กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว... มีหญิงสาวคนหนึ่งจำเป็นต้องเดินทางไปยังต่างเมือง
เสบียงที่เธอมีติดตัวไว้ยามหิวก็คือขนมปังหนานุ่มก้อนโต
แต่ทว่าเจ้าก้อนโตนี้ มันก็เป็นแค่ขนมปังธรรมดาๆเท่านั้น ไม่มีรูปทรงสวยงาม และรสชาติไม่หวานอร่อยสักเท่าไหร่
หลายๆวันเข้า เธอก็กินจนเบื่อ และไม่อยากจะกินอีกต่อไปแล้ว ในใจเริ่มคิดว่าทำไมต้องมาทนอยู่กับเจ้าขนมปังไร้รสชาติพรรค์นี้ด้วยนะ
เธอก็เลยเอาเจ้าก้อนโตนี้ เก็บใส่กระเป๋าไว้ แล้วเอาสตางค์ที่พอมี ไปซื้อขนมปังมาใหม่สองชิ้น
ระยะทางที่ยาวไกล เธอเดินจนทั้งเหนื่อยและหิว จึงหยิบขนมปังที่เพิ่งซื้อใหม่มากิน
ชิ้นแรก ,,, สีสันฉูดฉาด น่าดึงดูด แต่พอลองกินเข้าไป เธอกลับพบว่า รสชาติมันสุดจะทน
ชิ้นที่สอง ,,, มีรูปทรงแปลกตา แต่พอได้กัดแค่คำเดียว มันก็เค็มปี๋จนเธอทานไม่ลง
เธอขว้างทั้งสองก้อนทิ้งอย่างไม่ลังเลใจ และผิดหวัง ที่เสียเงินซื้อมา
และในที่สุด... เธอก็นึกได้ว่า ในกระเป๋าเธอมีขนมปังก้อนโตที่เธอเก็บไว้นี่นา
ด้วยความหิว เธอรีบคว้ามันขึ้นมา ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนกับได้เจอโอเอซิส กลางทะเลทราย
แต่ทว่า... อนิจจา
ด้วยความที่เธอละเลยมันนานเกินไป เจ้าก้อนโตที่เธอคุ้นเคย บัดนี้มันขึ้นราไปเสียแล้ว
กว่าเธอจะรู้ตัว ว่าสิ่งที่ตัวเธอต้องการที่สุด ก็เพียงแค่ขนมปังธรรมดาๆที่คอยทำให้เธอหายหิวได้ .... มันก็...หายไปอย่างไม่มีวันกลับมาเสียแล้ว
....และก็ไม่รู้เหมือนกัน
ว่าเธอจะมีโอกาสได้เจอขนมปังก้อนใหม่
หรือจะต้องนอนหิวตายอย่างลำพังอยู่ระหว่างทาง...
--------------------------------------
ตัดกลับมายังโลกแห่งความจริง
เมื่อพูดถึง ...แซม อัลลาร์ไดซ์ มีเรื่องให้ผมประทับใจเขาหลายๆอย่างทีเดียวครับ
ประทับใจในบุคลิกของชายร่างอวบ ที่มักจะขึ้นไปดูเกมที่อัฒจันทร์และใส่เฮดโฟน นั่งสั่งการอยู่ไกลๆ
ประทับใจใน ลูกเล่นและทริกแปลกๆ โดยเฉพาะจังหวะเซตพีซประหลาดๆที่มักได้ผลอย่างเหลือเชื่อ
ประทับใจใน การเลือกซื้อตัวผู้เล่น แบบที่ชอบเข็นเอาคนสูงอายุ วัยโรยรา กลับมาใช้งานอีกครั้ง เช่น อิบัน คัมโป้,เฟร์นันโด เอียร์โร่,แกรี่ สปีด,ฮิเดโตชิ นากาตะและเจเจย์ โอโคชา
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมด แทบไม่มีความหมายเลย เมื่อเขาย้ายไปรับงานที่นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
จากเฮดโค้ชที่ได้รับการยอมรับทั่วเกาะอังกฤษ กลับกลายเป็นแค่ตาแก่ที่วางแผนไม่ได้เรื่องคนนึง
แฟนๆแม็กไพส์เกลียดชังตะโกนขับไล่ในสนาม บอร์ดบริหารไม่เคยให้ความเชื่อใจ แถมสื่อมวลชนยังด่าเช้าด่าเย็น
...ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า
ตัวอัลลาร์ไดซ์ จะนึกเสียใจมั้ยนะ ที่คิดย้ายออกจากโบลตันในวันนั้น
...................................
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก ที่เมืองดัดลีย์ แถบเวสต์ มิดแลนด์บ้านเกิดของอัลลาร์ไดซ์
ด้วยความที่เมืองนี้ไม่มีสโมสรฟุตบอลอาชีพอย่างจริงจัง ทำให้เด็กๆในดัดลีย์ต่างมีสโมสรที่ชื่นชอบต่างกันออกไป
สำหรับอัลลาร์ไดซ์ เขาไม่มีสโมสรไหนที่เชียร์อย่างจริงจังหรอก อาจจะมีบ้างที่เข้าไปชมเกมของวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอส์ ในโมลินิวซ์กราวด์ ที่อยู่ใกล้ๆบ้าน แต่ก็แค่นั้น ไม่ได้มีความผูกพันอะไรกันลึกซึ้ง
ดังนั้นสโมสรที่เขารักมากที่สุดจริงๆ ก็คือ ทีมแรกที่เขาใช้ชีวิตในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ
...โบลตัน วันเดอร์เรอส์นั่นเอง
และเพียงเวลาไม่นานเท่านั้นเขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวหลักอย่างสมบูรณ์แบบ ก่อนจะได้รับความไว้วางใจให้สวมปลอกแขนกัปตันในเวลาต่อมา
ผลงานอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือ พาโบลตันคว้าแชมป์ดิวิชั่นสองได้อย่างสวยงาม และก้าวขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดได้ ซึ่งแชมป์นั้นเป็นแชมป์เมเจอร์เพียงแค่รายการเดียว ที่โบลตัน เคยทำได้มาก่อนด้วย
หลังจากอยู่กับโบลตันมา แปดปีเต็มในฐานะนักเตะ ลงเล่นไป 198 นัด ยิงได้ 21 ประตู เขาก็ต้องอำลาจากสโมสร และไปเล่นให้กับทีมต่างๆมากถึง 8 ทีม ก่อนจะรีไทร์จากวงการลูกหนังไปในที่สุด
อัลลาร์ไดซ์เคยกล่าวว่า โบลตันเป็นสโมสรที่เขารักมากที่สุด และความฝันสูงสุดของเขาก็คือ การได้เป็นผู้จัดการทีมที่เขารักทีมนี้จนอำลาวงการไปเลย
หลังจากแขวนสตั๊ดเขาพยายามยื่นใบสมัคร มาเป็นผู้จัดการทีมของโบลตัน ถึงสามครั้ง แต่ทางบอร์ดบริหารก็ยังไม่ไว้ใจในความสามารถและตอบปฏิเสธไป
อัลลาร์ไดซ์จึงต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการไปคุมสโมสรอื่นๆก่อน ซึ่งเขาก็ทำได้น่าประทับใจทีเดียว ทั้งการพาแบล็คพูลเข้าสู่โควตาเพลย์ออฟขึ้นพรีเมียร์ลีก รวมทั้งพาน็อตต์ส เคาน์ตี้คว้าแชมป์ดิวิชั่นสามได้สำเร็จ โดยทิ้งห่างอันดับสองถึง 19 แต้ม
และถึงแม้จะพาน็อตต์ส เคาน์ตี้เลื่อนชั้น แต่ความฝันจะเป็นผู้จัดการทีมที่เขารักยังไม่เปลี่ยนแปลงไป สุดท้ายจากการยื่นใบสมัครครั้งที่ 4 โบลตันก็ตอบตกลง เลือกเขาเข้ามาคุมทีม
จากนั้นเรื่องราวก็เป็นอย่างที่ทุกคนรู้กัน แซม อัลลาร์ไดซ์พาทีมเลื่อนชั้นจากแชมเปี้ยนชิพ ขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้อย่างยิ่งใหญ่ และยกระดับจากทีมระดับเล็กๆ กลายเป็นทีมเกรดบีบวกในพรีเมียร์ลีก จนก้าวไปจนถึงการเล่นยูฟ่าคัพอีกต่างหาก
ณ วินาทีนั้น บิ๊กแซมเปรียบเสมือนพระเจ้าของเหล่าสาวกทร็อตเตอร์ส ชื่อของเขาถูกยกให้เป็นแคนดิเดตของผู้จัดการทีมชาติด้วยซ้ำไป
และสำหรับตัวเขาเอง แน่นอน การยกระดับทีมรักของตัวเองให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ก็ทำให้เขาเองมีความสุขมากเช่นกัน
ทุกอย่างดูลงตัว และก็ดูเหมือนว่าบิ๊กแซมจะมีความสุขดีแล้ว กับที่นี่ ที่รีบ็อค สเตเดียม
แต่ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ
จะมีสักกี่คนกันที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า พอใจแล้วกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่
..................................................
ถ้าพูดกันตามจริง เมื่อพิจารณาดูแล้ว ก็เหมือนกับว่าโบลตันก็เป็นทีมที่ 'ใช่' สำหรับอัลลาร์ไดซ์แล้ว
แฟนบอลสนับสนุน สตาฟฟ์เชื่อใจ ลูกทีมเคารพรัก แค่เขาอยู่ต่อไป ก็จะกลายเป็นตำนานของโบลตัน เหมือนที่อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเป็นอยู่กับแมนฯยูไนเต็ด ตอนนี้ได้ไม่ยาก
และที่สำคัญที่สุดคือเขาก็รักโบลตันมากๆอยู่แล้วด้วย...
แต่จากการไม่พอใจ ในสิ่งที่เขามีอยู่ หลงไปติดกับ ความเย้ายวนของทีมขนาดใหญ่ที่มีเงินถุงเงินถัง ให้ใช้เต็มมือ แต่แถมด้วยความกดดันมหาศาล อย่างนิวคาสเซิล
มันก็ไม่น่าเซอร์ไพรส์เท่าไหร่ ที่เขาโดนปลด หลังจากมีโอกาสทำทีมแค่ 8 เดือนเท่านั้น
การสร้างทีมในสไตล์ของอัลลาร์ไดซ์ต้องใช้เวลา ค่อยๆปรับแต่งทีละจุดไปเรื่อยๆ ซึ่งสโมสรที่กระหายในความสำเร็จอย่างปัจจุบันทันด่วนอย่างแม็กไพส์ ไม่สามารถรอคอยระยะเวลานานขนาดนั้นได้
สิ่งแรกที่ผมคิดขึ้นมาหลังจากเห็นข่าวการปลดอัลลาร์ไดซ์ ก็คือ เมื่อวันที่เขาโดนขับไล่มาจากที่อื่นๆ
ในใจของเขาจะคิดมั้ยนะ ว่าโบลตันนั่นแหละดีที่สุดกับเราแล้ว
และเขาคิดบ้าอะไรอยู่ในตอนนั้น
ถึงกล้าทอดทิ้งสิ่งที่ดีที่สุดไปจากชีวิตของตัวเอง
...........................................
บางครั้ง ความเคยชินมันทำให้เรามองข้ามสิ่งที่มีอยู่ว่า มีค่าแค่ไหน
หลายๆคนเคยทอดทิ้งคนรักที่คบกันมานาน เพื่อลองคบกับคนใหม่ ที่ดูวูบวาบกว่า หน้าตาดีกว่า ก่อนที่จะมาเสียใจทีหลังว่า เธอคนแรกนั่นแหละคือคนที่ใช่กับเราที่สุดแล้ว
หลายๆคนเคยตัดสินใจเปลี่ยนงานที่ตัวเองชอบอยู่แล้ว เพียงเพราะต้องการความท้าทายใหม่ กับงานที่จะดูเหมือนจะก้าวหน้ามากขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะมารู้ตัวทีหลังว่าคิดผิดซะแล้ว
ในช่วงชีวิตของคนเรา ผมเชื่อว่าจะมีบางอย่างที่เหมาะสมกับเราที่สุดอยู่ในตัวของมันเอง
ดังนั้นอย่าเอาแค่อารมณ์ชั่ววูบ มาตัดสินใจง่ายๆเลยนะครับ
เพราะของบางอย่าง ที่เหมือนจะเกิดมาเพื่อเรา แต่เมื่อเลยจุดหนึ่งไป มันไม่สามารถหวนกลับมาได้อีกแล้ว
และมันก็จะไม่ใช่สิ่งที่เกิดมาเพื่อเราอีกต่อไป ...
ขนมปังที่ขึ้นราแล้วเราก็ไม่สามารถกินได้
เช่นเดียวกับบิ๊กแซม ที่กลับมาที่โบลตันไม่ได้แล้วเหมือนกัน
อย่าให้คุณเป็นคนต่อไปเลยนะครับ
ที่ต้องมาเสียใจ ที่ทอดทิ้งสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตไป
เพียงเพราะอารมณ์อ่อนไหว แค่ช่วงเสี้ยวนาที
ปล. ขอขอบคุณรูปจากอินเตอร์เน็ตด้วยครับ
ปล.2 ขอขอบคุณผู้อ่านทุกคนนะครับ คำวิจารณ์ของท่านจะเป็นประโยชน์มากๆกับผมเลยครับ
------------------------------------------------------------------------------------------
credit : นาฬิกาทราย - soccersuck
ส่วนตัวผมชอบบทความนี้มากๆเลย ยาวหน่อย แต่คุ้มที่จะอ่านครับ