คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน
ฟุตบอล ไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลแรกเปิดฉากขึ้นในปี 2539 ในชื่อ จอนนี วอล์คเคอร์ไทยแลนด์ ซ็อคเคอร์ ลีก ( Johnnie Walker Thailand Soccer League ) เป็นการนำเอา 18 ทีมจาก ถ้วย ก. เดิมมาแข่งขันในระบบลีก และให้ทีม 4 อันดับแรกของตารางคะแนนได้ผ่านเข้าสู่ รอบเพลย์อ็อฟ เพื่อหาแชมป์ โดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้ทำความเข้าใจกับทุกสโมสรว่า เป็นการทดลอง ดังนั้นจะไม่มีทีมตกชั้นในปีแรก แต่แล้วระบบดังกล่าวก็ถูกบิดผันกลับไปกลับมา จนในที่สุด สมาคมฯ ต้องการลดทีมลงเหลือ 12 ทีมในฤดูกาลถัดไป ทำให้ 6 อันดับท้ายของตารางคะแนนจะต้องพบกับความช็อค ตกชั้นไปอยู่ในระดับ ไทยลีกดิวิเชิน 1 ซึ่ง ทีมสิงห์ธำรงไทย ของ สุเมธ แก้วทิพยเนตร ก็เป็น 1 ใน 6 ทีมนั้นด้วย
สุเมธ เคยเป็นนักเตะทีมชาติไทยที่ปั่นจักรยานข้ามโลกจนโด่งดัง ตีพิมพ์เป็นหนังสือ แปลเป็นภาษาต่างๆ 13 ภาษา และจำหน่ายทั่วโลกถึง 27 ล้านเล่ม เขาบากบั่นไปเรียนโค้ชที่อังกฤษ เจอรมนี และบราซิว ก่อนที่จะกลับมาสร้างทีมยุวชน ซึ่งความจริง ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ผมพบเจอคนบ้าฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจอย่างนี้ก็มากอยู่ แต่ไม่เคยเห็นคนที่มีวินัยและความเพียรพยายามสูงมากเท่า สุเมธ แก้วทิพยเนตร นอกจากจะรักฟุตบอลเป็นชีวิต เขายังรักที่จะสร้างเด็กๆ เยาวชนให้ไปสู่ความเป็นเลิศทางกีฬาฟุตบอลอย่างมุ่งมั่นไม่เคยหยุด จนถึงทุกวันนี้ เขานำเด็กไทยไปคว้าแชมป์ฟุตบอลยุวชนโลกนานาชาติมาถึง 24 รายการ นี่ยังไม่รวมรางวัลต่างๆที่ได้มาพร้อมๆกันอีก เช่น รางวัลแฟร์เพลย์ รางวัลบุคคลแห่งปีของโลก และได้รับพระราชทานรางวัลเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ จาก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร รวมทั้งรางวัลเยาวชนดีเด่นแห่งชาติจากกระทรวงศึกษาธิการ ในระหว่างนั้นก็ได้ก่อตั้ง สมาคมธำรงไทยสโมสร ส่งทีมร่วมแข่งขันในลีกสูงสุดของประเทศไทยด้วย
ตอนที่ สิงห์ธำรงไทย ร่วมแข่งฟุตบอลอาชีพครั้งแรก นักเตะในทีมนั้น นอกจากที่ซื้อมาจาก เมียนมาร์ เพื่อมาเสริมทีม 3-4 คน ส่วนมากจะเป็นเด็กเยาวชนไทยอายุแถวๆ 15-17 ปี พวกนี้ยังเล่นฟุตบอลอย่างบริสุทธิ์อยู่ เมื่อเจอกับทีมอื่นๆที่ระดมไปด้วยนักเตะพันธุ์แกร่ง รุ่นใหญ่ทั้งนั้น แต่ละคนติดดาบครบครัน ทั้งเบียด ปะทะ กระแทก ดึง เหนี่ยว เสียบ สอย แต่ สุเมธ ไม่หวั่นอะไรทั้งสิ้น กลับเห็นเป็นโอกาสที่จะให้เด็กๆได้สัมผัสเกมระดับนี้ และได้พัฒนาฝีเท้า เพราะยังไงก็ไม่ต้องกลัวตกชั้น ซึ่งผลการแข่งขันเมื่อจบฤดูกาล สิงห์ธำรงไทย แข่ง 34 นัด ชนะเพียงนัดเดียว เสมอ 6 แพ้ถึง 27 นัด มีแค่ 9 คะแนน เสีย 101 ประตู รั้งอันดับสุดท้ายของตารางคะแนน
จนถึงปัจจุบัน เมื่อมีการปรับรูปแบบฟุตบอลไทยตามแนวสากลมากขึ้น เกิด พีรามิด เป็น ไทยพรีเมียร์ ลีก ดิวิเชิน 1 และ ดิวิเชิน 2 สุเมธ จึงได้ร้องขอ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เพื่อนำทีมเข้าร่วมแข่งใน ลีกภูมิภาค ดิวิเชิน 2 แต่ถูกปฏิเสธ ทำให้ต้องออกมาทวงสิทธิ์ ลำเลิกไปถึงสิทธิ์ในการส่งทีมเข้าร่วมแข่งใน ไทยพรีเมียร์ลีก ด้วยเลย ซึ่งกลายเป็นเรื่องฟ้องร้องถึงศาลปกครองสูงสุด โดยศาลรับพิจารณาคำฟ้องเมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา พร้อมกับฟ้องศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายจากสมาคมฯ 300 ล้านบาท
แม้ว่าขณะนี้สมาคมฯจะมีท่าทีอ่อนลง ยอมให้ สุเมธ ส่งทีมเข้าร่วมแข่งใน ดิวิเชิน 2 แต่มันสายไปซะแล้วครับ สุเมธ ประกาศทวงสิทธิ์ใน ไทยพรีเมียร์ลีก และนี่จะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย หากไม่เป็นผลสำเร็จก็จะขอยุบ ธำรงไทย ทิ้งไปเลย โดยลูกบ้าเที่ยวสุดท้ายนี้ มันเป็นพายุใหญ่มาก หลายคนในสมาคมฯ อาจต้องมีอันเก็บที่นอนหมอนมุ้งไปเลย เพราะคราวนี้ สุเมธ กำลังจะส่งหนังสือไปยังสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟา ภายในไม่กี่วันนี้ ซึ่งมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการบริหารงานในสมาคมฯ ในทางทุจริตตลอดระยะเวลา 40 กว่าปีที่ผ่านมา โดย 1 ในนั้นก็คือ การโกงอายุในหนังสือเดินทางที่ทางสมาคมฯ นำทีมเยาวชนไปแข่งในระดับนานาชาติ และงานนี้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องคือ วรวีร์ มะกูดี ในฐานะผู้จัดการทีมในสมัยนั้น ทั้ง ซิโก เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ป๊อบ เทิดศักดิ์ ใจมั่น น่าจะจำได้ว่าตนเองก็เป็นเด็กโข่งที่เดินทางไปแข่งกับเขาด้วย
credit: manager online