ก่อนหน้านี้ เคยแปลบทวิเคราะห์จากการให้สัมภาษณ์ของฟานกัลต่อทีวีดัทช์เรื่องของปรัชญาการทำทีมของเค้ามาแล้ว ซึ่งเป็นการวิเคราะห์จากการให้สัมภาษณ์ของเค้าก่อนหน้านี้ ว่าระบบการเล่นของฟานกัลนั้นตายตัวคือ 4-3-3 แต่นั่นคือการวิเคราะห์คร่าวๆ แต่เมื่อลงลึกในรายละเอียดแล้ว มาร์เทน ไมเยอร์ ผู้ที่ศึกษาและลงลึกในรายละเอียดเกี่ยวกับฟานกัล ได้เขียนหนังสือและอ้างอิงการพูดคุยกับฟานกัลถึงเกมการเล่นของเค้าไว้ดังนี้
ฟานกัลกล่าวว่า ปรัชญา นั้นสำคัญกว่าระบบ ก่อนอื่น ผู้เล่นต้องยึดมั่นในหลักการ total ฟุตบอลในแบบของเค้าให้ได้ก่อน เมื่อถึงเวลา ระบบต่างๆ ในสนาม จะสามารถปรับเปลี่ยนตามทักษะความสามารถที่โดดเด่นของตัวผู้เล่น นั่นเป็นเพราะไม่ว่าจะเป็นแผนการเล่นแบบไหน หลักของ total football นั้นเหมือนกัน
การวิเคราะห์แทคติกของเค้าจากสื่อนั้นเป็นเพียงแค่ผิวเผิน นั่นเป็นสาเหตุที่ทำไม ฟานกัลถึงเป็นคนที่ลงลึกในรายละเอียด หน้าที่ของผู้เล่นแต่ละคน ต่างจากโค๊ชคนอื่นๆ นั่นเป็นเพราะ ปรัชญา และการดึงเอาจุดแข็งของแต่ละคนออกมาให้มากที่สุดนั่นเอง...
ฟานกัลบอกว่า จริงๆแล้ว เค้าใช้ระบบ 4-3-3 กับ Ajax 2-3-2-3 กับบาร์เซโลน่า และ 4-4-2 กับทีมอัลคมาร์ สิ่งสำคัญในการวิเคราะห์ทักษะของผุ้เล่น ก็คือตัวแปร 4 อย่าง TIPS = Technical (เทคนิค), Insight (ความเข้าใจในแทคติก), Personality(บุคลิค), Speed (ความเร็ว) ...
สำหรับ Ajax ผู้เล่นทุกคนล้วนมีความคิดสร้างสรรค์ ทีม Ajax ของเค้าคือความสมบูรณ์แบบ ถึงแม้จะไม่ใช่ตำแหน่งของตัวเอง แต่ทุกคนสามารถเข้าใจปรัชญาของเค้าได้ดี ซึ่งก่อนอื่น ผู้เล่นต้องมีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา สุภาพและมีความเคารพผู้เล่นคนอื่นๆ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่เค้าต้องการจากนักเตะที่จะเล่นให้เค้า เพราะมันเป็นพื้นฐานสำคัญ ที่จะทำให้เรียนรู้หลักของ total football ของเค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ผู้เล่น Ajax ในชุดนั้น ถึงได้ออกไปเป็นผู้เล่นเวิลคลาสในทีมต่างๆของยุโรปทุกคน
สิ่งที่ฟานกัลมองหา นั่นก็คือผู้เล่นที่เล่นได้หลากหลาย ผู้เล่นที่เล่นได้ทั้งสองเท้า เล่นได้หลายตำแหน่ง ร่างกายแข็งแกร่ง มีความเร็ว และเข้าใจในเกม และเหนือสิ่งอื่นใด ก็คือการใช้ทักษะที่มีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น มิเชล ไรซีเกอร์ โรนัลเดอร์บัว หรือเอ็ดการ์ดาวิด ผู้เล่นเหล่านี้ แม้จะตัวเล็ก แต่มีเทคนิคและความเร็ว เมื่อได้รับการฝึกฝน ปลูกฝังหลักปรัชญา total football จากฟานกัล ก็เป็นผู้เล่นที่ลงตัวในแทคติกที่ฟานกัลต้องการ
นอกจากนี้ ไมเยอร์ได้วิเคราะห์ผู้เล่นของแมนยูฯ เปรียบเทียบกับปรัชญาของฟานกัล สิ่งที่ฟานกัลต้องการมากที่สุด ก็คือความยืดหยุ่น เล่นได้หลากหลายตำแหน่ง เทียบกับนักเตะแมนยูฯ ในปีที่ผ่านมา ค่อนข้างจะเล่นได้มิติเดียว เช่นเดียวกับสมัยบาร์เยินมิวนิค ก่อนที่เค้าจะคุมทีม เค้าเลือกที่จะดันนักเตะดาวรุ่งในทีม มากกว่าจะใช้งานซูเปอร์สตาร์ของทีมอย่างลูก้า โทนี่ หรือลูซิโอ ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่า ฟุตบอลแบบ passing และ pressure เป็นเกมที่เหมาะกับนักเตะดาวรุ่ง ที่มีพละกำลัง ตรงข้ามกับทีมที่แมนยูฯ เป็นอยู่ อายุของทีมค่อนข้างเยอะ คำถามก็คือใครจะเป็นผู้เล่นแมนยูฯ ในทีมปัจจุบันที่จะดีพอจะอยู่กับทีมต่อไป
ตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะกองกลางตัวหลักของแมนยูฯ อย่างคาริค และเฟลทเชอร์ ทั้งคู่ก็ 30 กว่าแล้ว ซึ่งกวาดิโอล่า ได้แสดงให้เห็นแล้ว โดยถูกวิจารณ์อย่างหนักในการนำบอลพาสซิ่งไปใช้ โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม เกือบเสียท่าให้แมนยูฯ ที่ไม่อันตรายอะไรเลย และถูกมาดริด อัดเละเทะ อีกต่างหาก ... แม้แต่ผู้เล่นเอง ก็บ่นว่ากวาดิโอล่านั้นพยายามจะให้บาร์เยินเป็นบาร์ซ่ามากเกินไป นี่คือจุดที่แตกต่าง เพราะแทคติกของฟานกัลนั้นยืดหยุ่นมากกว่า ด้วยประสบการณ์ที่เหนือกว่า และเค้าก็พิสูจน์มาแล้ว ทั้งกับ อัลคมาร์ การเล่นพาสซิ่ง เพื่อเจาะเกมฝั่งตรงข้ามนั้นอันตรายเกินไป เพราะพวกเค้าไม่ใช่นักเตะระดับโลก ซึ่งตอนนั้น ฟานกัลมองว่าจังหวะที่ทีมไม่มีบอลนั้นคือจุดที่ผู้เล่นต้องโฟกัสมากที่สุด เป็นจังหวะที่กองหลังฝ่ายตรงข้ามไม่อยู่ในตำแหน่งและเป็นจังหวะที่สามารถเปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้อย่างอันตรายที่สุด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเกมของฝั่งตรงข้ามด้วย ปีที่อัลคมาร์คว้าแชมป์ เค้ามีการปรับเปลี่ยนแทคติกในแต่ละเกม อย่างน้อยๆ 4 สไตล์เพื่อให้เหมาะสมในแต่ละเกม...
สำหรับนักเตะที่ฟานกัลชื่นชมเป็นอย่างมากก็คือ อินเนสต้า ที่สามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่ง และแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย ว่ามาตา ซึ่งถอดแบบเกมของอินเนสต้ามา จะเป็นแกนกลางของทีมในยุคนี้อย่างแน่นอน สอดคล้องกับข่าวล่าสุด ว่าหลังจากฟานกัลวิเคราะห์ทีม จะมีแค่ 4 คน ก็คือ ฟานเพอร์ซี่ รูนี่ มาตา และเดเกีย ที่จะมีอนาคตกับทีมแน่นอน ที่เหลือ ล้วนแล้วแต่ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าดีพอจะอยู่ต่อไปหรือไม่...
บอกตรงๆว่างานนี้คาดหวังกับฟานกัลอย่างมากเลยทีเดียว เพราะดูแล้วเป็นกุนซือที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์และเป็นต้นแบบของกุนซือหนุ่มดาวรุ่งในปัจจุบันหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นร๊อดเจอร์ มูรินโญ่ หรือกวาดิโอล่า ... การที่กิ๊กซ์ ยอมแขวนสตั๊ด มาทำงานผู้ช่วยเต็มตัว ผมว่าจะคุ้มค่าแน่นอน ที่ได้เรียนรู้กับกุนซือคนนี้ ... ตอนนี้ ก่อนเปิดฤดูกาล ขอดูความสามารถของฟานกัล ในการปรับเปลี่ยนแทคติกเป็น 352 ในเกมบอลโลกเพราะว่าขาด strootman ว่าจะได้ผลแค่ไหนเป็นการชิมลางก่อนมาแมนยูฯ ... ซึ่งถ้าหากได้ผลดี ต้องขอคาราวะ เลยว่าเป็นกุนซือที่แตกฉาน total football ของแท้แน่นอน...