ผมอ่านแล้วได้ความรู้สึกหลายๆอย่าง เลยเอามาแบ่งปัน จาก siamsport ครับ
เช้าวันอาทิตย์ 29 สิงหาคม เบเบ้ ปีกค่าตัว 7.5 ล้านปอนด์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขึ้นเครื่องบินเหินฟ้าจาก ลอนดอน สู่ ลิสบอน, โปรตุเกส พร้อมกับ นานี่ เพื่อนร่วมทีม "ปีศาจแดง" หลังมีชื่อติดทีมชาติโปรตุเกส รุ่นยู-21 ครั้งแรก
พอถึงที่นั่น นานี่ เดินทางต่อเพื่อไปเก็บตัวกับทีมชาติชุดใหญ่แถวๆ ปอร์โต้ ขณะที่ เบเบ้ เด็กหนุ่มวัย 20 ปี จับแท็กซี่ไป Santo Antao do Tojal หมู่บ้านเล็กๆ ทางใต้ และใช้เวลาคืนนั้นนอนที่ศูนย์พักคนไร้บ้าน ซึ่งเป็นที่อาศัยของเขาจนกระทั่งเมื่อราวๆ 2 เดือนก่อน เขาอยากนอนใต้ชายคาเดียวกับเพื่อนๆ ที่ Casa do Gaiato เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนชีวิตของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
"เขามาที่นี่ กินข้าวเที่ยงกับผม, ภรรยาผม และพวกเด็กๆ" โชเซ่ เจา ผู้ดูแลศูนย์ที่นี่ กล่าว "เขาจับมือทุกคนที่นี่ และขอบคุณพวกเขา เขานอนที่นี่ และมีคนจาก สหพันธ์ฯ มารับตัวเขาไปตอนเช้า ผมคิดว่าเขาคงอยากมาร่ำลาให้เป็นเรื่องเป็นราว เขาอยู่กับเราที่นี่มา 8 ปี เขารู้ว่าหากปราศจากที่นี่แล้ว เขาคงเป็นแค่เด็กหลงทางคนหนึ่ง"
"Casa do Gaiato" มีโบสถ์คาทอลิกเป็นเจ้าของ และให้เงินสนับสนุน ตั้งอยู่บนพื้นที่ใหญ่โต ห่างจาก ลิสบอน ราว 20 กิโลเมตร ปัจจุบันเป็นบ้านของผู้ชายอายุระหว่าง 4-25 ปี และเป็นที่นี่ที่ เบเบ้ ได้หัดอ่าน-เขียนหนังสือ เป็นที่นี่ที่สนามบอลที่มีแต่ฝุ่นที่ เบเบ้ ได้หัดเล่นฟุตบอล แต่ก็มีเด็กๆ หลายคนจากที่นี่ที่ได้ดิบได้ดี
"ที่นี่เรามีทั้งคนที่ออกไปเป็นครู, ทนาย และนักธุรกิจ ดารายังมีเลย แต่อย่าง เบเบ้ นี่เป็นครั้งแรก" โชเซ่ เจา กล่าวพร้อมรอยยิ้ม เมื่อการเดินทางจากฟุตบอล ดิวิชั่น 3 ของโปรตุเกส ไปสู่ บาร์เคลย์ พรีเมียร์ลีก ของเขาเป็นหนึ่งในเรื่องราวทางกีฬาที่น่าทึ่งที่สุดในระยะเวลาหลายปีมานี้
ฟรานซิสโก้ และ เดโอลินด้า พ่อและแม่ของ เบเบ้ ทิ้งเขาไปตั้งแต่เด็กๆ ทำให้การเลี้ยงดูเขาเป็นหน้าที่ของคุณยาย (หรือย่าดี) จนกระทั่งศาลมีคำสั่งให้ยายส่งเขาไปอยู่ในความดูแลของโบสถ์ตอนอายุได้ 12 ปี เจา กล่าวว่า "เขาอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม เด็กๆ แถวนั้นถูกกำหนดให้มีชีวิตข้างถนน เบเบ้ ก็เกือบแล้ว เขามาที่นี่ และไม่รู้หนังสือเลย แต่เราดูแลเขา เลี้ยงดูเขา และตอนนี้ฟุตบอลทำให้เขาเป็นคนที่สมบูรณ์"
"ตอนจบฤดูกาลที่แล้วเมื่อ กิมาเรซ เซ็นสัญญากับเขา เขาบอกผมว่าเขาไม่อยากไปเลย เขาไม่อยากไปจากที่นี่ ผมบอกเขาว่า เขาต้องไป เขาต้องไปทำอะไรให้ชีวิต เบเบ้ ร้องไห้ และบอกว่า - คุณพยายามผลักไสผม - ผมบอกเขาว่า ถึงเวลาที่เขาต้องไป ถึงเวลาที่ชีวิตของเขาจะเริ่มต้นอย่างแท้จริง ขนาดช่วงซัมเมอร์ตอนเขาไปเก็บตัวปรี-ซีซั่นกับ กิมาเรซ เขายังกลับมานอนที่นี่ในวันหยุด ระยะทางมันร่วม 200 กิโลเมตร แต่เขาก็ยังมา" เจา กล่าว
จากเรื่องราวนี้ย่อมน่าสนใจว่าคนติดเพื่อนติดที่อย่าง เบเบ้ จะเป็นยังไงที่ แมนเชสเตอร์ เมื่อเขาไม่สามารถไปๆ มาๆ ได้อีกต่อไป ขณะที่ห้องนอนส่วนตัวที่ถูกยกให้เขาราวๆ 1 ปีก่อนเนื่องจากความอาวุโส ตอนนี้ก็เป็นของคนอื่นไปแล้ว เจา เล่าต่อไปว่า "มันก็มีความรู้สึกกังวลบ้าง แต่เราคิดว่าเขาย้ายไปอยู่ถูกทีมแล้ว เขาจะโอเคที่ แมนเชสเตอร์ เราคิดว่ายายของเขาอาจจะไปอยู่ที่นั่นกับเขา เราหวังไว้แบบนั้น เราได้ยินเรื่องของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เขาเป็นผู้นำ นั่นคือสิ่งที่ เบเบ้ ต้องการ ตอนนี้เขารูปร่างสูงใหญ่ แต่ก็ยังเป็นเด็กอยู่ เขาต้องการความรัก"
อิลดา โรมาน่า ยายของ เบเบ้ พยายามเต็มที่ที่จะทำให้ชีวิตวัยเด็กของ เบเบ้ มีความราบรื่น เบเบ้ มีรอยสักผู้หญิงที่แขน แม่ของเขาอาศัยอยู่ทางภาคเหนือของ โปรตุเกส และไม่เคยมาดูเขาเล่นฟุตบอล ส่วนพ่อหายสาบสูญไปจากชีวิตของเขา
เบเบ้ ได้รับการเสนอให้เล่นกับทีมสมัครเล่น Loures เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เขาเล่นที่นั่น 2 ปี ก่อนจะย้ายไปเล่นกับ เอสเตรล่า ดา อมารอร่า ในเมืองลิสบอน ด้วยค่าตัว 16,000 ยูโร และหลังจาก 2 ซีซั่นในทีมเยาวชน ฟอร์มของเขาในการแข่งขันกึ่งอาชีพตลอด 3 ซีซั่นที่ผ่านมา ทำให้เขาได้ย้ายมาเล่นกับ กิมาเรซ แต่ยังไม่ทันได้เล่น เขาก็มาอยู่ที่ แมนเชสเตอร์ ใน อังกฤษ รับค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 12,000 ปอนด์ ซึ่งแน่นอนว่า ชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนแปลง
กิจวัตรประจำวันทั้งการสวดมนต์, เรียนหนังสือ และระเบียบวินัย ในชีวิตชนบทที่ร้อน, แห้งแล้งใน โปรตุเกส ล้วนมีส่วนช่วยขัดเกลาเขาให้เติบโต เขามาที่นี่แบบเด็กไม่มีการศึกษาตอนอายุ 12 ปี อนาคตแทบไม่มีแสงสว่าง แต่เขาจากไปพร้อมโอกาสที่จะได้เป็นดารานักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ลานจอดรถของสนาม เอสตาดิโอ โชเซ่ โกเมส ในย่านขัดสน เรโบเลยร่า นอกเมืองลิสบอน เต็มไปด้วยขยะอย่างถุงยางอนามัย และ ยา ภายในสนามเล็กๆ โทรมๆ วัชพืชโผล่หรอมแหรมขึ้นมาในทางเดินลาดยางมะตอย และสถานที่แห่งนี่ เมื่อ 4 เดือนที่แล้วนี่เอง ที่นักเตะหนุ่มน้อยที่เพื่อนๆ เรียกว่า เบเบ้ เล่นเกมแข้งจริงครั้งสุดท้ายให้กับ เอสเตรล่า ดา อมาดอร่า
เขาหยุดเล่นให้ทีมก่อนจบฤดูกาล 5 นัด เพราะสโมสร ซึ่งตอนนี้ล้มละลายแล้ว ไม่มีเงินจ่ายค่าจ้าง 300 ยูโรต่อสัปดาห์แก่เขา จอร์จ ไปเซา คือโค้ชของ อมาดอร่า ในซีซั่นที่แล้ว เขารู้เรื่องการย้ายทีมครั้งประวัติศาสตร์นี้เมื่อช่วงต้นเดือนที่แล้วเมื่อ เบเบ้ ส่งข้อความมือถือมาขอบคุณเขา
"แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เด็กที่มีพรสวรรค์เหลือเชื่อไปร่วมทีม" ไปเซา กล่าวพร้อมรอยยิ้ม "อย่าลืมนะว่าตอนอายุ 16 ปีเขายังเตะบอลกับเพื่อนๆ อยู่เลย พัฒนาการของเขามันเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ เมื่อไหร่ที่เขาเล่นให้ ยูไนเต็ด ครั้งแรก ซึ่งผมมั่นใจว่าจะต้องมีแน่ๆ คนจะสังเกตรู้ เพราะเขาไม่เหมือนเดิม เขาเป็นนักเตะที่มีทักษะที่นักเตะที่นั่นไม่มี"
"เขายังเป็นนักเตะที่มีร่างกายแข็งแกร่ง แบบ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ นั่นแหละ แต่คุณต้องรอให้เขาพร้อม นี่ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องฟุตบอลเท่านั้น แต่สภาพจิตใจด้วย วันนึงเขายังไม่มีอะไรเลย แล้ววันถัดมาเขามีทุกๆ อย่าง เป็นใครก็ต้องช็อก ถึงตอนนี้เขาจะไม่รู้ตัวก็เถอะ เขาพักอยู่ที่ศูนย์คนไร้บ้านกับเราทุกวัน เขาเดินทางด้วยรถสาธารณะ เขาไม่ต่างจากเด็กเลยด้วยซ้ำถ้ามองแบบนี้" ไปเซา กล่าว
เอสเตรล่า อยู่อันดับสองของตารางตอน เบเบ้ หยุดเล่นให้พวกเขา และเมื่อปราศจาก นักเตะเกมรุกรูปร่างแข็งแกร่งกำยำ ไปเสียคนหนึ่ง พวกเขาแพ้ 5 นัดรวด และลงเอยด้วยอันดับ 10
ตลอดซีซั่นส่วนใหญ่ เบเบ้ เป็นนักเตะคนเดียวที่ได้ค่าเหนื่อย ท้ายที่สุดเขาเองไม่ได้ค่าเหนื่อยเหมือนกัน กอนซาโล่ ไรส์ เอเยนต์ของ เบเบ้ ซีซั่นที่แล้ว เล่าว่า "โค้ชจะเอาแต่บอกเขาว่าต้องเล่นให้ดีกว่านี้เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ได้ค่าจ้าง เขาอายุ 19 ปี มันยุติธรรมมั้ย ในห้องแต่งตัวเขาเป็นคนเดียวที่มีร้องเท้าใหม่ และเสื้อใหม่ เพื่อนร่วมทีมของเขามีลูกเมีย และไม่ได้ค่าจ้าง นี่มันหนักหนาสำหรับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แต่ความกดดันทำให้เขาแข็งแกร่ง เขารับมือกับมันได้ ผมว่านี่จะมีส่วนช่วยเขาที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เขาไม่แข้งขาสั่น"
ชีวิตของ เบเบ้ ที่ เอสเตรล่า ไม่เคยมีความราบเรียบ เมื่อสัปดาห์ก่อน เฟอร์กูสัน บอกว่า เบเบ้ จะต้องพัฒนาร่างกายให้แข็งแกร่งกว่านี้ ซึ่งเขาแทบไม่มีโอกาสจะทำแบบนั้นที่ เอสเตรล่า ในซีซั่นที่แล้ว ไปเซา ที่ตอนนี้ทำงานกับทีม มาฟรา อีกหนึ่งทีมลูกหนังใน ลิสบอน บอกว่า "เราเคยไปโรงยิม และ เบเบ้ จะอยู่ที่นี่เป็นประจำ แต่แล้ววันหนึ่ง พวกนักเตะไปที่นั่น และอุปกรณ์ทั้งหมดหายไป สโมสรเอามันไปขายใช้หนี้"
"ที่ ยูไนเต็ด จะโลกเป็นอีกโลกหนึ่ง ผมมีสตาฟฟ์แค่ 4 คน ไม่มีนักโภชนาการ หรืออะไรพวกนี้หรอก เบเบ้ จะกินข้าวที่ศูนย์พักคนไร้บ้าน ผมเลยดูแลเขาเรื่องอาหารการกินไม่ได้ เขาเคยท้องเสียอยู่ 2 ครั้ง แต่เขาคือเพชรของเรา ปัญหาของเราคือ ทีมเราไม่มีนักเตะแบบเขา เรื่องมันป็นแบบนี้ ผมเล่น 2 ระบบ และทั้ง 2 ระบบนั้นมีขึ้นเพื่อทำให้เขาเล่นได้ดีที่สุด"
ขณะที่ เบเบ้ มีชีวิตใหม่รออยู่ ชะตากรรม เอสเตรล่า ใกล้มาถึงจุดสิ้นสุด พวกเขาไม่มีเงินจ่ายค่าเหนื่อยให้เขาช่วงท้ายซีซั่นก่อน ต้องยอมยกเลิกค่าซื้อสัญญา 1.2 ล้านยูโร และปล่อยให้เขาย้ายไป กิมาเรซ แบบฟรีๆ โดย ไปเซา กล่าวว่า "มันทำให้ผมเศร้าใจ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นใน โปรตุเกส ด้วยเงินก้อนนั้น เอสเตรล่า ก็ไม่ต้องล้มละลายแล้ว ทีมดีๆ ต้องมาตายไป มันไม่ถูกนะ แต่ผมมีความสุขกับ เบเบ้ แม้บางครั้งเขาจะหัวแข็งบ้าง"
"ผมคุยกับเขาหลายครั้ง บอกว่าเขามีโอกาสแจ้งเกิดได้ แต่เขาก็ยังมีความเสี่ยงที่จะดึงตัวเองให้ตกต่ำลงมาอยู่ เขาอาจไม่มีความรับผิดชอบหรืออะไรทำนองนี้เอาดื้อๆ แต่มันเพราะภูมิหลังของเขา ผมบอกเขาว่าการเป็นนักฟุตบอลอาชีพง่ายพอๆ กับการขโมยของ ผมบอกว่าเขาเองที่เป็นคนเลือก และเขาเลือกถูก"
ตัดมาที่ กอนซาโล่ ไรส์ เขาคือเอเยนต์ลูกหนังตัวเล็กๆ ที่ต้องทนดูการทำสัญญาครั้งหนึ่งในชีวิตให้หลุดลอยไป อย่างที่รู้ๆ กันดีว่าเขาคือเอเยนต์ของ เบเบ้ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ เอสเตรล่า ดา อมาดอร่า จนถึงช่วงต้นปีนี้ เขามองเห็นแววของ เบเบ้ ตั้งแต่เด็ก เขาเคยซื้อตั๋วรถบัสเพื่อให้ เบเบ้ เดินทางจาก Casa do Gaiato มาซ้อมทุกวัน และเพราะการเดินทางด้วยรถบัสกินเวลา 2 ชั่วโมง บางครั้งเขาลงทุนขับรถมารับเอง
เขาจัดงานวันเกิดอายุครบ 18 ปีให้ เบเบ้ และพอเขาติดทีมชาติโปรตุเกส ชุดยู-20 ไรส์ ก็ซื้อรองเท้า, เสื้อผ้า และกระเป๋าใบใหม่ให้เขา "ผมไม่อยากให้เขาดูเชย และต่ำต้อย" ไรส์ กล่าว
แต่ตอนนี้เขาคงไม่ได้มีส่วนร่วมแบบนั้น เมื่อ เบเบ้ อยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และมีซูเปอร์เอเยนต์บ้านเดียวกันอย่าง จอร์จ เมนเดส ดูแล การเปลี่ยนแปลงเอเยนต์ยังเป็นความเคลือบแคลงใจ และไม่มีข้อกล่าวหาใดๆ ว่า เมนเดส ทำผิดกฎ แต่ ไรส์ คือหนึ่งในคนที่รู้จัก เบเบ้ ดีที่สุด และเขาได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีเสมอเวลาไปศูนย์ Casa do Gaiato
"การเดินทางมาซ้อมในแต่ละวันไม่ง่ายเลยหละ มันแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทของเขา เขาจะกลับมาศูนย์หลังซ้อมเสร็จ ช่วยทำความสะอาด และทำโน่นทำนี่ พวกเขาสวดมนต์ทุกวัน มันเป็นกฎ ผมไม่เสียใจเลยที่ผมโดนตัดออกจากการมีส่วนร่วม ชีวิตก็แบบนี้ แต่ผมเคยทำอะไรให้เขาเยอะแยะ ทั้งหมดที่เขามี ผมนี่แหละคนให้"
ไรส์ ยังรัก และห่วง เบเบ้ ไม่มีเปลี่ยน นั่นแหละเขาถึงโมโหมากที่สื่ออังกฤษ เขียนข่าวบอกว่า เบเบ้ ห่วยจนเล่นทีมสำรอง ยูไนเต็ด ยังไม่ได้ "มีแต่คนบ้าที่คิดว่าเขาไม่ดีพอเล่นให้ทีมสำรอง ผมรู้ว่า เบเบ้ เก่งยังไง สักวันเขาจะเล่นให้ทีมชุดใหญ่ มันไม่ง่าย แต่เขาจะทำได้ เขาอาจไม่เก่งเท่า โรนัลโด้ แต่เขาจะเก่งกว่า นานี่ ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น เขาต้องถ่อมตัว และเรียนรู้ เขาจะไม่ต่างจากเด็กน้อยในการอยู่กับ เฟอร์กูสัน เขาจะรอรับคำสั่ง แล้วจากนั้น วันใดวันหนึ่ง เขาจะลงไประเบิดมันในสนาม"
กลับไปที่ Casa do Gaiato ในแสงแดดแก่ๆ ของยามบ่าย เด็กหนุ่มผอมแห้ง นุ่งกางเกงขาสั้น สวมรองเท้าแตะเตะบอล ชื่อของเขาคือ อาดิลสัน ครั้งหนึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าจะมีอนาคตสดใสกว่า เบเบ้ เสียอีก และเขายังเคยเล่นให้ทีมเยาวชนของ เอสเตรล่า ดา อมาดอร่า ใน ลิสบอน ด้วย แต่กับ อาดิลสัน ความฝันของเขามันตายไปแล้ว ด้วยเหตุผลง่ายๆ เขาหยุดโต ภายในศูนย์เขาปลอดภัย เขาเป็นที่รัก แต่เหนือไปจากนั้น อนาคตของเขาไม่มีความแน่นอน
ร็อกโคราช
http://www.siamsport.co.th/Column/100908_066.html









