แปลตามประสาคนว๊างงง ว่างงงง


By ifine
"มีคนเป็นล้านคนที่รู้จักเวลส์ เพราะว่าเป็นทีมที่ไรอัน กิ้กส์เคยเล่น"
เนวิลล์ เซาธ์ทอล
แม้แต่นักเตะรุ่นเก๋าก็รู้ว่าไอเด็กเงียบๆคนนี้มีอะไรพิเศษ เนวิลล์ เซาธ์ทอล ผู้ผ่านการคว้าแชมป์ลีกกับเอเวอร์ตันสองครั้ง ยังจำวันแรกที่ไรอัน กิ๊กส์มาฝึกซ้อมกับทีมชาติเวลส์วันแรก ตอนอายุเพียง 16 ปี
ที่ทำให้ผู้รักษาประตูวัย 33 ปีคนนี้ประหลาดใจ ไม่ใช่เพราะความกล้าแบบเด็กวัยรุ่นเท่านั้น แต่เพราะว่าความสามารถและทักษะที่ยอดเยี่ยมต่างหาก แต่เค้าก็ยังรู้สึกได้ถึงความขวยเขิน "คุณรู้ได้ทันทีเลยว่าเด็กคนนี้สุดยอด แต่เราก็รู้ว่าเค้ายังกั๊กๆไว้อยู่ตอนซ้อม" เซาธ์ทอลพูดด้วยความเอ็นดู "ผมคิดเสมอว่าเพราะว่าเค้ายังรู้สึกเป็นเด็กอยู่ เลยไม่ควรที่จะโชว์ฟอร์มข่มพวกรุ่นใหญ่ในทีม มันจะดูเป็นการอวดดีไปหน่อย ซึ่งถ้าเค้าจะทำเค้าก็ทำมันได้สบายๆเลยหละ"
กิ้กส์ซึ่งเกิดที่คาร์ดิฟฟ์ประเดิมสนามนัดแรกในทีมชาติเมื่อเดือนตุลาคม 1991 โดยเป็นการเปลี่ยนตัวลงมาแทนเอริค ยัง ในช่วงท้ายเกมที่พบกับเยอรมันนี เป็นหมวกทีมชาติใบแรกจาก 64 ใบ ที่ใบสุดท้ายได้มาเดือนที่แล้ว (มิย) ในเกมเสมอ 0-0 กับสาธารณรัฐเชค เค้าลงสนามตอนอายุ 17 ปีกับ 321 วัน เป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่เคยลงสนามให้ทีมชาติ (จำไม่ได้ว่า เกเรธ เบลที่ย้ายไปสเปอร์ลบสถิตินี้แล้วยังนะ - ผู้แปล) หลังจากนั้นสองปีเค้าก็ยิงประตูแรกในทีมชาติได้ เป็นฟรีคิกสวยงามในเกมพบกับเบลเยี่ยม ที่สนามคาร์ดิฟฟ์อาร์มปาร์ค (สนามเก่าของทีมชาติเวลส์) อีกหนึ่งดาวดวงใหม่ก็ถือกำเนิด ไม่นานหลังจากนั้นกิ้กส์ก็รับสืบทอดปลอกแขนกัปตันจากเซาธ์ทอล ซึ่งเค้ามองว่ากิ้กส์ได้รับตำแหน่งไปจากการแบบอย่าง ไม่ใช่อาวุโส
"คุณยิงปืนใหญ่ใส่เค้าก็ได้ แต่เค้าก็จะรับมือมันได้สบายๆ แค่มีรายชื่อเค้าอยู่ในทีมก็ทำให้คู่ต่อสู้หวั่นไหวได้แล้ว และคนเป็นล้านทั่วโลกรู้จักทีมเวลส์เพียงเพราะเป็นทีมที่เค้าเคยเล่นให้เท่านั้น"
แม้การรับใช้ชาติของกิ้กส์จะไม่เคยพาเค้าเข้าไปสู่รอบสุดท้ายของรายการใหญ่ๆทั้งหลาย แต่เค้าก็มีช่วงเวลาอันน่าทรงจำให้ภาคภูมิใจมากมาย อย่างชัยชนะเหนืออิตาลีที่มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยมเมื่อปี 2002 ที่จะไม่มีวันถูกลืมจากทั้งเหล่านักเตะและแฟนบอล ในขณะที่ฟอร์มของเค้าในเกมที่พบกับบราซิลเมื่อปีที่แล้วก็ทำให้ดุงก้าออกมาบอกว่า ฝีเท้าระดับเค้าสามารถเป็นตัวจริงทีมบราซิลสบายๆ
ตอนนี้กิ้กส์ก็รู้สึกว่าควรจะถึงเวลาอำลาทีมชาติซะที ความคิดนี้อาจจะเริ่มจากการพ่ายแพ้ต่อไอร์แลนด์ ซึ่งทำให้เวลส์หมดโอกาสจะเข้ารอบสุดท้ายยูโร 2008 "ผมรักการลงเล่นให้ทีมชาติ และผมก็รักการเป็นกัปตันทีมชาติเช่นกัน" กิ้กส์ให้สัมภาษณ์หลังเกมกับเชค "ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว มันก็เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับผมเช่นกัน"
เป็นข่าวร้ายสำหรับทีมชาติเวลส์ แต่นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนที่อยากเห็นเค้าลงเล่นในโอลด์ แทรฟฟอร์ดให้นานกว่านี้ บางคนอาจจะพูดว่ากิ้กส์ให้ความสำคัญกับการเล่นให้แมนยูเป็นอันดับหนึ่ง เพราะเค้ามักจะถอนตัวเกมกระชับมิตรของทีมชาติเสมอๆจากอาการบาดเจ็บ แต่ใครก็ตามที่เห็นความพยายามและความทุ่มเทที่เค้าแสดงให้เห็นตอนใส่เสื้อทีมชาติน่าจะบอกได้ว่าเค้าตั้งใจจะพาทีมมังกรแดงก้าวขึ้นไปข้างหน้าแค่ไหน
และการลงสนามนัดสุดท้ายของเค้าก็เป็นหนึ่งในนัดที่เค้าเล่นได้ดีที่สุด กิ้กส์โชว์ฟอร์มเหมือนวันเก่าๆ เค้าเรียกบอล และป่วนกองหลังเชค แต่ด้วยซุปเปอร์เซฟระดับโลกของปีเตอร์ เชคทำให้สถิติยิงประตูในทีมชาติของเค้าหยุดแค่ 12 ลูก อดีตกัปตันทีมชาติเวลส์ เควิน แรทคลิฟบอกว่า "กิ้กส์คือหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก ที่ไม่เคยเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย" เคียงข้างไปกับหนึ่งในตำนานของแมนยูอย่างจอร์จ เบสต์ และนักฟุตบอลระดับโลกอีกมากมายเช่น จอร์จ เวอาห์, อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่, จอห์นนี่ กิลส์ และจิม เบกซ์เตอร์ กิ้กส์ได้เข้าไปอยู่ในรายชื่อยอดนักฟุตบอลของโลกที่ไม่เคยร่วมแข่งขันรายการใหญ่ๆเลย
โอกาสของเค้ามีแต่คำว่าใกล้เคียง ในปี 1994 แต่การพลาดจุดโทษของพอล โบดิน ทำให้เวลส์อดไปเล่นฟุตบอลโลก และอีกสิบปีถัดมาพอดี การแพ้ต่อรัสเซีย 1-0 ในรอบเพลย์ออฟที่มิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม ทำให้ธงเซนต์เดวิดก็อดไปขึ้นเสาในศึกยูโรที่โปรตุเกต ทั้งสองครั้งเวลส์ต้องเล่นอีกเพียง 90 นาทีก็จะได้เข้าร่วมรายการใหญ่ หลังจากลงเล่นครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1958 ครั้งนั้นเปเล่ ยิงประตูแรกในบอลโลกของเค้าได้ ซึ่งคือประตูที่เขี่ยเวลส์ให้จบแค่รอบแปดทีมสุดท้าย
แต่ว่ามันคงจะเป็นเรื่องผิดถ้าไปจำว่ากิ้กส์ไม่ได้โดดเด่นในการลงเล่นระดับชาติ กิ้กส์ได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมชาติเวลส์ "ผมเคยเล่นกับนักเตะเก่งๆมาหลายคนตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ผมพูดได้เต็มปากว่ากิ้กส์คือคนที่เก่งสุดครับ" ดีน ซอนเดอร์ส เจ้าของสถิติยิงประตูสูงสุดอันดับสี่ในทีมชาติบอก "เค้ามีครบทุกอย่าง" อดีตนักเตะลิเวอร์พูลและแอสตันวิลล่าบอก "กิ้กส์ได้รับความนับถือจากทุกคน คุณจะไม่เคยได้ยินเค้าพูดอะไรไร้สาระ หรือทำอะไรโง่ๆ มันเป็นเกียรติอย่างมากได้ลงเล่นร่วมกับเค้าในทีมชาติ และไรอันก็ฝากผลงานที่ยอดเยี่ยมให้กับทีมชาติเวลส์"
ข้อนั้นก็ได้รับรู้จากแฟนๆทั้ง 30,000 คนที่มิลเลนเนี่ยมสเตเดี้ยมวันนั้น ที่ชูป้ายแสดงความยิ่งใหญ่ของเค้า ที่แค่สั้นๆ แต่บอกถึงทุกอย่างว่า "ขอบคุณ ไรอัน"
และไม่ถูกแย่งความเด่นไปจากทีมเยือน บรรดาแฟนบอลชาวเวลส์ได้มีโอกาสแสดงความขอบคุณให้กับนักเตะอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเค้าได้ด้วยตัวเอง หลังจากจอห์น โตแชค ผจก.ทีมชาติเปลี่ยนตัวเค้าออกในนาทีที่ 89 เพื่อให้แฟนๆได้ทำสแตนดิ้งโอเวชั่น "ถ้าเค้าไม่รู้ ตอนนี้เค้าก็รู้แล้วหละว่าเค้าได้รับการยกย่องแค่ไหน" โตแชคบอก "เราจะคิดถึงเค้าแน่นอน เรากำลังพูดถึงนักเตะที่พิเศษ พิเศษมากๆ ผมอวยพรให้เค้าโชคดี"
แรทคลิฟฟ์บอกเพิ่มเติมว่า "บางทีคนต้องให้นักเตะคนนั้นเลิกเล่นถึงรู้ว่าเค้ายอดเยี่ยมแค่ไหน" โชคดีสำหรับพวกเราที่ยังได้เห็นไรอันในเสื้อสีแดงของเราต่อไป