ครั้งหนึ่ง เป็นเอก รัตนเรือง ผู้กำกับที่ติสก์แตกตั้งแต่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นขนมโก๋ เคยให้คำจำกัดความของหนังหนังฟิลม์นัวร์ว่า เป็นภาพยนตร์ที่ตีแผ่ถึงความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ การซ่อนเร้น อำพราง การถลำลึกที่เกินจะเยียวยาและจุดจบแบบหักมุมที่ตีแผ่ปมปัญหาทั้งหมดออกมาในคราวเดียว.........
ครับผม หากอิงคำจำกัดความจากข้างต้น เรื่องราวที่โมลินิวซ์กราวน์ก็ราวกับหนังฟิลม์นัวร์ไม่มีผิด...........จ่าฝูงพรีเมียร์ลีกอันเกรียงไกรที่กำลังจะสร้างตำนาน "The invincible" ผ่านสมรภูมิโหดมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ทันใดนั้นเองกลับถูกบ้วยเค็มอย่าง วูลฟ์แฮมตัน กระซวกแล้วแทงซ้ำให้แดดับคาถิ่น ชนิดไร้ข้ออ้าง และนำมาซึ่งการเปิดเผยถึง รากเง้าของปัญหาในแดนมิดฟิลด์ที่ถูกปิดบังใว้ และ (ขออนุญาติใช้คำว่า) "ฝืน" มานาน......... กรุณาตัดปัญหาฟอร์มการเล่นที่เกิดจากอาการจิตตกอย่างแรงของ จอนนี อีแวนส์ ออกไป เกมส์กับ วูลฟ์ที่โมลินิวกราวด์ ไม่มีซักวินาทีที่ ดาเรน เฟลทเชอร์ และ ไมเคิล คาร์ริค แสดงให้เห็นว่าสามารถทำเกมส์สู้กับแผงกองกลางของวูลฟ์ได้เลย...........................................................

การผ่านบอล ครองบอล สร้างสรรค์เกมส์ และสำคัญที่สุดสำหรับเกมส์นอกบ้านก็คือ "ตัดเกมส์"...............................ปัญหาใหญ่ที่สุด คือเรากำลังพูดถึงทีมระดับโลกอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังเล่นโดยปราศจาก" มิดฟิลด์ตัวรับ" ใช่ครับมันกำลังเกิดขึ้นได้ไม่นาน แค่ประมาณสองปีเท่านั้นเอง!!!...........ฮาเวียร์ มาชเคราโน่ เอสเตบัน คัมบิอัสโซ่ ไนเจล เดอยองก์ และทีมอย่างเรอัลมาดริด ที่อุดมไปด้วยมิดฟิลด์เกมรับชนิดเกินโควต้าอย่าง ซามี่ เคดิร่า เฟอร์นานโด กาโก้ ลาส ดิยาร์ร่า และ มาฮามาดู ดิยาร์ร่า เป็นต้น ทั้งหลายเหล่านี้คือมิดฟิลด์"ตัวรับ" ชั้นแนวหน้าซึ่งถูกจับจองเป็นเจ้าของโดยทีมยักษืใหญ่ต่างๆทั่วยุโรป....
กรุณาอย่าอิจฉาและกลับมาดูที่ยูไนเต็ดอีกครั้ง แผงมิดฟิลด์ที่ประกอบด้วย คาร์ริค เฟลทเชอร์ อันแดร์สัน สโคลส์ และ เอ่อ..(จะนับดีมั้ย?).........ดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งสหัสวรรษอย่าง ดาร์ลอน กิ๊บสัน ..........ทั้งหมดคือมิลฟิลด์ที่ยูในเต็ดมี แต่เหมือนโชคชะตาฟ้าแกล้ง หนึ่งในคนที่สำคัญจริงๆและสามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นมิดฟิลด์"ตัวรับ" ที่ครบเครื่องที่สุดในทีม กลับปลูกต้นรักกับสถานพยาบาลและมันยากหากจะหวังให้เขากลับมา.........
ประหนึ่งถูกลักพาตัว "เฮียหยอย" โอเวน ฮากรีฟก์ เจ็ปมาเป็นเวลาเกือบจะสองปีและสถิติที่น่าตกใจคือมีจำนวนเกมส์ทั้งหมดที่ลงเล่นในปีนี้ถึง.....เอ่อ............. "5 นาที"ด้วยกัน ก่อนที่จะกลับไปเจ็บอีก ....อนึ่งมิดฟิลด์หัวหยอยคือมิดฟิลด์ตัวรับ "คนเดียว" ที่ยูไนเต็ดพึงมี อ่านเกมส์ขาด สกัดดุดัน วิศัยทัศน์เยี่ยม พลังงานไม่มีหมด และอาจจะรวมถึงไอเท็มพิเศษอย่าง การปั่นฟรีคิกชนิดติดเรดาร์ ทั้งหมดคือนิยามของโอเวน ฮากรีฟก์ ที่การันตีด้วยตำแหน่งกลางรับตัวจริงทีมชาติอังกฤษ...................
นั่นละครับปัญหาที่เกิดจากการปราศจากมิดฟิลด์ตัวรับอย่างเฮียหยอยทำให้ยูไนเต็ดไม่มีทางเลือกมากนัก สิ่งที่เราเห็นคือ เซอร์ อเล็กส์ เฟอร์กูสัน ปรับระบบการยืนมิดฟิลด์แบบใหม่โดยให้แผงมิดฟิลด์สองคนยืนต่ำกว่าเดิม และช่วยกันเล่นเกมส์รับและรุกอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับและตัวรุกอย่างชัดเจน .......และด้วยระบบนี้นี่เองที่ทำให้ ดาเรน เฟลทเชอร์ เปล่งประกายอย่างไม่น่าเชื่อ อันเนื่องมาจากโทษฐานที่ "วิ่งมากกว่าคนอื่น" และสามารถที่จะอำพรางนักเตะมิดฟิลด์ตัวโฮลด์บอลที่เล่นเกมส์รับไม่เป็นอย่าง คาร์ริค ว่าเป็นตัวรับได้จากตำแหน่งการยืน...
............มากกว่านั้นผลกระทบที่ชัดเจนคือการลดทอนสัญชาตญาณในการทำเกมรุกของอันแดร์สันอย่างเห็นได้ชัด จาก Playmaker ในร่างอารามบอย ต้องมายืนต่ำช่วยเกมส์รับและไม่ได้รับอนุญาติให้ทำเกมส์รุกที่ตัวเองถนัดนักประหนึ่งนำ ฮาร์เลย์ เดวิดสัน มาอ๊อกเหล็ก เปิดท้ายขายมะพร้าวน้ำหอมยังไงยังงั้น.........
บทสรุปคืออันแดร์สันมักจะเป็นตัวเลือกสำหรับเกมส์ในโอลแทรฟฟอร์ดกับทีมระดับเล็กไปจนถึงระดับกลาง สำหรับกระหน่ำเกมส์รุกบุกเต็มสูบโดยให้อิสระกับมิดฟิลด์บราซิเลี่ยนแสดงความสามารถทำเกมส์รุกอย่างถนัด...เล่นบอลบนพื้น มูฟเม้นท์ในการทำเกมรุก และ กลิ่นอายแบบแซมบ้าบราซิล เรียกว่าจังหวะเข้าทำแบบสามช่าคาราบาว...ผลงานระดับมาสเตอร์พีชในเกมส์กับแบล็คเบิร์น บ่งบอกได้ชัดเจน.........
ส่วนเกมส์นอกบ้าน อันแดร์สันจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายในแผงมิดฟิลด์เนื่องจาก สมดุลในแดนกลางและการให้ความสำคัญกับเกมรับในแผงมิดฟิลด์ที่มากขึ้น มักถูกจับจองโดย เฟลชเชอร์ และ คาร์ริค อันเนื่องมาจากการเล่นเกมรับได้ครอบคลุมกว่าอันแดร์สัน ผลเหรอครับคือความตื่นเต้นในระดับเยี่ยวเหนียวทุกนัด ระบบเกมรุกอันดุดันใช้ไม่ได้ในเกมส์นอกบ้าน ความหวังคือความสามารถเฉพาะตัวของแนวรุกและอากัปกิริยาที่เรียกว่า "โยนอีกละ" โยนเข้าไปแม้แนวรับเจ้าบ้านจะถูกฉาบด้ายกระเบื้องหนาตราช้างก็ตาม บทสรุปคือ อย่างที่เห็นชนะ 3 ใน 12 เกมส์นอกบ้าน..........
อย่างที่บอก ยูไนเต็ด"ฝืน" โดยการพยายามยัดเยียดบทบาทตัวรับให้กับทั้งสองมิดฟิลด์และอาจจะรวมไปถึงอันแดร์สันเป็นบางครั้ง กับเฟลทเชอร์จากดาวรุ่งตำแหน่งลูกหาบรอยคีน พัฒนาศักยภาพ แรงเบียดปะทะมากขึ้น วิ่งมากขึ้น ผ่านบอลมากขึ้น แต่สุดท้ายกลับกลายพัฒนาเป็น "ลูกหาบทรงเครื่อง" ดังปัจจุบัน หาใช่ตัวรับไม่ ขณะที่คาร์ริคซึ่งเป็นตัวโฮลด์บอลธรรมชาติ เล่นแกนกลาง ถ่ายบอลออกข้าง และชะลอจังหวะเกมที่ต้องอาศัยการครองบอลในแดนกลางเท่านั้น บวกกับความคล่องตัวและความเร็วระดับ "ช้าเรียกพี่" ทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถที่จะตัดเกมส์เพื่อปิดช่องโหว่นี้ได้
ผลของการไม่มีตัวตัดเกมส์ธรรมชาติทำให้ สภาพของเกมส์แดนกลางของยูไนเต็ดอยูในลักษณะประมาณ รับไม่สุดบุกไม่เต็มที่ และปัญหาจากการเข้าคู่ของ เฟลท-คาร์ริค ที่ปราศจากเซ้นท์เกมรุกโดยสิ้นเชิง เหมือนโยนงานหนักในเกมส์รุกตกอยู่กับปีกทั้งสองข้างและหลายครั้งกับการล้วงเข้ามาเอาบอลในแดนกลางของ เวนย์รูนีย์ เนื่องจากคู่มิดฟิลด์ดูโอแบนด์(เฟลท-คาร์ริค)เป็นประเภทที่ไม่สามารถขึ้นเกมส์ได้โดยธรรมชาติ.....

แม้กระนั้น.....................พนันได้เลยว่าการภาวนาให้ป๋าอิมพอร์ตมิดฟิลด์ตัวรุกระดับโลกเข้ามาในทีมมันจะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากอันแดร์สันต่อสัญญายาวแสดงถึงการฝังรากตัวจริงในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวทำเกมส์ในเจเนอเรชั่นต่อไปของยูไนเต็ด...หายใจลึกๆครับ หากคุณใจเย็นพอและมองเด็กให้ลึกประหนึ่ง "พจ อานนท์" มองในตัว ฟิลม์ รัฐภูมิ สิ่งที่คุณจะเห็นคือ มิดฟิลด์หน้าอารามบอย มีคุณสมบัติเกือบจะทุกอย่างที่มิดฟิลด์ระดับโลกพึงมี (ยกเว้นการยิง) ไม่ว่าจะทักษะการผ่านบอลแบบคิลเลอร์พาส เซ้นท์ในเกมส์รุก การคอนโทรลบอล ความเร็ว พลังที่ไม่มีหมด และความแข็งแกร่งที่หากมองกันจริงๆจะเห็นได้ว่าแอนนี่เป็นมิดฟิลด์ที่ "แข็ง" ที่สุดในแผงมิดฟิลด์ในตอนนี้ด้วยซ้ำ เหลี่ยมบอลอย่างที่เห็นในวัยเพียงแค่ 22ปี เปรียบเหมือนวัตถุดิบที่พร้อมจะนำไปพัฒนาในอนาคตอันไกล้...
อย่างที่หลายคนบอก อันแดร์สันเล่นไม่เข้ากับระบบ แต่เรากลับลืมกันว่ามันเป็นระบบที่ถูก"ฝืน"มาตั้งแต่แรก ขอย้ำตรงนี้อีกครั้งว่าอันแดร์สันคือ อนาคตของยูไนเต็ดครับ และจะแสดงประสิทธิภาพได้ดีที่สุดจากการเล่นเกมส์รุกโดยที่มีมิดฟิลด์ตัวรับธรรมชาติอยู่ข้างหลังคอยตัดเกมส์และคุมเกมส์รับให้.................
สุดท้าย หากสิ้นฤดูกาลนี้ ฮากรีฟก์ยังไม่กลับมา ตัวรับยังไงก็ต้องซื้อครับ ป๋าเองก็รู้ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าต้องประกอบไปด้วยหลายเงื่อนใข คือเป็นมิดฟิลด์ตัวรับที่ครบเครื่อง อายุน้อย และเป็นประเภทใช้ได้เลยเพื่อที่จะเป็น "แกนหลัก" ในแดนมิดฟิลด์ของยูไนเต็ด เจเนอเรชั่นต่อไป ตัวหลักที่จะต้องเป็นตัวยืนในแดนมิดฟิลด์ เพื่อคุมเกมส์รับหน้าแผงหลังตัดเกมส์รุกฝ่ายตรงข้ามและคุมจังหวะในแดนกลาง ลองมโนภาพ มิดฟิลด์ตัวรับเจ๋งๆ ที่ยืนคู่กับ คาร์ริค หรือ เฟลทเชอร์ ในเกมส์ใหญ่ที่เน้นการครองเกมส์ในแดนกลางเป็นหลัก หรือตัวที่คอยปัดกวาดหน้าแผงหลังเพื่อที่จะให้อันแดร์สันแสดงศักยภาพเกมส์รุกได้เต็มที่ ...สตีเฟ่น เดฟูร์ แจ็ค รอดเวลล์ ลี แคตเทอร์โมล ล้วนแล้วแต่น่าสนใจ จะอย่างไรก็ต้องเสี่ยงครับ เพราะมันคือการแก้ปัญหาจากต้นตอที่แท้จริง อย่างที่บอกไม่ใช่การ "เสริม" แต่เป็นการ "เติมเต็มส่วนที่ถูกต้อง" เพราะมันจะเป็นจุดสำคัญในการก้าวไปสู่เจเนอเรชั่นที่ 4 ของ เซอร์อเล็กส์ เฟอร์กูสันเอง.........







