 3-4 เกมที่ผ่านมา ผมมองว่า หาก เซอร์อเล็กซ์ เปลี่ยนตัวเร็วกว่านี้หน่อย กับ ไม่เปลี่ยนตัวผู้เล่นที่สามารถสร้างความอันตรายกับคู่ต่อสู้ได้ อย่าง คากาวะ และ รูนีย์ ออก แล้วปล่อยให้ นักเตะที่ไม่มีประโยชน์ในรูปเกมได้ยืนต่อ รับรอง ช่วงท้ายที่เราโหมบุกเข้าใส่ เวสต์แฮม แล้วยังมีเวลาเหลือพอ เกมนี้มีเฮครับ....
ไม่ใช่พอลุกจากหลุม เปลี่ยนความพ่ายแพ้ มาตีเสมอได้ ท่านเซอร์ ก็มาตีเนียน กลบความผิดพลาด บอกว่า “We played like champions” หาก แมนซิ ชนะ สเปอร์ ได้ รับรอง เกมวันจันทร์หน้า ต่อให้นำ 10 แต้ม ก็กดดันสุดๆละครับ
.
.
.