
เมื่อจับวัดกันตัวต่อตัว, ปอนด์ต่อปอนด์, ฝีเท้าต่อฝีเท้า แมนยู เราเป็นรอง มาดริด อยู่ 1ขุม กับ 2หลุม เป็นอย่างน้อย (เดี๋ยวไปเฉลย ว่ามันคืออะไร)
แต่เวลาจับมัด มารวมกันเป็นทีม แล้วโยนแผนไปให้เล่น แมนยู กลับดูสูสีกับ มาดริด พอสมควร แบบออกหน้าไหนก็ได้ ไม่เหมือนตอนเจอ ทีมต่างดาว อย่าง “บาร์ซ่า” ที่ไม่ว่าจะ ตัวต่อตัว, หรือมัดเป็นก้อน เป็นทีม ก็เทียบไม่ติด

แผนการเล่น กับการจัดวางตัว ลงไปในแผน มีส่วนสำคัญจริงๆ และนี่เป็นอีก 1 นัด ที่ผมอยากจะกราบเท้า แล้วลุกขึ้นไปหอมแก้มป๋าเฟอร์กี้ ที่ทำให้เรามีตำแหน่งที่ดี หลังจบเกมเมื่อคืนนี้
ป๋า แสดงออกให้เห็นว่า “ฉันไม่อีโก้ ฉันประเมินทีมฉันเป็น” วางแผนมาเน้นรับ แล้วโต้ ไม่ได้ ก็ต้องไม่เสีย ประกอบการที่มีอีกเกมอยู่ในมือ เกมนี้ไม่จำเป็นต้องแลก แม้แผนนี้ จะเป็นการเชิญชวนให้มาดริด กรูเข้ามาชำเราเกมรับเราอย่างต่อเนื่อง ก็ตาม
แต่ตอนทีมชีทปรากฏออกสื่อ ใครเป็นสาวกปีศาจเข้าสายเลือด ก็ต้อง หู ตา เหลือก หลังจากปรากฏนาม เวลเบ็ค กับ โจนส์ ลงสนามพร้อมกัน
กับ ฟิล โจนส์ ยังพอทำความเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะวันอาทิตย์ ได้เห็นจ็อบ ที่ ป๋า มอบให้ไปเป็นหมาล่าเนื้อ กัดติดหัวฟู ไล่แทะเล็มเส้นผมมันจนซ่าส์ไม่ออก พอ โจนส์ มายืนตัวจริงในสนามเบอร์นาบิว ไม่ต้องเรียนโค้ชฟุตบอล ก็รู้ว่า มีหน้าที่ไล่ดมกลิ่นตัว CR7 โรนัลโด้ แม้ในใจลึกๆของหลายๆคน ยังอยากให้ เคลฟ ลงมากกว่า
แต่กับ เวลเบ็ค นี่สิ มันเข้าใจยากกว่าการ เข้าใจตุ้ม ซะอีก

แม้เกมหลังๆของเขา จะดีขึ้น ในฐานะ กองหน้าตัวรับ เอ๊ย!! กองหน้าตัวจี๊ด คอยวิ่งป่วนแผงรับฝั่งตรงข้าม แล้ววิ่งลงมาช่วยไล่ตัดเกม ยามโดนบุก ในเกมแพลน ที่ป๋า เน้นเล่นเพรสซิ่งเร็วใส่คู่แข่ง เวลเบ็ค จะถูกส่งลงทุกครั้ง
แต่คำว่า เวลเบ็ค มีเกมที่ดีขึ้น คือทำได้ตามแผนที่ว่า การมีเขาไล่สูงในแดนคู่แข่ง มีส่วนทำให้คู่แข่งตั้งเกมลำบาก และบ่อยครั้ง ก็เป็นเขานี่แหล่ะ ที่ไปตามเกะกะ แทะ แซะ เอาลูกบอลกลับมาได้บ่อยๆ
แต่ก็อีก... บ่อยครั้งที่ความดีที่เขาก่อขึ้น ก็มาทำเสียซะเอง ยามที่อยู่ในจังหวะได้-เสีย มีช่องให้ยิง กูก็ล็อคบอลโชว์ แล้วเลี้ยงบอลพาตัวเองเข้ามุมอับ หรือเลี้ยงไปชนคู่แข่งดื้อๆ, แต่พอไม่มีช่อง กูก็ก้มหน้ายิง, เพื่อนวิ่งทำทาง กูไม่จ่าย, แต่ชอบจ่าย ในขณะที่เพื่อนไม่พร้อม, ประตูโล่งๆ กูก็อัดเต็มแรงขึ้นอัฒจรรย์, แต่ยามคู่แข่งเผลอเปิดช่องให้ กูก็ยิงแป๊ก ส่งบอลไม่มีน้ำหนักคืนให้คู่แข่ง และอีก ฯลฯ ที่ดูยังไง เขาก็ไม่เหมาะกับเกมใหญ่ๆแบบนี้
แต่สำหรับ “ป๋า” ที่ให้ท้าย “ลูกรักหน้าดำ” คนนี้มาตลอด จนหมางเมิน “ถัวน้อย” ที่ยิงให้ตายยังไง เกมต่อไป ก็กลับไปเป็นกองหน้าตัวเลือกอันดับที่ 4-5 ต่อจาก “ลูกรักหน้าดำ” ซึ่ง ป๋า ได้พิสูจน์ให้ จขกท และแฟนผี นับล้านทั่วโลก ให้เห้นแล้วว่า กับเกมนี้ ทำไมต้องเป็น “เวลเบ็ค”
ถ้าเมื่อคืน.. ไม่มีไอ้แมงมุม ในคราบมนุษย์ลิงลม ผสม เห้งเจีย อย่าง “เด เคอา” ผมจะเลือก “เวลเบ็ค” เป็น แมน ออฟ เดอะ แมทช์ ด้วยความเต็มใจ (และด้วยความปลาบปลื้ม กับแอบหลงรักมันด้วย) จากผลงาน ที่ดีผิดหู ผิดตา และเชื่อว่า เฮียมู ก็คาดไม่ถึง กับ ไอ้เด็กดำเบอร์ 19 แน่นอน

นอกจากจะลงไปทำหน้าที่ กองหน้าตัวรับ เช่นเคย แต่กลับแผงฤทธิ์ เก็บบอล, พาบอล ทะลุทะลวง, แล้วก็มักจะโผล่มาในจังหวะทีเด็ดเสมอ และที่ต้องชมอีกอย่างคือ เขานิ่งมาก ไม่มีท่าทีลนลาน เหมือนเคย ครองบอลใจเย็น ปล่อยบอล ต่อบอล ในจังหวะดีตลอด ทำให้จังหวะบุกที่มีน้อยของเรา มีความอันตรายทุกครั้ง แน่นอน ในเกมรับ เขาก็ทำหน้าที่ได้ดี แถมดีกว่า เวนย์ รูนีย์ ด้วยซ้ำ ในการลงมาช่วยเกมรับ ช่วยปะทะ, ช่วยไล่ และยังตัดบอลได้หลายครั้งเช่นกัน ตอนที่ เวลเบ็ค ถูกทำฟาวส์ จนตะคริวขึ้น ผมรู้สึกเสียดายมาก ที่เขาอยู่ไม่เต็มเกม เห็นเล่นแบบนี้ เกมหน้า เชื่อว่า ป๋า ส่งลงอีกแน่ๆ และ เขาจะได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง ว่าจะขึ้นชั้นมาเป็นนักเตะแถวหน้าของทีมได้หรือยัง เมื่อต้องเผชิญกับการวางแผน ของ เฮียมู ในการรับมือกับการเล่นของเขาเป็นแน่แท้

เกมนี้ ฟิล โจนส์ ก็เป็นอีกคน ที่เล่นดีตามแผน เขาสามารถลักพาตัว CR7 ให้หายตัวไปจากเกมได้เป็นพักๆ แม้โดยรวมจะเก็บกวาดไม่สะอาดเท่าไร และออกโฉ่งฉ่างตามสไตล์ อยู่บ่อยๆ แต่ผมยกให้เขาเป็นอีกจิ๊กซอว์ ที่ทำให้เกมเมื่อคืน เราไม่เพลี่ยงพล้ำต่อ มาดริด

แม้ว่า การวางแผนแบบนี้ของป๋า จะทำให้ กลางเราเป็นรองคู่แข่ง เพราะเหลือตัวน้อยลง มิดฟิลด์แท้ๆ อย่างคาร์ริค ต้องหัวหมุน กับการรับแขก อลองโซ่, ดิ มาเรีย, เคดิร่า, โอซิล ที่หมุนเวียนกันเข้ามาวิ่งเล่นอย่างเพลิดเพลินตรงกลาง แม้ ป๋า จะใช้การดึง รูนีย์, เวลเบ็ค, คากาวะ ลงมาช่วย คาร์ริค แล้วก็ตาม แต่พอสวิทช์กลับมาเป็นฝ่ายบุก คาร์ริค ก็เหนื่อยเกินกว่าจะปั้นเกม เพราะมาดริด ใช้วิธีเพรสซิ่งเร็ว (ผมว่า มาดริดเล่น เพรสซิ่ง ดีกว่าเรา กรูกันเข้าปะทะ ทั้งเร็ว ทั้งแข็งเกร่ง แถมวิ่งเบียดติด นักเตะของเรา สลัดไม่หลุดอยู่หลายๆครั้ง จนต้องเสียบอลคืนไป) เกมนี้ จึงไม่ค่อยเห็น คาร์ริค พาสบอลทำเกมสวยๆอย่างเคย แม้จะมีรูนีย์ มาช่วยปั้นเกมด้วย ก็ทำเสียซะมากกว่าดี ยิ่งเหลือบมามอง คากาวะ แล้วยิ่งเห็นแต่ความผิดพลาด แถมยังเล่นยกระดับเกมตัวเองไม่ได้ แอบลักพาตัวเองหายไปจากเกมบ่อยๆ จนลืมว่า เขายังเล่นอยู่ (นะ)

ป๋า เอา คากาวะ ลง เพื่อช่วยครองบอลในแดนมิดฟิลด์ กับวิ่งขึ้นไปช่วย ฟาน เพอซี่ ยามที่ทีมบุก แต่ คากาวะ ก็ยังไม่สามารถเล่นเข้ากับระบบทีมของ แมนยู ได้สักที ตอนอยู่กับ ดอร์ทมุนด์ ผู้เล่น จะเล่นร่วมกันเป็นทีมกรุ๊ป จับบอลได้ จะมีเพื่อนมารออยู่ในช่อง รอต่อกันตลอด แต่กับระบบของ แมนยู ที่จะเน้นการเข้าทำ ที่เร็วกว่าใน เยอรมัน ต่อบอล 3-4 จังหวะ หลุดพรวดเข้าเขตโทษเลย ซึ่งทักษะอย่าง คากาวะ น่าจะเล่นสไตล์นี้ได้ดี กลับกลายเป็น เขาก็ยังมัวส่งบอลสั้น ติ๊กต๊อก กับเพื่อน แบบมากจังหวะ จนทำให้ ทุกครั้งที่เกมเรามี คากาวะ ทีมก็จะเล่นช้า เล่นบอลเยอะ แต่ไม่อันตราย เท่ากับตอนที่ใช้ เคลฟ หรือ แอนเดอร์สัน
ป๋า ก็คาดหวังว่า.. ในเกมยุโรป ที่เล่นกันช้า ประกอบกับเมื่อเราวางแผนมารับ ก็จะยิ่งช้าลงกว่าเดิม น่าจะเหมาะกับสไตล์ของ คากาวะ ที่มีทักษะในการครองบอล เอาตัวรอดในที่แคบๆได้ แต่! ป่าวเลยครับ เจอมาดริด เล่นเพรสซิ่งเร็ว กลายเป็น ไม่เหลือเวลาคิด หรือมีเวลาครองบอลกับตัว คากาวะ เลยยิ่งผิดฝา ผิดตัว เข้าไปใหญ่
เมื่อ รูนีย์ กับ คากาวะ ช่วยคาร์ริคไม่ได้ พอทีมเราตัดบอลได้ จึงได้เห็นภาพการซัดตูม จากแดนหลัง ไปข้างหน้า (แบบไร้จุดหมาย) อยู่บ่อยครั้ง พื้นที่ความกว้างของสนาม มี ฟาน เพอร์ซี่ ยืนอยู่ท่ามกลางชุดขาวไม่ต่ำกว่า 2-3 คนตลอด เห็นพิงแล้วเก็บบอลลง พลิกต่อไปได้ อยู่ประมาณ (เท่าที่จำได้) อยู่ 4-5 ครั้ง ก็ถือว่าเทพมากแล้ว นอกนั้น บอลจะถูกฝั่งตรงข้ามดักกินหมด.. นี่ก็เป็นผลจากการเล่นตั้งรับเกือบทั้งทีม (โจทย์นี้ จะคลี่คลายอย่างไร ใน เลค2)

ขณะที่ดูไป ก็ได้แต่นั่งทำใจ และยอมรับกับการวางแผนมาเล่นแบบนี้ของ ป๋า ผมก็ว่า มันเวิร์คที่สุดแล้ว แม้มาดริด ชุดนี้ ดูจะไม่น่ากลัวเท่าไร แต่ความสามารถเฉพาะตัว ของนักเตะเกือบครึ่งทีมของเขาต่างหาก ที่สามารถใช้เพียงเสี้ยววินาที หรือโอกาสจากช่องว่างอันน้อยนิด ก็แปรเปลี่ยนผลการแข่งขันได้ หากเราคิดจะบุกสู้แบบเต็มตัว นี่ขนาดยืนรับไลน์ดีเฟนซ์ 2ชั้น กันแน่นหนา พวกมันยังมีโอกาส ตระบันทั้งไกล ทั้งใกล้ รวมกับมีจังหวะโยนครอสไปมา ให้หวาดเสียวตลอดเกม หากไม่มีช็อตผีเข้าของ “เด เคอา” มาช่วยชีวิตไว้ ผลการแข่งขัน ที่เป็นธรรมควรจะเป็น มาดริด ชนะ 4-2 ไม่ใช่ 1-1 เช่นนี้

ผมไม่ได้ขานแต้มฝั่งเราผิดครับ ทีมเราควรจะได้อีกลูก จากจังหวะหลุดเดี่ยว แล้วไปยิงซ้ายแป๊กของ ฟาน เพอร์ซี่ กับอีกจังหวะที่เขาตะบันขวาเต็มตีนเตี่ย แรงเกินกว่า โลเปซ จะปัดพ้น แต่ดันมีคานมาเซฟให้อีก
ส่วนจังหวะ เอวร่า หลุดทะลุ แล้วโดนเบียดจากข้างหลัง จนเสียหลักนั้น ยังไงก็ฟาวส์ เผลอๆ หากกลับกัน เป็นโด้ หลุด แล้ว เอวร่า เข้ามาแซะจากข้างหลังแบบนั้น ผมว่า กรรมการ มันควักการ์ดสีแสด (กึ่งเหลือง กึ่งแดง ออกได้ทั้ง2ใบ) ทันที หากแฟนมาดริด ส่งเสียงร้องฟาวส์พร้อมๆกัน กรรมการ มันอาจจะสำลักใบแดง ล่วงออกมา ฐานที่เอ็ง เป็นตัวสุดท้าย (แม้จะมีกองหลังอีกตัวเยื้องลงไป แต่ก็มีกองหน้าอีกตัวรอตามเข้าซ้ำ เรียกว่า เหน่ง ใส แจ๋ว เลย ถ้าหลุดจังหวะนั้นได้ เตรียมใส่สกอร์ได้เลย)
ผมก็เห็นด้วยกับ นักเตะในทีม และแฟนผีทุกคน กับจังหวะลูกเตะมุมสุดท้าย ที่เห็นว่า กรรมการ มันเป่ามีพิรุธ (ตลอดทั้งเกม มีจังหวะมากมาย ที่นักเตะมาดริด ฟาวส์ใส่ทีมเรา กับไม่มีแม้กระทั่ง เรียกไปเตือน ) แต่จังหวะนั้น มันคงเกิดป๊อดขึ้นมามากกว่า กลัวว่า หากลูกนั้นลอยจากมุมมา แล้วมีผีตนใดฟาดเข้าประตูไป เหมือนปี 1999 มันคงจบสิ้น เส้นทางชีวิตการคาบนกหวีด ในบั้นปลาย หรืออาจจะตายห่าคาสนาม เบอนาบิว ฐานที่ต่อเวลาเกิน จนทีมเสียประตู (เวลาที่ต่อ มันหมดแล้วจริงๆ)
กับผลเสมอ 1-1 กลายเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของผม เพราะผมภาวนาหลังจากโด้โหม่งตีเสมอได้เร็ว ว่าเกมนี้ 2-1 ก็โอแล้วอ่ะ แต่ผมว่า กับบรมครูอย่าง ป๋า คงยิ้มกริ่ม กับผลงานที่ได้ตามเป้า แล้วนัดหน้าไปวัดดวงชะตากันที่บ้านเรา ซึ่งผมเชื่อว่า เกมนั้น น่าจะเป็นเกมหยุดโลกอย่างแท้จริง

เพราะผล 1-1 +อเวย์โกล ไม่ได้ทำให้เราได้เปรียบอะไรเลย กับการเจอทีมอย่างมาดริด หากนัดหน้า เราลดการ์ดเปิดหน้าสู้ นั่นเท่ากับเปิดโอกาสให้เขาชิงอเวย์โกล เราได้เช่นกัน เราจะชนะเขาได้ มีสถานเดียว ต้องยิงให้ได้มากกว่าเขา 1 ลูก อาจเหมือนครั้งสุดท้ายที่เราเปิดบ้าน สอย มาดริด 4-3 ใน UCL เมื่อหลายปีก่อน
แต่เชื่อไหม? ผมว่า ป๋า ใช้แผนเดิมกับมาดริด เลค2 อุดแหลก แล้วสวนตูมเดียว น็อกเลย แล้วฮีโร่ค่ำคืนนั้น อาจจะเป็นเด็กหน้าดำ คนเดิมกับค่ำคืนที่ผ่านมา.... แดนนี่ เวลเบ็ค

