ศึกฟรองซ์ 98 เป็นฟุตบอลโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อทางฟีฟ่าให้ทีมเข้ารอบสุดท้ายมาถึง 32 และเพิ่มการแข่งขันมาเป็น 64 นัด จากเดิมที่เล่นกัน 52 นัด เมื่อมี 24 ทีม รวมทั้งฝรั่งเศสเจ้าภาพยังมีการเปิดสนามแห่งใหม่คือ สต๊าด เดอฟรองซ์ ในแซงต์ เดอนีย์ ทางตอนเหนือของกรุงปารีส ซึ่งก็เป็นการต้อนรับการเป็นแชมป์สมัยแรกของเจ้าภาพที่มาพร้อมกับความยอดเยี่ยมของ ซีเนอดีน ซีดาน
ส่วนทีมที่น่าผิดหวังที่สุดของการแข่งขันครั้งนี้ก็คือ "กระทิงดุ" สเปน ที่ผ่านรอบคัดเลือกมาอย่างสวยงาม แต่พอมาเล่นในรอบสุดท้ายนั้นกลับกลายเป็นว่าตกเพียงแค่รอบแรกเมื่อเริ่มนัดแรกด้วยความพ่ายแพ้ต่อ ไนจีเรีย 2-3 ตามด้วยการเสมอกับ ปารากวัย 0-0 ส่วนเกมสุดท้ายแม้ว่าจะไล่ถล่ม บัลแกเรีย ไป 6-1 แต่ก็ไม่ช่วยให้เข้ารอบได้
ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่ทีมอันดับ 3 ของกลุ่มไม่มีสิทธิเข้ามาเล่นในรอบนี้แล้ว มีเกมที่น่าสนใจอยู่ที่เมือง แซงต์ เอเตียน เมื่อ "สิงโตคำราม" อังกฤษ โคจรมาพบกับ "ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา อีกครั้ง และในช่วง 45 นาที แรกจัดว่าเป็นเกมที่เล่นกันสนุกเอาการเมื่อ กาเบรียล บาติสตูตา ยิงจุดโทษให้อาร์เจนตินาออกนำตั้งแต่นาทีที่ 6 แต่ อลัน เชียเรอร์ ก็มายิงจุดโทษคืนในอีก 4 นาทีต่อมา และก็เป็นการฉายเดี่ยวของ ไมเคิล โอเว่น ที่ลากไปยิงให้ทีมขึ้นนำ 2-1 และมาเสมอกันในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากลูกสูตรของ ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ ที่ไปแอบในกำแพง เป็น 45 นาที ที่เปี่ยมคุณภาพด้วยสกอร์ 2-2
แต่ในครึ่งหลังนั้นเกมเปลี่ยนไปหลังจากที่ เดวิด เบ็คแฮม ไปหลงเหลี่ยมของ ดิเอโก ซิเมโอเน จนถูกใบแดงไล่ออกจากสนามไปแต่ก็ไม่สามารถทำประตูกันได้จนจบ 120 นาที และการตัดสินด้วยการยิงลูกจุดโทษนั้น คาร์ลอส โรอา เซฟลูกยิงของ เดวิด แบ็ตตี ในลูกที่ 5 ทำให้ อาร์เจนตินาเข้ารอบ และอังกฤษกลับบ้าน ขณะที่ฝรั่งเศสนั้นช้าแต่ชัวร์ รอบแรกถือว่าไม่มีปัญหา แต่พอรอบสองนั้นต้องใช้เวลา 113 นาที ก่อนที่ โลรองต์ บลองก์ จะยิงโกลเด้นโกล์ให้ทีมได้ ต่อด้วยการไปเสมอกับ อิตาลี แบบน่าแพ้ เพราะในเวลาปกติ โรแบร์โต บักโจ้ มีโอกาสยิงชนคาน ดังนั้นจึงต้องตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ และการที่ลุยจิ ดิเบียโจ ยิงไปชนคานก็เป็นการตัดสินให้ ฝรั่งเศสผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ
ในรอบรองชนะเลิศทีมตราไก่ต้องมาเจอกับ โครเอเชีย ม้ามือของ มิโรสลาฟ บลาเซวิช ที่ถล่มเยอรมนี มา 3-0 และก็เกือบจะพลิกล็อกได้อีกครั้ง เมื่อดาวอร์ ซูเคอร์ ยิงให้ทีมนำก่อน แต่เจ้าถิ่นนั้นมี ลิลิยอง ตูราม กองหลังที่ผีเข้ายิงคนเดียว 2 ประตู พลิกมาชนะ 2-1
และวันแห่งความยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสก็มาถึงในวันที่ 12 ก.ค. เมื่อ บราซิล มีปัญหาภายในทีม และไม่สามารถตกลงกันได้ว่าจะเอาใครลงเล่นระหว่าง โรนัลโด้ ที่เจ็บกับ
เอ็ดมุนโด้ แต่สุดท้ายก็เข็นเอา โรนัลโด้ ลงสนาม แต่ทีมไม่ได้ออกมาวอล์มก่อนการลงสนาม ดังนั้นจึงเป็นงานง่ายของ ฝรั่งเศส ที่เมื่อรวมกับความยอดเยี่ยมของ ซีเนอดีน ซีดาน ที่ทำคนเดียว 2 ประตู ก็ทำให้ชาวฝรั่งเศสทั้งชาติได้เฮกัน
ข้อมูลนัดชิงชนะเลิศ ฟรองซ์ 98
วันที่ 12 ก.ค. 1998 ที่สต๊าด เดอฟรองซ์
บราซิล 0 - 3 ฝรั่งเศส
ผู้ทำประตู: 0-1 ซีเนอดีน ซีดาน น. 27, 0-2, ซีเนอดีน ซีดาน น. 46, 0-3 เอ็มมานูเอล เปอตีต์ น. 90
ผู้ชม: 75,000 คน
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
บราซิล - ทัฟฟาเรล, คาฟู, อัลแดร์เอีย, จูเนียร์ บายาโน, ซีซาร์ ซัมไปโย (เอ็ดมุนโด้ น. 75), โรแบร์โต คาร์ลอส, ดุงกา, โรนัลโด้, ริวัลโด้, ลีโอนาร์โด้, เบเบโต้ โค้ช มาริโอ ซากาโล
ฝรั่งเศส - ฟาเบียง บาร์เตซ, บิเซนเต ลิซาราซู, ยูริ จอร์เกฟฟ์ (ปาทริค วิเอรา น. 75), ดิดิเยร์ เดส์ชองส์, มาร์แซล เดอไซญี่, สเตฟาน กิวาร์ช (คริสตอฟ ดูการ์รี น. 66), ซีเนอดีน ซีดาน, ลิลิยอง ตูราม, เอ็มมานูเอล เปอตีต์, ฟรองค์ เลอเบิฟ, คริสติยอง การอมเบอ (อแลง โบโกซิยอง น. 57) โค้ช เอมเม ฌัคเกต์
ใบแดง - มาร์แซล เดอไซญี่ (ฝรั่งเศส) น. 68
ผู้ตัดสิน: ซาอิด เบลโคลา (โมร็อกโก), มาร์ค วอร์เรน(อังกฤษ), อัชมัต ซาลี (แอฟริกาใต้) สำรอง อับดุล ราห์มาน อัลซาอิด (ซาอุดีอาระเบีย)
เรื่องน่ารู้กับฟรองซ์ 98
ศึกฟรองซ์ 98 จัดว่าเป็นการแข่งขันที่ประสบความสำเร็จรายการหนึ่ง จากการที่เพิ่มทีมในรอบสุดท้ายมาเป็น 32 ทีม ทำให้ทุกทีมเน้นเกมรุกกันมาขึ้น เนื่องจากในรอบแรกอันดับ 3 ของกลุ่มจะไม่มีโอกาสเข้ารอบเหมือนครั้งที่มีแค่ 24 ทีม
รวมทั้งยังมีการแจ้งเกิดของบรรดาดาวรุ่งอย่าง อาเรียล ออร์เตกา ของ อาร์เจนตินา, เธียร์รี อองรี ของฝรั่งเศส และ ไมเคิล โอเว่น ของอังกฤษ ทำให้ศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้มีการทำประตูกัน 171 ประตู จาก 64 นัด โดยมี ดาวอร์ ซูเคอร์ ของโครเอเชีย เป็นดาวยิงสูงสุดด้วยการยิงไป 6 ประตู