
50 ปี ประวัติศาสตร์กับความสูญเสีย

หลังเปลี่ยนชื่อจาก นิวตัน ฮีท มาเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเด็ด เมื่อปี 1902
ประวัติศาสตร์มากมายก็ถูกสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ฟุตบอลดิวิชั่นหนึ่ง แชมป์เอฟเอ คัพ
หรือแม้แต่สนามที่เปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังอย่าง โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ตลอดระยะเวลากว่าร้อยปีที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โลดแล่นอยู่บนสังเวียนสนามหญ้า
ความสำเร็จมากมายเดินแถวเข้ามายังโรงละครแห่งความฝันแห่งนี้
สร้างทั้งรอยยิ้มและความสุขให้กับแฟนบอลทั่วโลก
แต่ใช่ว่าจะมีเพียงความสำเร็จเท่านั้น ที่เกิดขึ้นภายในรั้วปีศาจแดง
ความผิดหวังและความสูญเสีย ก็เป็นสิ่งที่ยูไนเต็ดต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และคราบน้ำตาที่ยังตรึงอยู่ในความทรงจำของพลพรรเรด อาร์มี่ทั่วโลกคงหนีไม่พ้น
โศกนาฏกรรมที่มิวนิค
ฟุตบอลยูโรเปี้ยน คัพ เริ่มแข่งขันกันในฤดูกาล 1955/1956
ในปีถัดมาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เป็นทีมแรกจากเกาะอังกฤษที่ลงแข่งในรายการนี้
และเพียงปีแรกปีศาจแดงก็ทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะพ่ายให้กับรีล มาดริด แชมป์ในปีนั้น
ฤดูกาลต่อมา ยูไนเต็ดกลับมาอีกครั้งด้วยความมุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิม โดยหวังว่าจะทำผลงานได้ดีในฤดูกาลนี้
แล้วความฝันก็ใกล้จะถึงจุดหมาย เมื่อเหล่าปีศาจแดงสามารถผ่านถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
โดยมี เรดสตาร์ เบลเกรด ขวางเส้นทางสู่รอบรองชนะเลิศอยู่
นัดแรก ปีศาจแดงเปิดบ้านยัดเยียดความปราชัยให้ยอดทีมจากยูโกสลาเวีย ด้วยสกอร์ 2 - 1
ทำให้โอกาสผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศเหมือนเมื่อปีที่แล้วสดใจมาก
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1958
ศึกชี้ชะตาสู่รอบรองชนะเลิศก็เปิดฉากขึ้น ณ กรุงเบลเกรด
ยูไนเต็ดเป็นฝ่ายออกนำไปก่อน 3 - 0 จากไวโอลเล็ต และชาร์ลตันคนเดียว 2 ประตู
แต่ ดาวแดง ก็ตีตื้นจนมาทันที่ 3 - 3 และเกมก็จบลงโดยไม่มีทีมใดทำประตูเพิ่มได้
แล้วผลการแข่งขันเสมอก็เพียงพอให้ยูไนเต็ดผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศอีกครั้ง
โดยจะรอพบกับผู้ชนะระหว่างเอซี มิลาน กับ ดอร์ทมุนด์
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1958
พลพรรคปีศาจแดง ออกเดินทางจากเบลเกรดมุ่งสู่แมนเชสเตอร์พร้อมชัยชนะ
ด้วยเที่ยวบินที่ BE609 ของสายการบินบริติชยูโรเปี้ยน แอร์เวย์ หรือ อลิซาเบธาน
โดยเจ้าแอร์คร๊าฟท์ชื่อ ลอร์ด เบิร์กเล่ย์
แต่ด้วยความจำกัดทางด้านเทคโนโลยีคมนาคม ทำให้ไม่สามารถบินรวดเดียวถึงจุดหมายได้
เจ้าลอร์ด เบิร์กเล่ย์ จึงต้องแวะเติมเชื้อเพลิงที่สนามบินมิวนิค

ลอร์ด เบิร์กเล่ย์ ใช้เวลาเติมน้ำมันเพียง 20 นาที ก็พร้อมจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหิมะอีกครั้ง
แต่กัปตันเจมส์ เธน ก็ไม่สามารถเอาเครื่องขึ้นได้ แม้จะพยายามถึงสองครั้ง
แล้วความพยายามครั้งที่สามก็เริ่มต้นขึ้น หลังการปรึกษากันระหว่างกัปตันกับช่างเทคนิคของสนามบิน
เวลา 14.04 น. กัปตันเจมส์ เธน เร่งเครื่องเต็มที่วิ่งไปตามรันเวย์
แต่แทนที่จะทะยานขึ้น เครื่องกลับไถลออกนอกรันเวย์ ชนเข้ากับรั้วกั้นสนามบิน
วิ่งทะลุชนกับบ้านหลังหนึ่ง ปีกและหางเครื่องบินหลุดกระเด็นออกไป จนเกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง
เหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 23 คน
เป็นนักเตะของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 8 คน สื่อมลชน 8 คน และทีมงานของสโมสรกับเครื่องบิน 7 คน
โดยนักเตะทั้ง 8 คน ที่เสียชีวิตครั้งนี้ ได้แก่
เจฟฟ์ เบนท์ แบ๊กซ้าย วัย 25 ปี
โรเจอร์ ไบรน์ แบ๊กซ้าย กัปตันทีมวัย 28 ปี
เอ็ดดี้ โคลแมน ฮาร์ฟแบ๊ก วัย 21 ปี
ดันแคน เอ็ดเวิร์ด ฮาร์ฟแบ๊ก วัย 21 ปี นักเตะที่ถูกยกย่องให้เป็น ตำนานที่ยิ่งใหญ่
มาร์ค โจนส์ เซนเตอร์ฮาร์ฟ วัย 24 ปี
เดวิด เพ๊กก์ ปีกซ้าย วัย 22 ปี
ทอมมี่ เทย์เลอร์ ศูนย์หน้า วัย 26 ปี
เลียม วีแลน กองหน้าชาวไอร์แลนด์ วัย 22 ปี
โดยทุกคนเสียชีวิตทันที มีเพียง ดันแคน เอ็ดเวิร์ด คนเดียวที่เสียชีวิตที่โรงพยาบาล
หลังจากต่อสู้กับอาการบาดเจ็บด้วยจิตใจเข้มแข็งตลอด 15 วัน

โดยนักเตะทุกคนที่รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลนานนับเดือน
ไม่ว่าจะเป็น บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน เดนนิส ไวโอลเล็ต เรย์ วู๊ด จอห์นนี่ เบอร์รี่
แจ๊คกี้ บลานซ์ฟลาวเลอร์ เคนนี่ มอร์แกนส์ อัลเบิร์ท สแกนลอน
หรือแม้แต่ แมท บัสบี้ ผู้จัดการทีมที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้กว่า 3 เดือน
มีนักเตะเพียง 2 คนเท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร และยังสามารถช่วยเพื่อนรวมทีมที่รอดชีวิตด้วย
นั้นคือ แฮรี่ เกร็กก์ ผู้รักษาประตู และ บิลล์ โฟล์คส์ ฟูลแบ๊ก
โดยทั้งคู่เป็นผู้นำทีมสู้ศึกตลอดทั้งฤดูกาลที่เหลืออยู่ ร่วมกับผู้เล่นสำรองและยืมจากสโมสรอื่น
แต่ยูไนเต็ดก็จบฤดูกาลนั้นด้วยมือเปล่า และร้างราจากความสำเร็จไปกว่า 6 ปี
ภายหลังเหตุการณ์ 4 ปี ได้มีการแต่งเพลงเพื่อรำลึกและไว้อาลัยแก่โศกนาฏกรรมมิวนิค
ชื่อเพลง The Flowers of Manchester แต่งโดยวง The Spinner วงโฟล์คชื่อดัง
ซึ่งเป็นบทเพลงที่เล่าเรื่องราวทั้งหมด รวมถึงชื่อนักเตะที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น
โศกนาฏกรรมครั้งนั้น นำความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและทีมชาติอังกฤษ
จากทีมที่เคยได้รับการคาดหมายว่าสามารถก้าวขึ้นเป็นเจ้ายุโรปได้อย่างไม่ยากเย็น
กลับเหลือเพียงความว่างเปล่าและคราบน้ำตา
ไม่ว่าโศกนาฏกรรมครั้งนั้นจะเกิดขึ้นเพราะภัยธรรมชาติ เครื่องยนต์ขัดคล้อง หรือความประมาท
แต่ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป...
แมท บัสบี้ ใช้เวลาอยู่หลายปี ในการสร้างทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดขึ้นมาใหม่
และหลังจากโศกนาฏกรรม 10 ปี ความตั้งใจของพวกเขาก็บรรลุผล
เมื่อกลายเป็นทีมจากเกาะอังกฤษทีมแรกที่คว้า แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ มาครองได้สำเร็จ
จนกระทั้งปีนี้ แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยมาครบ 50 ปี
แต่เกียรติประวัติของวีรบุรุษปีศาจแดง ก็ยังอยู่ในความทรงจำของบรรดาเรด อาร์มี่ทุกคน
และตราตรึงอยู่เช่นนั้นตราบชั่วนิรันดร์
<object width="300" height="80"><param name="movie" value="http://media.imeem.com/m/5pE9Oue-zd/aus=false/"></param><param name="wmode" value="transparent"></param><embed src="http://media.imeem.com/m/5pE9Oue-zd/aus=false/" type="application/x-shockwave-flash" width="300" height="80" wmode="transparent"></embed></object>