เนื่องเพราะทีมอื่นๆ ในพิกัดเดียวกันต่างประสบชัยชนะเหมือนกันหมด โดยเฉพาะแฟนบอลบางทีมนี่ดูเหมือนจะดีใจกันแบบเต็มประดาเลยทีเดียวทั้งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้แพ้สักหน่อย ทีมของพวกเขาต่างหากที่แพ้ สโต๊ค ซิตี้ แล้วก็โยนความผิดให้ผู้ตัดสินว่าไม่มีความยุติธรรมตามฟอร์ม (เวลาแพ้) ไม่ทราบว่าช่วงหลังๆ คุณ บอ.บู๋ มีโอกาส "ลงหม้อ" บ้างหรือเปล่า?
ต่อไปนี้คือสาเหตุที่ผีตีหม้อไม่แตกในมุมมองของผม
1. สโต๊ค ซิตี้ เล่นบนมั่นใจสุดฤทธิ์ แถมผู้เป็นกุนซือยังวางแผนมาดีมากอีกต่างหาก
การยันเสมอ เชลซี และยัดเยียดความปราชัยให้ ลิเวอร์พูล ในถิ่นตัวเองส่งผลให้ผู้เล่นของ สโต๊ค ซิตี้ มีความมั่นใจยามอย่างสุดขีดคลั่งยามได้เล่นในบ้านตัวเอง พวกเขาวิ่งสู้ฟัดกัดไม่ปล่อยเหมือนหมาบ้าโดยไม่เปิดพื้นที่ให้ผู้มาเยือนเล่นเกมเร็วเพื่อจู่โจมแบบลอบฆ่าตามถนัด ผนวกกับการพุ่งเข้าสกัดอย่างรวดเร็วบนความหนักหน่วงและรุนแรงแบบถึงลูกถึงเมียในทุกจังหวะจนไม่เป็นอันทำอะไร
นอกจากนี้ โทนี่ พูลิส ยังวางแผนจี้จุดอ่อนของ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้อย่างสัมฤทธิ์ผล ด้วยการบอมบ์ใส่ ดาบิด เค เคอา ประตูผีที่มีปัญหาในการออกมาตัดลูกโด่งตลอดเวลา เจอวิธีการเล่นโบราณๆ แบบนี้เข้าไป แมนฯ ยูไนเต็ด ถึงกับพลิกตำรามารับมือแทบไม่ทัน
สังเกตได้เลยครับว่าทุกครั้งที่ สโต๊ค ได้ลูกตั้งเตะ ไม่ว่าจะเป็นฟรีคิก, เตะมุม และลูกทุ่มไกล จะต้องมีผู้เล่นเจ้าบ้านหนึ่งคนมายืนประกบนายทวาร เพื่อคอยก่อกวนและขัดขวางเส้นทางการเหาะเหินเดินอากาศ ขณะเดียวกับที่อาศัยความสูงระดับนับญาติกับเปรตวัดสุทัศน์ของ ปีเตอร์ เคร้าช์ เป็นทีเด็ด
ประตูที่ แมนฯ ยูไนเต็ด โดนแย่งไปก็เช่นกัน จังหวะนั้น สโต๊ค ได้ลูกเตะมุม ว่าแล้วจอมทุ่มไกลอย่าง รอรี่ ดีแล็ป ก็มายืนขวางไม่ให้นายทวารปีศาจแดงออกมาตัดลูกได้ถนัด แต่คนที่แสดงความผิดพลาดกลับเป็นปราการหลังอย่าง ฟิล โจนส์ ที่ตอนแรกเขาก็ประกบ ปีเตอร์ เคร้าช์ อยู่ดีๆ ก่อนจะหลงตำแหน่ง เพราะมัวแต่ดูลูกที่ลอยมามากกว่าดูคนจน ปีเตอร์ เคร้าช์ ได้โขกแบบเหน่งๆ อย่างมีอิสระเสรีเหนือสิ่งอื่นใด
2. ขาดรูนเหมือนขาดใจ
เวย์น รูนี่ย์ กำลังอยู่ในฟอร์มหมูเดือดเลือดพล่าน แต่ดันถูกอาการบาดเจ็บลักพาตัวไปก่อนแข่งเพียงแค่วันเดียวจึงส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำลายตาข่ายของ แมนฯ ยูไนเต็ด ลดลงไปกว่ากึ่งหนึ่ง
เท่านั้นไม่พอคุณป๋าดันตัดสินใจส่ง ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ลงมาแทนไอ้อ้วนในตำแหน่งศูนย์หน้า ว่าแล้ว "พี่เบิร์บ" ก็แสดงให้ชาวบ้านเห็นว่าทำไมเขาถึงหลุดจากตำแหน่งตัวจริงในนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก และหลังจากนั้นก็ถูกหมางเมินมาตลอด
สไตล์การเล่นของ "เบอร์บา" คือการครอบครองบอลไว้กับตัวแล้วค่อยๆ หาช่องทางผ่านบอลหรือพลิกหลบคู่แข่งด้วยเทคนิคชั้นสูง (เกินไป) จนเพื่อนร่วมทีมตามความเชื่องช้าของคุณพี่เขาไม่ทัน นั่นทำให้เกมรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ติดๆ ขัดๆ ไม่ไหลลื่นเท่าที่ควร เพราะกว่าจะหาจังหวะผ่านบอลและกว่าจะหาจัวหวะสับไก คู่แข่งก็รุมประกบจนทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
3. ผู้ตัดสินห่วยแตก
ลำพังแค่ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ คนเดียวก็ทำให้เด็กผีปวดตับอย่างสาหัส ซ้ำยังต้องจับคู่กับกองหน้าที่กำลังจะหมดสภาพอย่าง ไมเคิ่ล โอเว่น หลังจากที่ ฮาเวียร์ "น้องถั่ว" เอร์นานเดซ ได้รับบาดเจ็บถูกเปลี่ยนตัวออก ซึ่งต้องขอบคุณ มิสเตอร์ ปีเตอร์ วอลตัน ผู้ตัดสินนกหวีดหวานเจี๊ยบเป็นอย่างสูง โทษฐานที่ทำให้เกมนี้ไม่เหลื่อมล้ำมากจนเกินไป
แมนฯ ยูไนเต็ด ควรได้จุดโทษจากจังหวะที่ "ชิชาร์ริโต้" โดน โจนาธาน วู๊ดเกต ทำฟาวล์โดยไม่จำเป็นต้องดูภาพช้าด้วยซ้ำ!
ไม่เพียงแต่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะต้องได้จุดโทษ - โจนาธาน วู๊ดเกต ก็ต้องโดนใบแดงตะเพิดออกจากสนามด้วย เพราะพุ่งเข้าเสียบจากข้างหลัง แถมเป็นผู้เล่นตัวสุดท้าย ซึ่งตามกฏกติกา คือ 1 จุดโทษ 1 ใบแดง ถามว่าทำไมตุลาการสนามท่านนี้ถึงทำเป็นมองไม่เห็น แถมยังกระชากเสียงชื่นชมจากผู้ชมทางบ้านว่า "พ่อมึงตาย" เฉลี่ยทุกๆ 5 นาที บางทีอาจต้องไปถาม เดวิด เบิร์นสตีน ประธานสมาคมฟุตบอลอังกฤษที่เคยเป็นประธานสโมสร แมนฯ ซิตี้ ซึ่งครั้งหนึ่งพี่เขาเคยกล่าวว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้ทีมเก่าของตัวเองประสบความสำเร็จ
กลายเป็นว่านอกจาก แมนฯ ยูไนเต็ด จะไม่ได้จุดโทษ และคู่แข่งเหลือผู้เล่น 11 คนเท่าเดิม - ดาวยิงอันตรายอย่าง "ชิชาริโต้" ยังได้รับบาดเจ็บเป็นของแถมอีกต่างหาก
นอกจากนี้จังหวะที่ ปีเตอร์ เคร้าช์ เกือบทำประตูได้อีกหลายต่อหลายครั้ง เกิดขึ้นเพราะพี่แกใช้มือกดหลังคู่แข่งบ้าง กดไหล่คู่แข่งบ้าง แต่คุณพี่ปีเตอร์ วอลตัน ก็แกล้งทำเป็นตาถั่ว แทบจะไม่เป่าฟาวล์ซะอย่างนั้น
พลพรรคนักเตะพันธุ์อสูนเจอแบบนี้เข้าไปก็แทบไม่ต่างจากการปิดตาตีหม้อ แถมเป็นหม้อที่แข็งแรงมากซะด้วย
เด็กผีบ้านหม้อ
ป.ล. พี่ครับ คางคกเตะบอลได้ด้วยเหรอครับ คือผมเห็นจากประเทศเพื่อนบ้านของเรา มันเป็นอะไรที่ "มหัศจรรย์" สุดๆ เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ก็เพิ่งเคยเห็นคางคกเตะบอลนี่แหละ เตะบอลอย่างเดียวไม่พอ ยังยิงได้ตั้งหลายประตูอีกต่างหาก เห็นแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ปัญญาอ่อน เอ๊ย! มันเป็นอะไรที่อเมซิ่งดีนะครับ ฮ่าๆๆๆ
ป.ล. ช่วงนี้เด็กๆ กำลังสอบ ใกล้ปิดเทอมแล้ว ขอความกรุณาเพื่อนๆ อย่าแสดงความเห็นโง่ๆ ออกมาเลยนะครับ เดี๋ยวคุณ บอ.บู๋ เขารำคาญจะไม่เขียนอะไรให้เราอ่านกันฟรีๆ อีก อิอิอิ
....
ส่งไม่ตาย: เรียนตามตรงว่าช่วงหลังๆ ผมไม่ค่อยได้ "ลงหม้อ" สักเท่าไหร่ แม้บ่อยครั้งที่ผมดูทีวีแล้วเกิดอาการเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวอยากลงหม้ออย่างจงหนัก เหตุเพราะคุณแม่บ้านทหารสูงสุดเคยบอกผมว่า "ตัวเองอยากไปลงอ่างก็ได้นะคะ แต่อย่าให้จับได้ เพราะถ้าจับได้เมื่อไหร่...มึงตายค่ะ!" คอลัมนิสต์ลูกหนังผู้มีอาการทางจิตอย่างผมกลัวตายเหมือนกันนะครับ เพราะยังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเลย (จะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อเป็นเศรษฐีมีเงินมากกว่า 10 ล้านบาท) เมื่อมีเงินผมจึงมักจะเอาไป "ลงขวด" ซะมากกว่า ฮ่า-ฮ่า-ฮ่า
สำหรับเรื่อง "ปิดตาตีหม้อ" ที่คุณเด็กผีบ้านหม้อส่งมา ผมเห็นด้วยทุกประการ
แต่อย่าไปโทษผู้ตัดสินเลยครับ แม้พี่แกจะทำหน้าที่ได้อย่างบัดซบโคตรๆ จนสมควรถูกเอานกหวีดยัดเข้าไปทางรูดาร์กซ์แล้วให้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พ่นลมเข้าไปสุดแรงเกิดก็ตาม เพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด เองก็เล่นไม่ค่อยไฉไลนัก บุญแล้วที่เอาตัวรอดจากความปราชัยได้สำเร็จ เสมอบ้างก็ดี แค่ชนะติดต่อกัน 5 นัด ชาวบ้านเขาก็อิจฉาตาร้อนจนต้องร้องก๊าบๆๆๆๆๆๆ กันหมดแล้ว ฮ่า-ฮ่า-ฮ่า
"บอ.บู๋"
Bbmeetyou@yahoo.com
ป.ล. คางคกเตะบอลได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ - รู้แต่ว่าตอนนี้เกิดอุทกภัยหลายจังหวัด ชาวบ้านเดือดร้อน และน่าสงสารมาก
ที่มา Siamsport









แต่ผม ปิดตาตีหม้อที่บ้านอยู่แล้ว เหอ เหอ เหอ


