.
สวัสดีครับ เรด อาร์มี่ ทุกๆคน วันนี้แวะเข้ามาแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นเหมือนเดิมครับ

จับเอา 2 เกมล่าสุด ที่ป๋าใช้เกมแพลน “มิดฟิลด์ไดมอนด์ “ ตั้งแต่นัดกับ “กาลาตาซาราย” กับเกมเมื่อคืน “เวสต์ แฮม” มีปรับ 2 ตำแหน่ง คือบนยอดเพชร จาก นิค พาวเวลล์ มาเป็น รูนีย์ ด้านใต้ จาก เฟล็ตเชอร์ มาเป็น คาร์ริค ซ้ายเหมือนเดิม เป็น เคลฟ ขวาเป็น แอนเดอร์สัน

วันไหนที่ทีมเราไม่มี 2 ผู้เฒ่า สโคลส์ กับ กิ๊กส์ อยู่ในสนาม เกมจะรวดเร็ว ต่อบอลฉึกฉับ ช่วยกันวิ่งต่อบอล วิ่งไล่ตัดเกม เพรสซิ่งคู่แข่งกันสนุก แดนกลางแน่นปึ๊ก ผมเริ่มชื่นชอบดูทีมเราในเกมแพลนแบบนี้ แม้จะแปลกตาจากความคุ้นเคยในอดีต ที่แมนยู ต้องมีปีก โจมตีทางปีก
แต่ก็มีข้อเสีย ที่เห็นได้ จากทั้ง 2เกมที่เหมือนๆกันคือ
ความเร็ว นำมาซึ่งความไม่แน่นอน ... โดยเฉพาะวันที่เล่นกับ “กาลาตาซาราย” ไม่รู้จะเล่นเร็วกันไปถึงไหน คือเข้าใจได้เรื่องเลือดพลังหนุ่ม แต่เกมกับ ขุนค้อน พอมีตัวเก๋า อย่าง รูนีย์ กับ คาร์ริค (พี่ช้าเบอร์1ประจำทีม) ก็ยังไม่วายเล่นเร็ว ชิ่งบอลทันที ที่บอลเข้าเท้า.. เป็นทรงบอลที่ใช้พลัง และแรงกายในการทำเกมรุกค่อนข้างมาก..

ประโยชน์ของการทำชิ่งเร็ว ทำให้คู่แข่งบีบเข้าตัดบอลยาก เราจะเห็นได้ชัดจากเกมเมื่อคืน ที่ผู้เล่น เวสต์ แฮม หาบอลกันไม่เจอ ในครึ่งแรก... แต่ทำไมเปอร์เซ็นต์การครองบอลครึ่งแรก 2 ทีมไม่ห่างกัน ... ก็เพราะเราชิ่งเร็ว(เกิน)จนผิดพลาดกันเอง แล้วเขาตัดได้ไงครับ แม้แต่พี่ช้าเบอร์1 จากเดิม จะดึงบอลเข้าเท้าก่อน มองตัวจ่าย แล้วค่อยส่งออกไป ซึ่งถ้าตามมาตรฐานของเขา จะทำบอลเสียน้อยมาก... แต่เมื่อคืน พี่ช้าก็มีออกบอลเหวอบ่อยอยู่เหมือนกัน... รูนีย์ ที่เคยลงมาล้วงบอล แล้วนำไปจ่ายทะลุทะลวง ก็ดูรนๆจนจ่ายผิดพลาดบ่อยๆ..
ส่วน แอนเดอร์สัน ที่เกมกับ QPR ลงมาเป็นพระเอก จ่ายบอลแม่นยำ วิ่งทะลุทะลวงไปกับบอลได้ดี พอมาเกมนี้ กลับเน้นชิ่งจ่ายทันที จนพาลเสียบอลแบบไม่เข้าท่าหลายลูก ส่วนน้อง ทอม ผมเริ่มเข้าใจป๋าแล้วหละ ว่าทำไมให้เขานั่งดูซะส่วนใหญ่ ทั้งๆที่ไม่เจ็บไม่ไข้ ทีมชาติได้ลงทุกนัด เพราะ ทอม ยังฝากผีฝากไข้อะไรไม่ได้จริงๆ แม้ฝีเท้าจะดี แต่เขายังต้องรอเวลาในการเรียยรู้ และเข้าใจเกมให้มากกว่านี้ เล่นอย่างไรให้ชนะคู่แข่ง ปล่อยบอลอย่างไรให้ได้เปรียบ มากกว่าการวิ่งเยอะ ชิ่งแยะ แต่บอลไม่คืบหน้า ใช้พลังงานขนาดนี้ เวลาเจอเกมยื้อๆ จะฮึดไม่ขึ้น จะหมดมุขเอา เกมเมื่อคืน เขาก็คือคนแรกที่ต้องเดินออกจากเกมก่อนอีกครั้ง

เกมกับ เวสต์ แฮม น่าจะเป็นเกมหวานหมู เมื่อ ฟาน เพอร์ซี่ ทำให้เรานำตั้งแต่เหงื่อยังไม่ออก จากนั้น เกมก็เป็นของเราอย่างสิ้นเชิง แต่กลับหาจังหวะเข้าทำในกรอบเขตโทษ และจังหวะจบสกอร์ ไม่ได้มาก แถมมีเรื่องความผิดพลาดจากสปีดเกมที่เร็วจี๋ของเรา เกือบเป็นการยื่นดาบให้คู่แข่งหลายต่อหลายครั้ง
พอเข้าครึ่งหลัง ด้วยแนวทางการเล่นชิ่งเร็ว เจาะกลางเป็นหลักของเรา เวสต์ แฮม เลยลงมาตั้งโซนแน่นแทน การวิ่งไล่บี้ เปอร์เซ็นต์ครองบอลเราเลยสูงเหมือนบุกอยู่ฝ่ายเดียว แต่จริงๆ เราได้แต่ครองบอลชิ่งไปชิ่งมา แต่อันตรายกลับลดลงเรื่อยๆ จนนักเตะเราเริ่มล้า และช้าลงไปเอง (จะบอกว่าตื้อก็ใช่) มันชวนอึดอัดจน ฟาน เพอร์ซี่ ต้องถอยตัวเองลงต่ำมาเอาบอลบ้าง แต่เขาก็เป็นอีกคน ที่ส่งบอลเสียเยอะมาก...

เมื่อเกมมันตื้อ รูนีย์ ที่เคยเป็นตัวยกระดับเกมได้บ่อยๆ ก็กลับผิดพลาดมากขึ้น จากหลายๆจังหวะที่ดันทุรังเล่น ผัง มิดฟิลด์ไดมอนด์ ก็เริ่มสับสน เพราะเดี๋ยวรูน กับ โรบิน ก็ลงมาต่ำ แอน ก็พยายาม วิ่งขึ้นไปริมเขตโทษ ก็ไปจ๊ะเอ๋กับ ทอม ที่แล่บขึ้นไปแถวนั้นบ่อยๆ เกะกะกันไปมาบ้าง อยู่ใกล้กันไปบ้าง ทับตำแหน่งบ้าง มีช่วงหนึ่งที่ มิดฟิลด์เทไปข้างซ้ายกันหมด พอเขาตัดบอลได้ ก็ครอสขวาไปลงตรงที่ว่าง ทะลุพรวดเดียวถึงเขตโทษเรา ราฟาเอล ที่ลอยอยู่ ก็วิ่งน้ำบาน ดีที่เกมนี้ อีแวนส์ มีสมาธิ และเล่นนิ่งมาก ทำให้ สมอลลิ่ง เล่นง่ายตามไปด้วย เกมนี้ คู่เซนเตอร์แบ็ค เราช่วยไว้ได้มากเลย ยิ่งประกอบกับ กองหน้าขุนค้อน ก็ไร้น้ำยา เราเลยคลีนชีท ทั้งๆที่เกมก็ไม่น่ามีอันตรายใดๆ
วินาทีนั้น ผมคิดถึง พอล สโคลส์ ใจแทบขาด ถ้าเขายังอยู่ ผมเดาใจป๋า ว่า ยังไงก็ต้องเปลี่ยนลงมา คุมเกม ดึงจังหวะเกม ไม่ต้องวิ่งมาก แล้วเปลี่ยนเป็นใช้บอลยาว ไปที่ว่างแดนหน้า แทนการชิ่งติ๊กต๊อก เล่นบอลหน้าเดียวกันอยู่นั่นแหล่ะ
ผมไม่แปลกใจ ที่ แอชลี่ย์ ยัง กับ เวลเบ็ค ได้ลง ซึ่งทั้งคู่ ที่ดูยังไง ชั่วโมงนี้ ก็เล่นสู้ เคลฟ กับ รูนีย์ ไม่ได้ แต่ป๋า เห็นแล้วว่า ขืนยังปล่อยเล่นแนวเดิมต่อไป เกมจะยิ่งแย่ลง กลับมา 4-4-2 ออกปีกมากขึ้น เพื่อถ่างแนวรับขุนค้อน ที่กระจุกรับแน่นเต็มตรงกลาง กับยังหวังให้ แอนเดอร์สัน ได้กลายเป็นฮีโร่อีกนัด เมื่อได้ไปเป็นกลางรุกเต็มตัว ไม่ต้องไปมัวชิ่งกะกลางคนไหนให้เสียเวลาอีก แต่เขาก็ยังเป็นน้อง แอน คนเดิมที่ เล่นดีนัด แย่หลายนัด หาฟอร์มสม่ำเสมอไม่ได้สักที แล้วก็ต้องแพ้ภัยตัวเอง ถูกเปลี่ยนออก โดยหวยกลางรุกก็กลับไปตกอยู่กับ คาร์ริค หน้าเดิม ที่ป๋าไว้ใจที่สุด แล้วให้ โจนส์ ไปปะทะคู่ต่อสู้แทน
แม้การแก้หมาก 3 ครั้งของ ป๋า จะไม่ทำให้เกมดีขึ้น กลับดูขี้เหร่ลงซะอีก ก็เพราะวันนี้ เราไม่มี “สโคลส์” ที่น่าจะเป็นตัวคีย์ ที่ดีที่สุดกับสถานการณ์แบบนี้ ซึ่งผมเริ่มคิด และเข้าใจป๋ามากขึ้น หลังจากที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเกม กาลาตาซาราย ที่ครองบอลสู้เขาได้ แต่เล่นเร็ว ใช้แต่พลัง และไม่มีไอเดียในการเข้าทำ จนมาถึงเกมนี้ ที่ครองบอลเหนือกว่า แต่ก็ยังเล่นเร็ว ใช้แต่พลัง แม้ไอเดียจะดีในหลายๆโอกาส แต่ความเร็วก็เป็นตัวทำให้โอกาสนั้นหลุดลอยไป
สูตร มิดฟิลด์ไดมอนด์ ช่วยแก้ปัญหายามที่เรามีกองกลางเก่งๆหลายตัว แต่ปีกห่วย ก็ตัดปีกทิ้ง แล้วยัดมิดฟิลด์ลงพร้อมๆกัน อีกทั้งแผนนี้ยังยืดหยุ่นให้ปรับเป็น 4-3-3 ได้ง่าย ยามบุก แถมรับก็แน่น เพราะมีมิดฟิลด์แท้ๆอยู่ถึง 4ตัว สิ่งที่เราขาดก็คือ ตัวผู้เล่นที่จะมาทำให้เป็นรูปไดมอนด์สมบูรณ์นั่นเอง
สำหรับผม ยามที่ คากาวะ, รูนีย์ ฟิตสมบูรณ์ กับมีกองหน้ายังฮอตไม่เลิกอย่าง ชิชา กับ ฟาน เพอร์ซี่ ผมมองว่า รูนีย์ คือตัวที่น่าอยู่บนยอดเหลี่ยมเพชรที่สุด เพราะความเข้าขากับ ฟาน เพอร์ซี่ และ ชิชา ทำให้เขาน่าจะเป็นตัวสนับสนุนที่ดีกว่า รูนีย์ มีพลัง และเกร่งกว่า คากาวะ แม้รายหลังจะฉายให้เห็นว่าเป็น โครต เซ้นส์บอล คนหนึ่ง หากดันคากาวะลงไปอยู่ซ้าย หรือ ขวา มันจะเป็นการเสียของดี ในเรื่องการสอดเข้าไปยิงประตูไป ก็ต้องยอม เพราะดีกว่าเอารูนีย์ ไปออกด้านข้าง เหมือนที่เคยใช้บ่อยๆ ดูจะเสียของมากกว่า
ส่วนเหลี่ยมเพชรด้านข้าง ผมให้ คากาวะ , แอนเดอร์สัน ไปก่อน ขอตัด เคลฟ ออก เพราะเล่นเหมือน รูนีย์ เกินไป (เวลาเป็นกองกลาง) แต่ประสิทธิภาพ กับ เซ้นส์บอล สู้รูนไม่ได้ รอบ่มเพาะไปก่อน
ด้านล่าง ผมให้ เฟล็ตเชอร์ ดีกว่า คาร์ริค เรื่องการตัดเกม ถึงแย่เรื่องความแม่น แต่ก็ทำอะไรได้มากกว่า “คาร์ริค”
แล้วน้าสโคลส์ ของผมไปอยู่ไหนละ...
ก็ไว้ลงตอนที่ต้องคุมจังหวะเกม กับลงมาทำลายความเร็วของเกมน่ะสิ ไม่อย่างงั้น ก็เล่น(โครต)เร็วอยู่นั่นแหล่ะ เร็วจนไม่มีเวลาจะคิดวิธีเล่นเลย ให้ตายสิ....
Atomlife