พูดคุยสนทนาเกี่ยวกับฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ระดับชาติ และทีมชาติต่างๆ
โดย op » อังคาร พ.ย. 15, 2005 02:25
อุรุกวัย 30 กำเนิดฟุตบอลโลก
อย่างที่ทราบกันดีฟุตบอลโลกครั้งแรกนั้นถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1930 หรือเมื่อ 75 ปี มาแล้วผู้ที่ร่วมกันก่อตั้งทัวร์นาเม้นท์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกทัวร์นาเม้นท์นี้ก็เป็นชาติในกลุ่มอเมริกาใต้ โดยคราวนั้นชาติจากยุโรปไม่ค่อยให้ความร่วมมือกันเท่าไรนักจากการเดินทางที่แสนยากลำบาก เพราะจากยุโรป เดินทางไปที่ อุรุกวัย ชาติเจ้าภาพนั้นต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ อีกทั้งสโมสรในยุโรปเองก็ไม่ต้องการเสียนักเตะของตัวเองไปนานขนาด 2 เดือนด้วยกัน ฟุตบอลโลกครั้งแรกมีทีมเข้าแข่งขันทั้งสิ้น 13 ทีม และไม่มีการแข่งขันในรอบคัดเลือกเนื่องจากเป็นการเชิญมาทำการแข่งขันกันทุกทีม และสิ่งที่แปลกก็คือการจับสลากในรอบแรกนั้นจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าทีมทุกทีมจะเดินทางมาถึงชาติเจ้าภาพ ซึ่งระบบการแข่งขันนั้นแบ่งเป็น 4 กลุ่ม เอาแชมป์กลุ่มประกบคู่เตะรอบรองชนะเลิศกันเลย จุดเริ่มของฟุตบอลโลกที่แท้จริงนั้นเริ่มกันตั้งแต่ที่ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า ก่อตั้งขึ้นมาในปี 1904 แต่ก็ยังไม่มีการแข่งขันกันในระดับนานาชาติ จนกระทั่งปี 1924 ได้บรรจุกีฬาอันดับ 1 ของโลกอันนี้เอาไว้ในกีฬาโอลิมปิกที่ ปารีส ที่ในคราวนั้น อุรุกวัย ได้เหรียญทอง หลังเอาชนะ สวิตเซอร์แลนด์ ในนัดชิงชนะเลิศ ก่อนที่อีก 4 ปี ต่อมาในโอลิมปิกที่ อัมสเตอร์ดัม จะมียอดผู้ชมมากขึ้นทำให้ฟีฟ่า คิดที่จะมีทัวร์นาเม้นท์ของตัวเองขึ้นมา และก็ได้มีการตกลงจากชาติสมาชิกว่าจะมีฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1930 และเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ของปี 1929 ก็มีการประชุมกันที่ บาร์เซโลนา และมีการโหวตให้ อุรุกวัย เป็นชาติเจ้าภาพชาติแรก ในนัดเปิดสนามของการแข่งขันคราวนั้น ฝรั่งเศส ลงเล่นนัดเปิดสนามกับ เม็กซิโก เมื่อวันที่ 13 ก.ค.1930 ที่ มอนเตวิเดโอ ซึ่งการแข่งขันจบลงด้วยชัยชนะของ ฝรั่งเศส ด้วยสกอร์ 4-1 แต่ในนัดชิงชนะเลิศนั้นเป็นการพบกันของ อุรุกวัย กับเพื่อนบ้างอย่าง อาร์เจนตินา และเจ้าภาพก็ครองแชมป์ได้เป็นครั้งแรกต่อหน้าผู้ชมในสนาม เซนเตนาริโอ ถึง 9 หมื่นคน และ โฮเซ นาซัซซี ก็เป็นกัปตันทีมคนแรกที่ได้ชูถ้วย ชูลส์ ริเมต์ ที่ออกแบบโดย อาเบล ลาเฟลอูร์ นักประติมากรรมชาวฝรั่งเศส สิ่งน่าสนใจกับอุรุกวัย 30 ฟุตบอลโลกครั้งแรกนั้นไม่มีการแข่งขันรอบคัดเลือก มีแต่การเชิญทีมต่างๆ มาทำการแข่งขันเท่านั้น แต่การที่ต้องล่องเรือมาอุรุกวัย นั้นใช้เวลายาวนาน ทีมยุโรปจึงปฏิเสธไปเยอะ แต่ทาง โรมาเนีย นั้น คิง คาโรล ยอมลงทุนให้นักเตะทีมชาติหยุดงานประจำได้ 3 เดือน พร้อมรับประกันว่าเมื่อกลับมาจะได้กลับมาทำงานอย่างเดิม และท่านทรงรับหน้าที่เป็นโค้ชของทีมด้วยตัวเอง แต่ก็ตกรอบแรก เบอร์ทรัม ปาเตเนาเด นักเตะของสหรัฐเป็นคนแรกที่สามารถทำแฮตทริกได้เป็นคนแรกของฟุตบอลโลก เมื่อยิง 3 ประตูในเกมกับ ปารากวัย เมื่อวันที่ 17 ก.ค.1930 แต่คนอื่นๆ กลับจำได้ว่าเป็น กิลเยร์โม สตาบิเล ของ อาร์เจนตินาที่ยิง 3 ประตู ในเกมกับเม็กซิโก อีก 3 วัน ต่อมา ฟุตบอลโลกครั้งแรกนั้นมีการแข่งขันเพียงเมืองเดียวคือ มอนเตวิเดโอ แต่ใช้สนาม 3 สนาม ในการแข่งขันคือ เซนเตนาริโอ, โปซิตอส และปาร์เก เซ็นทรัล โฮเซ นาซัซซี กัปตันทีม อุรุกวัย รับถ้วยแชมป์โลกจาก ชูลส์ ริเมต์ ประธานฟีฟ่าในขณะนั้นเมื่อวันที่ 31 ก.ค. โดยถ้วยนั้นมีความสูง 30 ซม. และหนัก 4 กก. ทำด้วยทองคำล้วนๆ ซึ่งหลังจากอุรุกวัย ได้แชมป์ไปครองแล้ว ในกรุงมอนเตวิเดโอ ก็มีการฉลองกันหลายวันหลายคืนติดต่อกัน
ตอนต่อไป อิตาลี 34 บอลโลกเผด็จการ
หมายเหตุ ขอบขอบคุณแหล่งข้อมูลซึ่งผมจำไม่ได้ว่าที่ไหน (ไม่ได้มุก เรื่องจริง) 
แก้ไขล่าสุดโดย op เมื่อ อังคาร พ.ย. 15, 2005 02:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
-
op
- ผู้เล่นชุดใหญ่

-
- โพสต์: 2503
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 07, 2005 19:59
- ที่อยู่: บ้าน
โดย op » อังคาร พ.ย. 15, 2005 22:54
อิตาลีได้รับเลือกจากทางฟีฟ่า ให้เป็นชาติเจ้าภาพฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 ในปี 1934 ซึ่งในฟุตบอลโลกครั้งนี้นั้นมีประวัติในเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากในฟุตบอลโลกครั้งแรกนั้น อิตาลี ไม่ได้ร่วมการแข่งขันด้วยซ้ำไปจะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะ เบนิโต มุสโสลินี ผู้นำฟาสซิสต์ของอิตาลีนั่นเองที่นำฟุตบอลโลกไปแดนมะกะโรนี ในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 ระบบการแข่งขันได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเล่นกันในระบบน็อคเอาท์ จากการที่มี 16 ทีม ทำการแข่งขันในรอบสุดท้ายหลังจากที่รอบคัดเลือกนั้นมีทั้งสิ้น 32 ทีม ทำให้ทีมอย่าง บราซิล และ อาร์เจนตินา ที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึง 13,000 กิโลเมตร ได้ลงสนามเพียงแค่นัดเดียวก็ต้องเก็บข้าวของกลับบ้านเพราะตกเพียงแค่รอบแรก การแข่งขันครั้งนี้นั้นเริ่มตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. ไปจนถึงวันที่ 10 มิ.ย.และทั้ง 16 ทีม มีการเล่นรอบคัดเลือกกันหมดรวมทั้ง อิตาลี เจ้าภาพด้วย แต่ก็ทำให้ทีมจากยุโรปร่วมการแข่งขันกันมากขึ้น ส่วนทีมจากอเมริกาใต้อย่างเช่น อาร์เจนตินา และบราซิล ไม่ได้ส่งผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดมาทำการแข่งขัน ส่วน อุรุกวัย แชมป์เก่า นั้นปฏิเสธที่จะเดินทางมาป้องกันแชมป์ ทำให้การแข่งขันครั้งนี้นั้นมีแต่ทีมจากยุโรปที่เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนที่ อิตาลี เจ้าภาพจะได้แชมป์ไปครอง โดยในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ต้องเล่นถึง 2 นัด กับ สเปน ที่ฟลอเรนซ์ หลังจากที่นัดแรกนั้นเสมอกัน 1-1 แต่นัดรีเพลย์ในวันต่อมานั้นเจ้าภาพได้ จูเซ็ปเป เมียซซา ที่เป็นชื่อของสนามซานซีโรในปัจจุบันยิงประตูชัยให้ทีมชนะไป 1-0 ก่อนที่อีก 2 วัน ต่อมาเจ้าภาพจะลงเล่นรอบรองชนะเลิศกับ ออสเตรีย ที่มิลาน และเมียซซาก็ทำประตูชัยให้ทีมได้อีกครั้งแม้ว่าจะลงเล่นเป็นนัดที่ 4 ในรอบสัปดาห์ นัดชิงชนะเลิศมีขึ้นเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. โดยมี เช็กโกสโลวะเกียที่ชนะเยอรมนีมาในรอบรองชนะเลิศมาชิงกับเจ้าภาพ การแข่งขันดำเนินมาจนถึงช่วง 20 นาที สุดท้าย เช็กโกสโลวะเกีย ได้ประตูขึ้นนำจากลูกเตะมุม และ ปุช ปีกซ้ายของทีมยิงให้ทีมขึ้นนำ ทำให้บรรยากาศในสนามกรุงโรมเงียบสงัดหลัง อิตาลี ครองเกมมาตลอด แต่เจ้าภาพก็ตีเสมอได้จาก ออร์ซี นักเตะเชื่อสายอาร์เจนไตน์ที่ตีเสมอให้ทีมก่อนหมดเวลาไม่กี่นาที และในช่วงต่อเวลาพิเศษก็เป็น สคิอาโว ที่ยิงประตูชัยให้ทีมชนะไป 2-1 การครองแชมป์ของพลพรรคอัซซูรี่ในคราวนั้นได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นการได้มาจากจอมเผด็จการอย่าง มุสโสลินี โดยแท้ เพราะมีการดึงตัวนักเตะอเมริกาใต้มาเล่นให้อิตาลีหลายคน รวมทั้งการตัดสินของผู้ตัดสินก็ค่อนข้างมีความเกรงใจทีมเจ้าภาพเป็นพิเศษ สิ่งน่าสนใจของอิตาลี 34 ในนัดชิงชนะเลิศระหว่าง อิตาลี กับ เช็กโกสโลวะเกีย นั้นเป็นการสู้กันของ 2 ผู้รักษาประตู ที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลกอีกศึกหนึ่งระหว่าง จิอันปิเอโร คอมบิ กับ ฟรานติเซ็ค พลานิชกา หลังจากที่สิ้นเสียงนกหวีดนัดชิงชนะเลิศ คอมบิ ไม่เคยลงสนามให้ทีมชาติอิตาลีอีกเลย เมื่อยืนยันแผนการที่วางเอาไว้ก่อนนัดชิงชนะเลิศว่า หลังเกมนั้นเขาจะเลิกเล่นฟุตบอลทันที

-
op
- ผู้เล่นชุดใหญ่

-
- โพสต์: 2503
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 07, 2005 19:59
- ที่อยู่: บ้าน
โดย op » อังคาร พ.ย. 15, 2005 22:55
การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งที่ 3 มีขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ที่ชาติจากยุโรปได้จัดการแข่งขัน แต่ในคราวนั้นในยุโรปถือว่ามีปัญหาเรื่องการเมืองกันอยู่มากมาย จากการที่เกิดสงครามกลางเมืองทั้ง เยอรมนี และสเปน จนทำให้ ออสเตรีย ทีมที่ผ่านรอบคัดเลือกมาต้องถอนตัวจากการแข่งขันไป แต่ในการแข่งขันครั้งนี้ก็จัดว่ามีเกมที่ดีที่สุดตลอดกาลของฟุตบอลโลกเกิดขึ้นเหมือนกันคือในเกมที่ บราซิล พบกับ โปแลนด์ ที่ สตราสบูร์ก ซึ่งทีมแซมบ้า เป็นฝ่ายชนะในช่วงต่อเวลา 6-5 ที่ "ไข่มุกดำ" เลโอนิดาส ยิงคนเดียว 4 ประตู และครองตำแหน่งดาวซัลโวในคราวนั้น ทั้งๆ ที่เขาเป็นนักเตะที่เล่นด้วยเท้าเปล่า แต่ในเกมนัดชิงชนะเลิศนั้นเป็น อิตาลี ที่คว้าแชมป์ 2 สมัย ติดด้วยการชนะ ฮังการี 4-2 ที่กรุงปารีส การแข่งขันครั้งนี้นั้นถือว่ามีการใช้สนามที่สร้างในรูปแบบที่ทันสมัย และเป็นครั้งแรกที่ชาติเจ้าภาพได้เข้ารอบสุดท้ายโดยอัตโนมัติ แต่ก็เป็นการแข่งขันที่ทีมจากอเมริกาใต้นั้นไม่ค่อยให้ความร่วมมือโดยมีเพียงแค่ บราซิล เพียงทีมเดียวที่มาทำการแข่งขัน และการแข่งขันก็ยังคงรูปแบบคล้ายกับการแข่งขันที่อิตาลี เกมที่ตื่นเต้นที่สุดก็คือเกมที่ บราซิล เอาชนะ โปแลนด์ นั่นเอง ส่วนเกมที่หนักที่สุดก็คือเกมในรอบ 8 ทีม สุดท้ายที่ บอร์กโดซ์ ซึ่งบราซิล ชนะ เช็กโกสโลวะเกีย 2-1 ซึ่งเกมดังกล่าวมีผู้เล่นโดนไล่ออกจากสนามถึง 3 คน และมีผู้เล่นบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ได้อีก 5 คน ในจำนวนนั้นต้องส่งโรงพยาบาลทันที 2 คน ขณะที่ ฝรั่งเศส เจ้าภาพนั้นเริ่มต้นได้ดีด้วยการเอาชนะ เบลเยียม 3-1 ในรอบแรก แต่ก็ไปเสร็จ อิตาลี ด้วยสกอร์เดียวกันในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และแชมป์เก่าก็ไปพบกับ บราซิล ในรอบรองชนะเลิศ โดยในรอบนี้ อิตาลี ชนะไป 2-1 และหลังจบเกม อเดเนียร์ ปิเมนตา โค้ชของบราซิลยอมรับว่าวางแผนผิดที่หวังพักตัวเก่ง 2 คน เอาไว้เล่นในนัดชิงชนะเลิศเลย หนึ่งในนั้นก็คือ ลิโอนิดาส ทำให้อิตาลีได้เข้าไปชิงชนะเลิศ กับ ฮังการี ที่ผ่าน สวีเดน มาแบบง่ายๆ และอัซซูรี่ ก็พิสูจน์ตัวเองได้ว่าพวกเขามีดีพอที่จะเป็นแชมป์โลก จากชัยชนะ 4-2 และทำให้ จูเซ็ปเป เมียซซา กับ ซิลวิโอ ปิโอลา เป็นตำนานลูกหนังอิตาเลียนมาถึงปัจจุบัน รวมทั้งเป็นชาติแรกที่ป้องกันแชมป์โลกของตัวเองเอาไว้ได้ สิ่งน่าสนใจของฝรั่งเศส 38 ในเกมรอบรองชนะเลิศวันที่ 16 ก.ค. ระหว่าง อิตาลี กับ บราซิล ที่สนาม สต๊าด เวโลโดรม ใน มาร์กเซย นั้น อิตาลี ขึ้นนำก่อน 1-0 และมาได้จุดโทษ และ จูเซ็ปเป เมียซซา เป็นคนยิง แต่ก่อนจะยิงนั้นเชือกรัดกางเกงของเขาเกิดหลุด จึงต้องใช้มือซ้ายจับขอบกางเกงเอาไว้ก่อนจะยิงเข้าไปได้

-
op
- ผู้เล่นชุดใหญ่

-
- โพสต์: 2503
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 07, 2005 19:59
- ที่อยู่: บ้าน
โดย op » อังคาร พ.ย. 15, 2005 22:56
ฟุตบอลโลกครั้งที่ 4 ได้กลับไปทำการแข่งขันกันในอเมริกาใต้อีกครั้ง หลังจากที่ 2ครั้งก่อนหน้านี้นั้นเป็นการแข่งขันในยุโรปล้วนๆ โดยมี บราซิล ชาติที่มีความคลั่งในเกมฟุตบอลที่สุดในโลกเป็นเจ้าภาพ และในการแข่งขันครั้งนี้ก็มีการบันทึกสถิติผู้ชมสูงสุดต่อ 1 นัด เมื่อเคยมีผู้ชมเข้ามาชมเกมกันเกือบ 2 แสนคน ในสนามมาราคานา ที่ริโอเดอจาเนโร ตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ดร. ออตโตริโน บาราสซี รองประธานฟีฟ่า ได้เก็บรักษาถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลกหรือถ้วย ชูลส์ ริเมต์ เอาไว้ในกล่องรองเท้าใต้เตียงนอนของเขา และก็สามารถเก็บถ้วยแชมป์โลกเอาไว้ได้ตลอดสงครามจนนำมาทำการแข่งขันกันในครั้งนี้ การแข่งขันครั้งนี้ก็ยังมีความวุ่นวาย และหาความลงตัวไม่ได้กับระบบการแข่งขันเช่นเคย เพราะบางทีมที่ผ่านรอบคัดเลือกมาก็ได้ถอนตัวไป อย่างเช่น อินเดีย ที่ขอถอนตัวเพราะฟีฟ่า ไม่อนุญาตให้พวกเขาเล่นด้วยเท้าเปล่า ดังนั้นจึงมีทีมที่เข้าแข่งขันในรอบสุดท้ายกันเพียงแค่ 13 ทีมเท่านั้น รวมทั้งในนัดชิงชนะเลิศคราวนั้นก็ถือว่าไม่ใช่นัดชิงชนะเลิศจริงๆ จากการที่เอา 4 ทีมสุดท้ายไปเล่นแบบพบกันหมดและทีมใดมีคะแนนสูงสุดก็จะได้แชมป์ไปครอง ในรอบแรกๆ เกมที่น่าสนใจก็มี สหรัฐ ชนะ อังกฤษ 1-0 ที่ เบโล โฮนิซอนเต และทีมสมัครเล่นจากสวีเดน เอาชนะ อิตาลี แชมป์เมื่อปี 1938 3-2 ที่ เซา เปาโล ซึ่งการแข่งขันในครั้งนั้นรอบแรกแบ่งเป็น 4 กลุ่ม แต่ที่น่าแปลกก็คือกลุ่มที่ 2 มี 4 ทีม ขณะที่กลุ่ม 4 นั้นมีเพียงแค่ 2 ทีม เมื่อได้แชมป์ของแต่ละกลุ่มมาแล้วก็มาเล่นกันแบบ มินิ ลีก บราซิล นั้นโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมใน 2 นัดแรก เมื่อถล่ม สวีเดน 7-1 และต้อน สเปน 6-1 ขณะที่ อุรุกวัย นั้นเสมอ สเปน มา 2-2 และชนะ สเปนมา 3-2 ทำให้เกมนัดสุดท้ายที่ทั้งคู่มาเจอกันพอดีนั้น บราซิล ขอแค่เสมอก็จะได้แชมป์โลกครั้งแรกไปครองทันที และในเกมนี้เจ้าถิ่นก็นำไปก่อน แต่สุดท้ายกลับกลายมาแพ้ 1-2 ต่อหน้าแฟนบอล 174,000 คนในสนาม มาราคานา ถ้วย ชูลส์ ริเมต์ จึงตกอยู่ในมือของ อุรุกวัย เป็นสมัยที่ 2 ที่สำคัญก็คือความพ่ายแพ้ของ บราซิล ในคราวนั้นทำให้แฟนบอลกว่า 10 คน ตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อลบความผิดหวัง เรื่องน่ารู้กับบราซิล 50 จากฟุตบอลโลกครั้งนั้นมาถึงตอนนี้ไม่มีครั้งไหนที่จะมีผู้ชมสูงสุดเทียบเท่ากับ 174,000 คนที่สนามมาราคานา ในเกมเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ซึ่งจริงๆแล้วรายงานแบบไม่เป็นทางการนั้นบอกว่ามียอดผู้ชมสูงกว่า 2 แสนคนซะอีก การที่ อันโตนิโอ คาร์บาฮัล นายทวารทีมชาติเม็กซิโก ไปเล่นฟุตบอลโลกในครั้งนั้น ทำให้ต่อมาเขาเป็นเจ้าของสถิติเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายไป 5 ครั้ง เมื่อเล่นไปจนถึงปี 1966 ซึ่งก็มีนักเตะอยู่ 8 คนที่เล่นรอบสุดท้ายมา 4 ครั้ง จน โลธาร์ มัทเธอุส ของเยอรมนี ที่ทำสถิติ 5 ครั้งเท่ากันในปี 1998 แต่ มัทเธอุส เป็นเจ้าของสถิติตรงที่ได้เล่นไป 25 นัด ซึ่ง คนที่จะพอแซงได้ตอนนี้ก็มีเพียง เปาโล มัลดินี ของ อิตาลี ที่เล่นมาแล้ว 14 นัด

-
op
- ผู้เล่นชุดใหญ่

-
- โพสต์: 2503
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 07, 2005 19:59
- ที่อยู่: บ้าน
โดย op » อังคาร พ.ย. 15, 2005 22:57
หลังจากผ่านเรื่องเศร้าของชาว แซมบ้า มา 4 ปี ถ้วย ชูลส์ ริเมต์ กลับมาอยู่ในยุโรปอีกครั้ง โดยมี สวิตเซอร์แลนด์ ชาติที่มีสำนักงานใหญ่ของฟีฟ่าตั้งอยู่ รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นก็คือนักเตะแต่ละคนเริ่มมีการใช้เบอร์เสื้อเป็นครั้งแรก ในการแข่งขันครั้งนี้ "แม็กยาร์" ฮังการี จัดว่าเป็นทีมเต็งของการแข่งขันอย่างชัดเจน หลังจากที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกมาครองในการแข่งขันที่ เฮลซิงกิ เมื่อปี 1952 และสถิติก่อนหน้านั้นก็สุดยอดเมื่อไม่แพ้ใครมากว่า 33 นัด ซึ่งก็คือการไม่แพ้ใครมาตั้งแต่ปี 1950 โดยตัวชูโรงก็ยังมีชื่อเสียงมาจนทุกวันนี้คือ เฟเรนซ์ ปุสกัส, โจเซฟ บอสซิค และ ซานดอร์ คอสซิส สำหรับการแข่งขันในรอบคัดเลือกนั้นมีจำนวนชาติที่เข้าร่วมมากกว่าครั้งใดๆ ที่ผ่านมา โดยเฉพาะการที่สหพันธ์ฟุตบอลเอเชีย หรือเอเอฟซี เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาในปีนี้ และก็มี เกาหลีใต้ เป็นตัวแทนมาทำการแข่งขัน ขณะที่ทวีปแอฟริกาก็ส่ง อียิปต์ เข้ามา ฝ่ายยุโรปนั้นทีมที่ผ่านรอบคัดเลือกมาก็มี ออสเตรีย, เบลเยียม, เชคโกสโลวาเกีย, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, ฮังการี, อิตาลี, สกอตแลนด์, สวิตเซอร์แลนด์, ตุรกี, เยอรมันตะวันตก และยูโกสลาเวีย เรื่องของระบบการแข่งขันก็ดูจะเป็นเรื่องเป็นราวเป็นครั้งแรก จากการที่มีทีมในรอบสุดท้าย 16 ทีม แบ่งเป็น 4 กลุ่ม และเอากลุ่มละ 2 ทีมมาเล่นแบบน็อคเอาท์ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และรอบรองชนะเลิศต่อไป ซึ่งก็มีการบันทึกสถิติกันเอาไว้ว่า การแข่งขันทั้ง 26 นัดในคราวนั้นมีการทำประตูกัน 140 ประตู เฉลี่ยถึง 5.38 ประตูต่อ 1 นัด ซึ่งก็ยังเป็นสถิติของฟุตบอลโลกมาจนถึงทุกวันนี้ ฮังการี ที่ว่าเป็นตัวเต็งนั้นเริ่มต้นการแข่งขันได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อถล่ม เกาหลีใต้ไป 9-0 ก่อนที่จะมาอัด เยอรมันตะวันตก 8-3 และผ่านรอบแรกไปได้อย่างสบายๆ จนไปชนกับ บราซิล ในรอบ 8 ทีมทีมสุดท้ายและก็สามารถเอาชนะได้ 4-2 ในเกมที่เป็นประวัติศาสตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็น "สงครามแห่งเบิร์น" เมื่อในเกมนั้นมีผู้เล่น บราซิล โดนใบแดง 2 คนคือ นิลสัน ซานโต๊ส กับ ฮุมแบร์โต ขณะที่ ฮังการี ก็มี โจเซฟ บอซซิค รวมทั้งหลังเกมทั้งผู้เล่นผู้จัดการทีมยังเข้าไปตะลุมบอนกันพอหอมปากหอมคออีกด้วย จากนั้นก็มีเรื่องเซอร์ไพรส์เกิดขึ้น 2 อย่างในการแข่งขันครั้งนี้ เมื่อ สวิตเซอร์แลนด์ แพ้ต่อ ออสเตรีย 5-7 ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายทั้งๆ ที่ในรอบแรกก็เขี่ยทีมอย่างอิตาลีตกรอบมาแล้ว และเซอร์ไพรส์ที่ 2 ก็คือการแข่งขันในนัดชิงชนะเลิศระหว่าง เยอรมันตะวันตก กับ ฮังการี ที่ในรอบแรกนั้น แม็กยาร์ ถล่มมาสนุกเท้าถึง 8-3 และก็เหมือนว่าจะเป็นงานง่ายสำหรับ ฮังการี เมื่อออกนำก่อน 2-0 ในเวลาเพียงแค่ 8 นาทีแรก โดย เฟเรนซ์ ปุสกัส เป็นคนนำร่องมาในนาทีที่ 6 แต่จากนั้น เยอรมันตะวันตกเกิดฮึดสู้ และก็กลับมาชนะ 3-2 ในช่วง 6 นาทีสุดท้ายของเกมจากประตูของ เฮลมุท ราห์น ที่ทำคนเดียว 2 ประตูในนัดนี้ ทำให้ทีมอินทรีเหล็ก คว้าแชมป์โลกสมัยแรกไม่ครองแบบไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เรื่องน่ารู้กับสวิตเซอร์แลนด์ 54 เกมที่ถือว่าเป็นนัดชิงชนะเลิศที่ผู้คนกล่าวขวัญก็คือเกมในรอบรองชนะเลิศระหว่าง อุรุกวัย แชมป์เก่า กับ ฮังการี ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นแชมป์ทีมใหม่ ซึ่งเกมจบลงในช่วงเวลาปกติ 2-2 ก่อนที่ ฮังการี จะชนะ 4-2 ในช่วงการต่อเวลาพิเศษ เกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายวันที่ 26 กรกฎาคมที่ โลซาน ออสเตรีย พลิกล็อกเอาชนะ สวิตเซอร์แลนด์ เจ้าภาพอย่างเหลือเชื่อ เมื่อโดนนำก่อน 0-3 แต่สุดท้ายพลิกมาชนะได้ 7-5

-
op
- ผู้เล่นชุดใหญ่

-
- โพสต์: 2503
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 07, 2005 19:59
- ที่อยู่: บ้าน
โดย op » อังคาร พ.ย. 15, 2005 22:58
สวีเดน 1958 เปิดตัวพร้อมกับความเคร้าเมื่อ ชูลส์ ริเมต์ บิดาแห่งฟุตบอลโลกได้เสียชีวิตไปตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคมปี 1956 ที่ปารีส ขณะที่มีอายุได้ 83 ปี ส่วนสิ่งที่น่าสนใจก็มีอยู่ที่เด็กวัย 17 ปีที่ชื่อ เอ๊ดสัน อรานเต้ โด นาสซิเมนโต้ หรือ เปเล่ ของทีมชาติบราซิลที่ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์โลกมาครองได้เป็นครั้งแรก ด้วยการทำแฮตทริกในเกมที่ชนะ ฝรั่งเศส 5-2 ในรอบรองชนะเลิศ และยิงอีก 2 ประตูในเกมที่ชนะเจ้าภาพ 5-2 ในนัดชิงชนะเลิศ แต่เจ้าของตำแหน่งดาวซัลโวของการแข่งขันนั้นคือ ชุสต์ ฟองแตง กองหน้าของฝรั่งเศสที่ยิงคนเดียว 13 ประตู และสถิติก็ยังดำเนินมาถึงวันนี้ และเกิดเกมเสมอ 0-0 ขึ้นเป็นครั้งแรกในเกมรอบแรกระหว่าง อังกฤษ กับ บราซิล ขณะเดียวกันก็มีการถ่ายทอดฟุตบอลโลกทางทีวีเป็นครั้งแรกเพื่อให้โลกได้เห็นถึงดาราฟุตบอลสมัยใหม่อย่าง โคปา, ฟองแตง, บ๊อบบี ชาร์ลตัน, การ์รินชา, วาวา และ เปเล่ ฟุตบอลโลกครั้งที่ 6 ครั้งนี้มีชาติเข้าร่วมการแข่งขันถึง 55 ชาติในการแข่งขันรอบคัดเลือก และก็มีเรื่องเซอร์ไพรส์ในรอบคัดเลือกเมื่อทีมอย่าง เบลเยียม, ฮอลแลนด์, สวิตเซอร์แลนด์, สเปน, อุรุกวัย และอิตาลี ต่างก็ตกรอบไปกันหมด และมีชาติที่เคยเป็นทีมรองบ่อนอย่าง เวลส์, ไอร์แลนด์เหนือ, สหภาพโซเวียต และ สวีเดน เข้ารอบมา ทีมที่เล่นได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดก็คือ ฝรั่งเศส จากการมาแนวรุกชั้นยอด 3 คนคือ เรย์มอนด์ โคปา, ปิอันโตนี และ ฟองแตง ที่ทำให้ทีมได้ประตูมา 23 ประตูตลอดการแข่งขัน แม้ว่าจะต้องตกรอบรองชนะเลิศด้วยการแพ้ บราซิล ก็ตาม เส้นทางของทีม แซมบ้า ในการเป็นแชมป์โลกสมัยแรกนั้นเริ่มได้ดีตั้งแต่รอบแรก แม้ว่าจะอยู่ในกลุ่มที่หินเมื่อเอาชนะ ออสเตรีย 3-0, เสมอ อังกฤษ 0-0 และชนะสหภาพโซเวียต 2-0 พวกเขาเป็นแชมป์กลุ่มและไปพบกับ เวลส์ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งเกมนี้เป็นเกมที่ เปเล่ แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวหลังจากที่เพิ่งเล่นฟุตบอลโลกนัดแรกในเกมกับสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1958 ซึ่ง เปเล่ ก็เป็นผู้ยิงประตูชัยให้ทีมเฉือน เวลส์ ไป 1-0 จากนั้นไอ้หนูวัย 17 ปีก็ทำ 2 ประตูให้ทีมผ่านฝรั่งเศสมาได้ จนได้ชิงชนะเลิศกับ สวีเดน เจ้าภาพที่เอาชนะ เยอรมันตะวันตกแชมป์เก่ามา 3-1 ในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งเกมนัดชิงนั้นเป็นนัดแรกในฟุตบอลโลกครั้งนั้นที่ บราซิล ต้องตกเป็นฝ่ายตามหลังก่อนแต่สุดท้าย วาว่า กับ เปเล่ ยิงคนละ 2 ประตู รวมกับ มาริโอ ซากาโล อีก 1 ประตูทำให้ชาวแซมบ้าชื่นมื่นกับตำแหน่งแชมป์โลก โดย อาร์เธอร์ เดรวรีย์ ประธานฟีฟ่าในขณะนั้นมอบถ้วยให้ เบลลินี กัปตันทีมของบราซิล ที่สนามราซุนดา ในกรุงสตอกโฮล์ม เรื่องน่ารู้กับสวีเดน 58 หลังจากที่มีการแพร่ภาพเกมฟุตบอลโลกเมื่อครั้งสวิตเซอร์แลนด์ 54 แล้ว โลกของฟุตบอลก็เข้าสู่ยุคใหม่ และบราซิล ก็คว้าแชมป์โลกมาครองได้หลังผิดหวังจากที่ ริโอเดอจาเนโร เมื่อ 8 ปีก่อน เมื่อทีมอื่นๆ นั้นไม่สามารถหยุดยั้ง เปเล่ ได้ ก่อนที่ เปเล่ จะเล่นฟุตบอลโลกอีก 3 ครั้ง และได้แชมป์ 3 สมัย ส่วนอีกรายที่อยู่ในทีมมานานคือ มาริโอ ซากาโล ที่ลงเล่นอีกครั้งในปี 1962 และรับหน้าที่เป็นโค้ชในปี 1970 ซึ่งเป็นปีที่ บราซิล ได้ถ้วย ชูลส์ ริเมต์ ไปครอบครองหลังจากได้แชมป์ 3 สมัย แม้ว่า ชุสช์ ฟองแตง จะเป็นผู้ยิงประตูได้สูงสุดในการเล่นฟุตบอลโลก 1 ครั้งด้วยจำนวน 13 ประตู แต่คนที่ยิงได้มากที่สุดในการเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายคือ แกร์ด มุลเลอร์ ของเยอรมันตะวันตก ที่ยิงไป 14 ประตูในฟุตบอลโลก 1970 กับ 1974 ขณะที่ เปเล่ นั้นทำได้ 12 ประตูในฟุตบอลโลก 1958-70 โดยการแข่งขันปี 2002 ครั้งนี้ก็มีเพียงแค่ กาเบรียล บาติสตูตา ของอาร์เจนตินา ที่ยิงไปแล้ว 3 ประตูมีลุ้นที่ทำลายสถิติได้ หลังจากฟุตบอลโลก 3 ครั้งที่ผ่านมา การแข่งขันในรอบสุดท้ายนั้นก็เริ่มมีความชัดเจนในเรื่องของระบบการแข่งขันมากขึ้น และในปี 1958 ที่สวีเดน เปเล่ ไอ้หนูวัย 17 ปี สามารถแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวเมื่อพาทีมเป็นแชมป์โลกได้สำเร็จ ผ่านจากนั้นมาก็มาถึงยุคกลางของฟุตบอลโลกกับการแข่งขันอีก 2 ครั้งที่ ชิลี และ อังกฤษ

-
op
- ผู้เล่นชุดใหญ่

-
- โพสต์: 2503
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 07, 2005 19:59
- ที่อยู่: บ้าน
โดย op » อังคาร พ.ย. 15, 2005 22:59
"แซมบ้า" บราซิล ยังคงครองความเป็นเจ้าลูกหนังได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากที่เมื่อปี 1958 นั้นไปคว้าแชมป์ที่สวีเดน ดินแดนยุโรปได้ มาถึงการแข่งขันครั้งที่ 7 ที่ประเทศชิลี ถือว่าเป็นดินแดนถิ่นอเมริกาใต้ ที่ช่วยส่งเสริมให้ บราซิล คว้าแชมป์ไปครองได้อีกสมัย นอกเหนือจากฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมของพวกเขา บราซิล ชุดนี้ก็ยังคงมี เปเล่ เป็นตัวชูโรงมาทำการแข่งขันเหมือนเดิม แต่คราวนี้เขาไม่ได้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมได้แชมป์เหมือนครั้งที่ผ่านมา เมื่อได้รับบาดเจ็บในการลงสนามเพียงแค่นัดแรกในเกมกับ เม็กซิโก แต่สุดท้ายความยอดเยี่ยมของนักเตะคนอื่นๆ ก็ยังพาทีมไปชนะ เชคโกสโลวาเกีย 3-1 ในนัดชิงชนะเลิศ ด้วยฝีเท้าของ อมาริลโด้, ซิโต้ และ วาว่า ส่วนสิ่งที่เป็นความทรงจำนอกเหนือจากทีมแชมป์ก็คือ "สงครามแห่งซานติอาโก" ระหว่าง อิตาลี กับ ชิลี เจ้าภาพที่นักเตะอิตาลีถูกไล่ออกจากสนามไป 2 คน และมีผู้เล่นหนึ่งคนโดนฮุคซ้ายของผู้เล่นชิลีจนจมูกแตก ในการแข่งขันที่ชิลีในครั้งนี้เป็นการกลับมาสู่แดนลาตินอเมริกาอีกครั้งหลังจากที่ว่างเว้นไป 12 ปี โดยฟีฟ่าได้เลือกให้ ชิลี เป็นเจ้าภาพเนื่องจากเชื่อว่ามีความพร้อมในเรื่องของสนามแข่งขัน, ถนนหนทาง และจำนวนผู้ชม แม้ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวมาในปี 1960 ก็ตาม ซึ่งในรอบคัดเลือกก็เกิดสถิติใหม่อีกครั้งเมื่อมีทีมที่ลงเล่นในรอบคัดเลือกถึง 56 ทีม แต่ทีมที่เคยโชว์ฟอร์มได้ดีอย่าง ฝรั่งเศส และ สวีเดน นั้นไม่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายในครั้งนี้ ส่วนในเรื่องของเกมการแข่งขันนั้น เริ่มที่จะมีความรุนแรงเกิดขึ้นมากกว่าครั้งอื่นๆ ที่ผ่านๆ มา โดยเกมที่หนักๆ นั้นก็เป็นเกมในรอบแรกอย่าง สหภาพโซเวียต กับ ยูโกสลาเวีย, ชิลี กับ อิตาลี และ เยอรมันตะวันตก กับ สวิตเซอร์แลนด์ โดยการเล่นแบบที่หวดกันน่าเกลียดเกิดขึ้นครั้งแรกก็ในฟุตบอลโลกครั้งนี้นี่เอง อย่างไรก็ตามบอลเทคนิคสูงอย่าง บราซิล ที่นำทีมโดย "เจ้านกน้อย" การ์รินชา กับ มาริโอ ซัลกาโด ก็ช่วยให้ทีมครองแชมป์ได้ ด้วยการเอาชนะ เม็กซิโก 2-0, เสมอ เชคโกสโลวาเกีย 0-0 และชนะ สเปน 2-1 ในรอบแรก ก่อนที่จะจัดการ อังกฤษ 3-1 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เอาชนะ ชิลี 4-2 ในรอบรองชนะเลิศ และครองแชมป์สมัยที่ 2 ด้วยการชนะ เชคโกสโลวาเกีย ที่ผ่าน ยูโกสลาเวีย เข้าชิงชนะเลิศได้อย่างเซอร์ไพรส์ 3-1 ข้อมูลนัดชิงชนะเลิศ ชิลี 62 วันที่ 17 มิ.ย. 1962 ที่ นาซิอองนาล บราซิล 3 - 1 เชคโกสโลวาเกีย ผู้ทำประตู: 0-1 โจเซฟ มาโซปุสท์ น. 15, 1-1 อมาริลโด้ น. 17, 2-1 ซิโต้ น. 69, 3-1 วาว่า น. 78 ผู้ชม: 69,000 คน รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม บราซิล - กิลมาร์, ดัลม่า ซานโต๊ส, โฮเซ่ เมาโร, ซิโต้, โซวิโม่, นิลสัน ซานโต๊ส, การ์รินช่า, ดิดี้, วาว่า, มาริโอ ซัลกาโด้, อมาริลโด้ โค้ช อายมอร์ โมไรร่า เชคโกสโลวาเกีย - วิเลม ชรอฟ, แยน โปปลูฮาร์, ลาดิสลาฟ โนวัค, เซาโตปลุค ปรัสคัล, โจเซฟ มาโซปุสต์, อดอล์ฟ ชเฮเรอร์, โจเซฟ เยลิเน็ค, ยิริ ติชี, โทมัส ปอสปิคัล, โจเซฟ คาดราบา, อันเดรจ ควานัค โค้ช รูดอลฟ์ วิตลาซิล ผู้ตัดสิน: นิโคไล ลาติเชฟ (สหภาพโซเวียต), ลีโอ ฮอร์น (ฮอลแลนด์), โรเบิร์ต ดาวิดสัน (สกอตแลนด์) เรื่องน่ารู้กับ ชิลี 62 ในเกมที่ อริกา ในวันที่ 3 มิถุนายน ถือว่าเป็นวันฝันร้ายของ "แมงมุมดำ" เลฟ ยาชิน ผู้รักษาประตูของ สหภาพโซเวียต ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายทวารที่ดีที่สุดตลอดกาลคนหนึ่งของโลก เมื่อในเกมนั้นทีมออกนำ โคลัมเบีย ไป 4-1 และกำลังรอเสียงนกหวีดหมดเวลาเพื่อเก็บชัยชนะ แต่สุดท้าย โคลัมเบีย มาตามตีเสมอเป็น 4-4 ได้ก่อนหมดเวลาการแข่งขันเพียงแค่ 4 นาที ฟุตบอลโลกครั้งนี้มีประตูที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเกิดขึ้นมาเมื่อ วาชลาฟ มาเซ็ค ของ เชคโกสโลวาเกีย ใช้เวลาเพียงแค่ 15 วินาทีในการยิงประตูเม็กซิโก แต่สถิติที่เร็วที่สุดในรอบคัดเลือกนั้นใช้เวลาเพียง 9 วินาทีด้วยการของของ ดาวิเด เกาติเอรี ที่ยิง อังกฤษ ได้ในเดือนพฤศจิกายนปี 1993 ขณะที่ผู้เล่นดังๆ ที่ทำประตูได้เร็วนั้นก็มี ไบรอัน ร็อบสัน ที่ยิง ฝรั่งเศส ในปี 1982 ด้วยเวลา 27 วินาที

-
op
- ผู้เล่นชุดใหญ่

-
- โพสต์: 2503
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 07, 2005 19:59
- ที่อยู่: บ้าน
โดย op » อังคาร พ.ย. 15, 2005 22:59
ฟุตบอลโลกที่ อังกฤษ เมื่อปี 1966 จัดว่าเป็นการเปลี่ยนยุคสู่การแข่งขันในสมัยใหม่อย่างแท้จริงเมื่อมาตรฐานการเล่นดูดีขึ้นมา แต่ก่อนการแข่งขันนั้นมีเรื่องวุ่นวายขึ้นเมื่อถ้วย ชูลส์ ริเมต์ ได้ถูกขโมยในระหว่างที่นำมาแสดงที่กรุงลอนดอน แต่ก็สามารถนำกลับคืนมาได้จากการเสาะหาของสุนัขที่ชื่อ พิคเคิลส์ ที่ค้นพบที่สวนทางใต้ของกรุงลอนดอนในอีกไม่กี่วันหลังจากที่หายไป ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ เปเล่ ร่วมทีมชาติบราซิลมาทำการแข่งขัน แต่ทีมนั้นไม่ประสบความสำเร็จ เพราะตกเพียงแค่รอบแรกจากการแพ้ ฮังการี และ โปรตุเกส โดยที่ โปรตุเกส ยุคนั้นก็มีดาวดังเกิดขึ้นมาคือ "เสือดำแห่งโมซัมบิค" ยูเซบิโอ ขณะที่ อังกฤษเจ้าภาพนั้นมี บ็อบบี มัวร์ เป็นผู้นำทีม พร้อมด้วย บ็อบบี ชาร์ลตัน กับ เจฟฟ์ เฮิร์สท และ เยอรมันตะวันตก ก็ได้กัปตันทีมชั้นดีอย่าง อูเว ซีเลอร์ นำทีมมาพร้อมกับดาวรุ่งอย่าง ฟรานซ์ เบคเค่นบาว เออร์ อย่างไรก็ตามในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ก็มีปัญหาขึ้นมาในรอบคัดเลือกเมื่อทีมจากทวีปแอฟริกา ประท้วงจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันเมื่อทางฟีฟ่า สั่งให้ทีมแชมป์ของแอฟริกา ต้องไปเล่นเพลย์ออฟกับผู้ชนะระหว่างทีมจาก เอเชีย กับ โอเชียเนียก่อนจึงจะได้ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย แต่สุดท้ายก็สามารถตกลงกันได้ด้วยดี และก็มีทีมถึง 70 ชาติที่เข้าร่วมการแข่งขันในรอบคัดเลือกครั้งนั้น และก็เป็นสถิติใหม่อีกเช่นเคย ซึ่งโควตาของรอบ 16 ทีมสุดท้ายนั้นมาจากยุโรปถึง 10 ทีม, อเมริกาใต้ 4 ทีม, เอเชีย 1 ทีม และ 1 ทีมจากทวีปอเมริกาเหนือ และอเมริกากลาง ซึ่งก็คือโซนคอนคาเคฟในปัจจุบัน น้องใหม่ที่มาทำการแข่งขันในครั้งนี้ก็คือ โปรตุเกส ที่แม้ว่าจะอยู่กลุ่มเดียวกับ บราซิล แชมป์เก่า แต่ก็สามารถผ่านเข้ารอบมาได้ แต่ทีมเต็งของการแข่งขันก็คือ "สิงโตคำราม" อังกฤษ ทีมเจ้าภาพนั่นเอง พวกเขาผ่านรอบแรกด้วยการเสมอ อุรุกวัย 0-0, ชนะ เม็กซิโก 2-0 เช่นเดียวกับสกอร์ในเกมที่ชนะฝรั่งเศส ขณะที่ บราซิล ที่ได้รับการจับตามองอยู่ด้วยนั้นตกเพียงรอบแรกหลังจากที่ เปเล่ นำทีมเอาชนะ บัลแกเรีย 2-0 ในเกมนัดแรก แต่หลังจากเกมนั้น เปเล่ ก็เจ็บจนไม่สามารถช่วยทีมได้อีก ในเกม 2 นัดที่เหลือทีมแซมบ้าจึงไปแพ้ให้กับ ฮังการี 1-3 และสุดท้ายก็แพ้ให้กับ โปรตุเกส ด้วยสกอร์เดียวกัน แม้ว่านัดนี้ เปเล่ จะกลับมาลงสนามได้ก็ตาม ทำให้แชมป์เก่าต้องตกไปเพียงแค่รอบแรกเท่านั้น โดยทีมที่ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายแบบเซอร์ไพรส์ก็คือ เกาหลีเหนือ ที่ชนะ อิตาลี ได้ในรอบแรก และก็เกือบจะเข้าสู่รองรองชนะเลิศด้วยซ้ำเมื่อออกนำ โปรตุเกส ไปก่อนถึง 3-0 แต่สุดท้าย โปรตุเกส มาแซงชนะไป 5-3 โดยเกมนี้ ยูเซบิโอ ยิงคนเดียวถึง 4 ประตู อังกฤษ นั้นใช้ความได้เปรียบที่เล่นในเวมบลีย์ทุกนัดจนผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้ด้วยการเอาชนะ อาร์เจนตินา 1-0 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนที่รอบรองชนะเลิศจะไล่หวด ยูเซบิโอ และเอาชนะไปได้ 2-1 สำหรับเกมนัดชิงชนะเลิศนั้นพวกเขาเอาชนะเยอรมันตะวันตกได้ 4-2 ในการต่อเวลาพิเศษ โดยเกมนี้ เจฟฟ์ เฮิร์สท บันทึกสถิติว่าตัวเองเป็นผู้เล่นคนเดียวที่ทำแฮตทริกได้นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก แต่ 1 ในประตูที่เขาทำได้นั้นเป็นประตูปัญหาที่ยังเป็นข้อกังขามาจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็ช่วยให้ บ็อบบี มัวร์ รับถ้วย ชูลส์ ริเมต์ จากหัตถ์ของพระราชินี อลิซาเบธ ที่ 2 ข้อมูลนัดชิงชนะเลิศอังกฤษ 66 วันที่ 30 มิ.ย. 1966 ที่เวมบลีย์ อังกฤษ 4 - 2 เยอรมันตะวันตกต่อเวลาพิเศษหลังเสมอกัน 2-2) ผู้ทำประตู: 0-1 เฮลมุท ฮัลเลอร์ น. 12, 1-1 เจฟฟ์ เฮิร์สท น. 18, 2-1 มาร์ติน ปีเตอร์ส น. 78, 2-2 โวลฟ์กัง เวเบอร์ น. 89, 3-2 เจฟฟ์ เฮิร์สท น. 101, 4-2 เจฟฟ์ เฮิร์สท น. 120 ผู้ชม: 93,000 คน รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม อังกฤษ -กอร์ดอน แบงค์, จอร์จ โคเฮน, รามอน วิลสัน, น็อบบี สไตล์ส, แจ็คกี ชาร์ลตัน, บ็อบบี มัวร์, อลัน บอลล์, บ็อบบี ชาร์ลตัน, เจฟฟ์ เฮิร์สท, มาร์ติน ปีเตอร์ส, โรเจอร์ ฮันท์ โค้ช อัลฟ์ แรมซีย์ เยอรมันตะวันตก - ฮันส์ ทิลคอฟสกี, ฮอร์สท ฮ็อตต์เกส, คาร์ลไฮนซ์ ชเนลลิงเกอร์, ฟรานซ์ เบคเค่นบาวเออร์, วิลลี ชูลซ์, โวลฟ์กัง เวเบอร์, เฮลมุท ฮัลเลอร์, อูเว ซีเลอร์, ซีกฟรีด เฮลด์, โลธาร์ เอ็มเมอริช, โวลฟ์กัง โอเวอร์รัธ โค้ช เฮลมุท เชิน ผู้ตัดสิน - ก็อตต์ฟรัด ดีนส์ท (สวิตเซอร์แลนด์), คาโรล กัลบา (เชคโกสโลวาเกีย), โทฟิค บาคาามอฟ (สหภาพโซเวียต) เรื่องน่ารู้กับอังกฤษ 66 น่าจะไม่มีเรื่องกังขาเรื่องไหนที่มีการกล่าวขวัญกันระหว่างแฟนบอลมากที่สุดเท่ากับการตัดสินประตูในนัดชิงชนะเลิศของการแข่งขันครั้งนี้ซึ่งได้รับการกล่าวขวัญกันว่าเป็น "ประตูแห่งเวมบลีย์" จากประตูที่ เจฟฟ์ เฮิร์สท ยิงให้อังกฤษนำ 3-2 ในช่วงต่อเวลา ประตูนี้แม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้ว รวมทั้งมีการใช้เทคโนโลยีใหม่เข้ามาช่วยพิสูจน์ว่า ลูกยิงของ เฮิร์สท ที่ยิงไปกระทบคานบนนั้นข้ามเส้นไปหรือยัง ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน แต่ในสถานการณ์ตอนนั้น ก็อตต์ฟรีด ดีนส์ท ผู้ตัดสินชาวสวิตเซอร์แลนด์เป่าให้เป็นประตู หลังจากที่ปรึกษากับไลน์แมนจากรัสเซียแล้ว แต่ความทรงจำยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้โดยเฉพาะกับแฟนบอลของ อังกฤษ และ เยอรมันตะวันตก

-
op
- ผู้เล่นชุดใหญ่

-
- โพสต์: 2503
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 07, 2005 19:59
- ที่อยู่: บ้าน
โดย op » อังคาร พ.ย. 15, 2005 23:00
ฟุตบอลโลกครั้งที่ 9 มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของเวลาการแข่งขัน จากการที่บางคู่ต้องเล่นกันในเวลาเที่ยงวันเพื่อที่จะให้ตรงกับการถ่ายทอดสดไปทางยุโรป ซึ่งก็ทำให้บรรดานักเตะ และผู้จัดการทีมไม่ค่อยพอใจเท่าไรนักเนื่องจากสภาพอากาศที่เม็กซิโกนั้นถือว่าร้อนมาก แต่ในเรื่องของการแข่งขันนั้นไม่มีความรุนแรงในเกมเหมือนกับการแข่งขันใน 2 นัด ที่ผ่านมาเพราะตลอดการแข่งขันไม่มีผู้เล่นคนไหนโดนไล่ออกจากสนามเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งเป็นสถิติเทียบเท่ากับการแข่งขันเมื่อปี 1950 และการเปลี่ยนแปลงอีกอย่างก็คือฟีฟ่าให้มีการเปลี่ยนตัวได้เป็นครั้งแรก
การแข่งขันครั้งนี้ เปเล่ กลับมาสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง เมื่อพา บราซิล ครองแชมป์โลกเป็นสมัยที่ 3 และได้ถ้วย ชูลส์ ริเมต์ ไปเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง จากการที่ทีมแซมบ้ามีทีมที่สมบูรณ์แบบ เพราะนอกจาก เปเล่ แล้วก็ยังมี โคลโดอัลโด, แกร์สัน, ริเวลิโน, ทอสเทา, แจร์ซินโญ และ คาร์ลอส อัลแบร์โต ทำให้เกมนัดชิงชนะเลิศที่ อัซเตกา สเตเดียมนั้น บราซิล ไล่ถล่ม อิตาลีไป 4-1 และ แจร์ซินโญ เป็นนักเตะคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ทำประตูได้ในทุกนัดของการแข่งขัน ส่วนสถิติอีกอย่างที่เกิดขึ้นก็คือในรอบรองชนะเลิศที่ อิตาลี ชนะ เยอรมนีตะวันตก 4-3 นั้นมีการทำประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษถึง 5 ประตู
บราซิล ชุดแชมป์โลกสมัยที่ 3 นี้ถือว่าเป็นที่จดจำของแฟนบอลมาตลอด จากการที่มีเกมการเล่นที่สวยงามพร้อมทั้งนักเตะชั้นยอดที่เล่นกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากที่ฟุตบอลโลกในปี 1966 นั้นเล่นกันค่อนข้างรุนแรง และไม่ค่อยมีเกมที่มีคุณภาพมากนัก ดังนั้นการแข่งขันที่เม็กซิโก จึงถือว่าเป็นการเล่นกันที่สวยงามและตื่นเต้นที่สุดของฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเลยก็ว่าได้อย่างเช่นเกม อังกฤษ กับ บราซิล, อังกฤษ กับ เยอรมนีตะวันตก และ อิตาลี กับ เยอรมนีตะวันตก รวมทั้งประตูที่ เปเล่ ยิงข้ามหัว วิคตอร์ นายทวารของ เช็กโกสโลวะเกีย จากระยะ 50 เมตร ก็ยังไม่มีใครลืม เช่นเดียวกับแผงกองหน้าของบราซิลที่ประกอบไปด้วย แจร์ซินโญ, ทอสเทา, เปเล่ และริเวลิโน
สำหรับทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันก็เป็นสถิติใหม่อีกเหมือนเดิม เมื่อคราวนี้มีทีมที่ร่วมเล่นในรอบคัดเลือกทั้งสิ้น 75 ทีมและทีมที่เคยแข็งแกร่งในอดีตอย่าง โปรตุเกส, ฮังการี, ฝรั่งเศส, สเปน และแม้กระทั่ง อาร์เจนตินา นั้นไม่ผ่านการแข่งขันในรอบคัดเลือกมา ส่วนทีมน้องใหม่นั้นก็ได้แก่ อิสราเอล และ โมร็อกโก ที่ได้เล่นฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก
โมร็อกโก นั้นถือว่าเป็นชาติแรกที่เป็นตัวแทนของ สหพันธ์ฟุตบอลแอฟริกัน หรือซีเอเอฟ.ที่ก่อตั้งขึ้นมาในปี 1957 เพราะแม้ว่า อียิปต์ จะได้เล่นรอบสุดท้ายในปี 1934 แต่ก็ไม่ได้ลงเล่นเลยแม้แต่เกมเดียว ส่วนทีมที่เล่นกันได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจอีกทีมนอกเหนือจาก บราซิล แล้วก็คือ เปรู ที่เล่นในเกมรอบ 8 ทีม สุดท้ายกับ บราซิล ได้อย่างสุดมันส์ก่อนจะแพ้ไป 2-4
และเกมในรอบ 8 ทีม สุดท้ายอีกคู่ที่ เยอรมนีตะวันตก กลับมาล้างแค้น อังกฤษ ได้หลังจากที่แพ้มาเมื่อ 4 ปี ก่อน โดยเกมนี้ อังกฤษ เป็นฝ่ายออกนำ 2-0 จนกระทั่งช่วง 20 นาที สุดท้าย อินทรีเหล็ก มาฮึดตีเสมอได้ ก่อนจะชนะไป 3-2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ รวมไปถึงเกมในรอบรองชนะเลิศ ที่ อิตาลี เสมอกับ เยอรมนีตะวันตก 1-1 ในเวลา 90 นาที ก่อนที่ในช่วงต่อเวลาพิเศษจะผลัดกันขึ้นนำ ก่อนที่ อิตาลี จะชนะไป 4-3 และนัดนี้ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ ต้องพันผ้าไว้ที่หัวไหล่ เนื่องจากไหล่หลุดแต่ก็เล่นได้จนจบ 120 นาที
ในนัดชิงชนะเลิศพลพรรคอัซซูรี่ ไม่สามารถหยุดยั้งเกม
รุกของ บราซิล ได้ และ บราซิล ก็ชนะไป 4-1 ทำให้ คาร์ลอส อัลแบร์โต กัปตันทีมรับถ้วย ชูลส์ ริเมต์ มาเป็นของชาวบราซิเลียนทั้งชาติ เมื่อสามารถคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ได้ และเป็นการปิดฉากการเล่นฟุตบอลโลกของ เปเล่ อย่างยิ่งใหญ่
ข้อมูลนัดชิงชนะเลิศ เม็กซิโก 70
วันที่ 21 มิ.ย. 1970 ที่อัซเตกา สเตเดียม
บราซิล 4 - 1 อิตาลี
ผู้ทำประตู: 1-0 เปเล่ น. 18, 1-1 โรแบร์โต โบนินเซญา น. 37, 2-1 แกร์สัน น. 66, 3-1 แจร์ซินโญ น. 71, 4-1 คาร์ลอส อัลแบร์โต น. 86
ผู้ชม: 107,412 คน
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
บราซิล - เฟลิกซ์, บริโต, ปิอัซซา, คาร์ลอส อัลแบร์โต, โคลโดอัลโด, แจร์ซินโญ, แกร์สัน, ทอสเทา, เปเล่, ริเวลิโน, เอเวรัลโด โค้ช มาริโอ ซากาโล
อิตาลี - เอ็นริเก อัลแบร์โตซี, ทาร์ชิซิโอ บูร์กนิช, จิอาชินโต ฟัคเช็ตติ, ปิแอร์ลุยจิ เซรา, โรแบร์เตอร์ โรซาโต, มาริโอ แบร์ตินี (อันโตนิโอ จูเลียโน น. 74), ลุยจิ ริวา, อันเจโล โดเมนกินี, ซานโดคร มัซโซลา, จิอันคาร์โล เดอซิซโต, โรแบร์โต โบนินเซญา (จิอันนี ริเวรา น. 84) โค้ช แฟร์รุชโช วัลกาเรจจิ
ผู้ตัดสิน: รูดอลฟ์ โกลเอคเนอร์ (เยอรมนีตะวันออก), นอร์แบร์โต โคเอเรซซา (อาร์เจนตินา), รูดอลฟ์ ชมิด(สวิตเซอร์แลนด์)
เรื่องน่ารู้กับเม็กซิโก 70
ถ้วย ชูลส์ ริเมต์ นั้นเป็นชื่อของถ้วยแชมป์โลกมาตั้งแต่การแข่งขันฟุตบอลโลกเริ่มก่อตั้งมา และ บราซิล ก็ได้ครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์จากการที่ได้แชมป์ 3 สมัย ในเวลาแค่ 12 ปี แต่สุดท้ายถ้วยนี้ก็ถูกขโมยไปในบราซิล และไม่มีใครได้เห็นอีกเลย ซึ่งก็ไม่เหมือนตอนอังกฤษ 66 ที่ยังตามหาเจอ
ฟุตบอลโลกปี 1970 เป็นครั้งแรกที่ฟีฟ่าเอาระบบใบเหลืองและใบแดงมาใช้เป็นครั้งแรกแต่นักเตะคนแรกที่โดนใบแดงในฟุตบอลโลกนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 1974 เมื่อ คาร์ลอส คาสเซลี ของ ชิลี โดนไล่ออกจากสนามไป ส่วนสถิตินักเตะที่ถูกไล่ออกจากสนามเร็วที่สุดก็คือ โฮเซ บาติสตา ของอุรุกวัย ที่โดนใบแดงเพียงแค่นาทีแรกเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.1986

-
op
- ผู้เล่นชุดใหญ่

-
- โพสต์: 2503
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 07, 2005 19:59
- ที่อยู่: บ้าน
โดย op » อังคาร พ.ย. 15, 2005 23:01
การแข่งขันปี 1974 นั้นแม้ว่าถ้วยแชมป์โลกจะตกเป็นของ เยอรมนีตะวันตก เจ้าภาพแต่ทีมที่เป็นที่จดจำของแฟนบอลก็คือ "อัศวินสีส้ม" ฮอลแลนด์ ที่นำระบบโททัลฟุตบอลมาใช้พร้อมทั้งมีนักเตะเทวดา โยฮัน ครัฟฟ์ เป็นผู้นำทีมมาและก็ประกาศศักดาด้วยการเอาชนะ อาร์เจนตินา 4-0 และชนะ บราซิล 2-0 แต่ในนัดชิงชนะเลิศนั้นเจอทีเด็ดของ "ไอ้ลูกระเบิด" แกร์ด มุลเลอร์ จนต้องพ่ายแพ้ไป
ส่วน "อินทรีเหล็ก" เยอรมนีตะวันตกชุดนี้นั้นมี "ไกเซอร์" ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ นำทีมอย่างเต็มตัว ซึ่งแฟนบอลก็ได้ชมการแข่งขันกันมากขึ้น เพราะในฟุตบอลโลกครั้งที่ 10 ครั้งนี้นั้นมีการถ่ายทอดสดทางทีวีสีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ในเรื่องระบบการแข่งขันนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเมื่อในรอบ 2 แทนที่จะมีการเล่นแบบน็อคเอาท์เหมือนเดิม ก็เปลี่ยนเป็นการแบ่งกลุ่มอีก 2 กลุ่ม เล่นแบบพบกันหมดและจะเอาแชมป์แต่ละกลุ่มมาชิงชนะเลิศกัน
และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอีกอย่างสำหรับฟุตบอลโลกก็คือถ้วยแชมป์ที่เปลี่ยนมาใช้ถ้วยใบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากถ้วย ชูลส์ ริเมต์ นั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของ บราซิล ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้วยใบใหม่นี้ออกแบบโดย ซิลวิโอ กัซซานิกา รวมทั้งประธานฟีฟ่าก็เปลี่ยนมาเป็น โจฮัว ฮาเวลานจ์ ชาวบราซิเลียนที่เข้ามาแทน เซอร์ สแตนลีย์ รุส ชาวอังกฤษ
ในการแข่งขันรอบคัดเลือกมีชาติที่ร่วมการแข่งขันมากเป็นประวัติการณ์ถึง 98 ชาติ และก็มีทีมน้องใหม่ที่ได้เข้ารอบสุดท้ายอย่าง เยอรมนีตะวันออก, เฮติ, ออสเตรเลีย และ ซาอีร์ แต่ทีมอย่าง ฮังการี, สเปน, ฝรั่งเศส และอังกฤษ นั้นตกรอบคัดเลือกไปกันหมด
เมื่อลงสนามในรอบสุดท้ายกันแล้ว เยอรมนีตะวันตก จัดว่าเป็นทีมเต็งอย่างชัดเจนเมื่อรอบแรกเอาชนะ ชิลี ได้ 1-0 และชนะ ออสเตรีย 3-0 แต่เกมรอบแรกนัดสุดท้ายนั้นถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนอย่างแท้จริงเมื่อไปแพ้ให้กับ เยอรมนีตะวันออก 0-1 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ เบคเคนบาวเออร์ ขึ้นมาเป็นกัปตันทีมรวมทั้ง เทรนเนอร์ เฮลมุท เชิน ก็มีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นตัวจริงและแทคติกของทีมไป
ขณะที่ ฮอลแลนด์ นั้นนอกจาก ครัฟฟ์ แล้วก็ยังมีดาวเด่นอย่าง โยฮัน นีสเกน, จอนนี เรป และร็อบ เรนเซนบริงค์ ที่ช่วยให้ผ่านการแข่งขันในรอบแรกได้อย่างสบายๆ และในการแบ่งกลุ่มรอบสองก็เอาชนะ อาร์เจนตินา กับ บราซิล ได้แบบไม่ลำบากรวมทั้งเกมที่ชนะเยอรมนีตะวันออก ไป 2-0 ด้วยการเล่นแบบโททัล ฟุตบอลที่อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัมนำมาใช้ก่อนหน้านั้น
อีกทีมที่น่าสนใจในการแข่งขันครั้งนั้นก็คือ โปแลนด์ ที่มาคว้าอันดับ 3 ไปครองเมื่อมีดาราอย่าง กิซเรกอร์ซ ลาโต ที่ได้ตำแหน่งดาวยิงสูงสุดของทัวร์นาเม้นท์ไปด้วยการยิงไป 7 ประตู ด้วยกัน แต่โปแลนด์ก็ไม่สามารถหยุดเยอรมนีตะวันตกได้ในการพบกันรอบสอง
ในนัดชิงชนะเลศ ขุนพลดัตช์เป็นฝ่ายออกนำไปก่อนหลังจากที่ ครัฟฟ์ โดนดึงล้มในเขตโทษและนีสเกนเป็นคนสังหารเข้าไป แต่สุดท้ายอินทรีเหล็กก็ได้ พอล ไบรท์เนอร์ กับ แกร์ด มุลเลอร์ ช่วยกันยิงแซงให้ทีมเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 2 ด้วยสกอร์ 2-1 หลังจากที่รอคอยมา 20 ปี นับตั้งแต่ที่ได้แชมป์ในศึกสวิตเซอร์แลนด์ 54
ข้อมูลนัดชิงชนะเลิศเยอรมนีตะวันตก 74
วันที่ 7 มิ.ย. 1974 ที่โอลิมปิก มิวนิค
ฮอลแลนด์ 1 - 2 เยอรมนีตะวันตก
ผู้ทำประตู: 1-0 โยฮัน นีสเกน จุดโทษ น. 2, 1-1 พอล ไบรท์เนอร์ จุดโทษ น. 25, 1-2 แกร์ด มุลเลอร์ น. 43
ผู้ชม: 75,200 คน
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ฮอลแลนด์ - อาเดรียนุส ฮันน์, วิม ฟานฮาเนเกม, วิม แยนเซน, แยน ยองบลัด, รุด โครล, โยฮัน นีสเกน, โยฮัน ครัฟฟ์, ร็อบ เรนเซนบริงค์ (เรเน ฟานเดอร์เคอร์คอฟ น. 46), จอนนี เรป, วิม ไรส์เบอร์เกน (ธีโอ เดอร์ยอง น. 68), วิม ซูเบียร์, จอนนี ฟอส โค้ช ไรนุส มิเชล
เยอรมนีตะวันตก - เซ็ปป์ ไมเออร์, แบร์ตี โฟกท์ส, พอล ไบรท์เนอร์, ฮันส์ยอร์ค ชวาร์เซนเบค, ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์, เจอร์เกน กราบอฟสกี, โวลฟ์กัง โอเวรัธ, แกร์ด มุลเลอร์, อูลี เฮอร์เนสส์, ไรเนอร์ บอนโฮฟ, แบร์นด์ ฮอลเซนไบน์ โค้ช เฮลมุท เชิน
ผู้ตัดสิน: จอห์น เทย์เลอร์ (อังกฤษ), อัลฟอนโซ กอนซาเลซ (เม็กซิโก), รามอน บาร์เรโต (อุรุกวัย)
เรื่องน่ารู้กับเยอรมนีตะวันตก 74
ชัยชนะของเยอรมนีตะวันออก ที่มีต่อคู่อริทางการเมืองอย่างเยอรมนีตะวันตกนั้นเป็นชัยชนะที่ได้มาโดยที่ทั้งสองทีมใส่กันแบบเต็มๆ แม้ว่าทั้งสองทีมจะผ่านรอบแรกไปแล้วก็ตาม แต่ก็กลับกลายเป็นผลดีกับ เยอรมนีตะวันตก เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแทคติกของทีมไปจนได้แชมป์ แต่กว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ ก็ได้ออกมาอธิบายถึงความพ่ายแพ้กับแฟนบอลที่ไม่พอใจทางทีวีเลยทีเดียว ซึ่งเกมดังกล่าวนั้นก็มีชื่อว่า "วอนเดอร์ ออฟ บอร์น"
สกอตแลนด์เป็นทีมที่ตกรอบแรกทุกครั้งที่ได้ไปเล่นในรอบสุดท้าย แต่ในปี 1974 นั้นถือว่าเป็นทัวร์นาเม้นท์ที่ทีมวิสกี้ ใกล้เคียงกับการเข้ารอบมากที่สุด เมื่อชนะ 1 เสมอ 2 ในรอบแรก แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ ทีมได้เข้ารอบอยู่ดี เนื่องจากตอนนั้นยังใช้การคิดคะแนนแบบชนะได้ 2 คะแนน

-
op
- ผู้เล่นชุดใหญ่

-
- โพสต์: 2503
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 07, 2005 19:59
- ที่อยู่: บ้าน
โดย op » อังคาร พ.ย. 15, 2005 23:02
"ฟ้าขาว" อาร์เจนตินา นั้นเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อปี 1930 แต่พวกเขาก็ต้องรอมานานกว่าที่จะได้แชมป์มาเชยชม และก็ต้องรอจนกระทั่งตัวเองได้เป็นเจ้าภาพในปี 1978 ซึ่งในครั้งนั้นเสียงเชียร์ในสนามจัดว่ามีส่วนช่วยได้มากทีเดียว โดยคราวนั้นก็ยังมี ฮอลแลนด์ ที่แรงไม่ตกเป็นทีมที่มาลุ้นแย่งแชมป์ด้วย หลังจากที่ได้รองแชมป์ที่เยอร์มันตะวันตก แต่ฟรายอิ้งดัตช์แมนชุดนี้ไม่มี โยฮัน ครัฟฟ์ ที่ไม่ยอมไปทำการแข่งขันจากเหตุผลทางการเมือง
อาร์เจนตินา นั้นอาจจะแพ้ให้กับ อิตาลี ในเกมนัดสุดท้ายของรอบแรก แต่ในรอบสองนั้นก็สามารถผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้ด้วยการเล่นในระบบที่แบ่งกลุ่มเหมือนครั้งที่เยอร์มันตะวันตก แต่ก็มีข้อกังขาตรงที่เกมนัดสุดท้ายของรอบสองนั้นพวกเขาเอาชนะ เปรู ได้ถึง 6-0 ซึ่งเป็นสกอร์ที่ทำให้แซง บราซิล เข้าชิงชนะเลิศด้วยประตูได้เสียที่ดีกว่า และเกมนัดนี้ก็ยังเป็นที่กังขากันว่า เปรู นั้นเล่นเต็มที่หรือไม่
อย่างไรก็ตามทีมเจ้าภาพชุดนั้นก็จัดว่ามีนักเตะเด่นๆ ของการแข่งขันอยู่ด้วยกันหลายคนเช่น ดาเนียล พาสซาเรลล่า ในแนวรับ, ออสวัลโด้ อาร์ดิเลส ในแดนกลาง และ มาริโอ เคมเปส ในแดนหน้าที่ยิงคนเดียว 6 ประตูคว้าตำแหน่งดาวซัลโวไปครอง รวมทั้งตำแหน่งแชมป์โลกที่ต่อเวลาเอาชนะ ฮอลแลนด์ ได้ 3-1 ในนัดชิงชนะเลิศ นอกจากนี้ก็ยังมีดาวเด่นของทีมอื่นๆ เกิดขึ้นมาอย่างเช่น มิเชล พลาตินี่, เปาโล รอสซี่ และ คาร์ลไฮนซ์ รุมเมนิกเก้
การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 11 ครั้งนี้ กว่าจะทำการแข่งขันกันได้ก็ค่อนข้างมีปัญหาเหมือนกัน เนื่องจากหลายฝ่ายไม่พอใจการปกครองของรัฐบาลทหารในอาร์เจนตินา ที่ผิดในเรื่องของมนุษยชน แต่สุดท้ายแล้วในโลกของฟุตบอลก็สามารถตกลงกันได้ด้วยดี ทีมต่างๆ ที่ผ่านรอบคัดเลือกต่างไปทำการแข่งขันกันครบครัน เพียงแต่ว่าไม่มี "สิงโตคำราม" อังกฤษ ที่ไม่ผ่านรอบคัดเลือกเช่นเดียวกับ ยูโกสลาเวีย และ สหภาพโซเวียต แต่ก็ได้ ฝรั่งเศส กลับมาอีกครั้งหลังจากที่หายไป 12 ปี ส่วนน้องใหม่ก็คือ อิหร่าน และ ตูนิเซีย
การกลับมาของ ฝรั่งเศส ในคราวนี้แม้ว่าจะมี "นโปเลียนลูกหนัง" มิเชล พลาตินี่ อยู่ในทีมแต่ก็ไม่สามารถผ่านเข้ารอบ 2 ได้ เนื่องจากแพ้ให้กับ อิตาลี และ อาร์เจนตินา ด้วยสกอร์ 1-2 เท่ากัน ดังนั้นแม้ว่าทีมของ มิเชล ฮิดัลโก้ จะชนะ ฮังการี ได้ 3-1 ในรอบสุดท้ายก็ไม่เพียงพอที่จะผ่านเข้ารอบได้
ส่วน ฮอลแลนด์ นั้นในคราวนี้ไม่มี ครัฟฟ์ นำทีมมาในตอนแรกจึงไม่ถูกจัดว่าเป็นตัวเต็งเท่าไรนัก แต่ทาง ร็อบบี้ เรนเซนบริงค์ ก็ยังพาทีมเข้ารอบ 2 ได้แบบกระท่อนกระแท่น เมื่อมีประตูได้เสียที่ดีกว่า สก็อตแลนด์ แต่เมื่อเข้ารอบ 2 ไปแล้ว อัศวินสีส้ม ก็เล่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ และพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่ามีดีด้วยการเอาชนะ ออสเตรีย 5-1, ชนะ อิตาลี 2-1 และเสมอกับ เยอร์มันตะวันตก แชมป์เก่า 2-2 ซึ่งก็เพียงพอที่ทำให้พวกเขาเข้าชิงชนะเลิศได้
ขณะที่เกมสูสีกันมากในรอบ 2 ก็คือเกมที่ อาร์เจนตินา เล่นกับ บราซิล และเสมอกันไป 0-0 ทำให้ ทีมฟ้าขาวต้องชนะ เปรู ในได้มากกว่า 4 ประตู เพื่อแซงเข้าชิงชนะเลิศ และในตอนแรกก็คาดกันว่ายังไง บราซิล ก็ต้องได้ชิง แต่สุดท้าย พาสซาเรลล่า นำทีมชนะไป 6-0 โดยมี มาริโอ เคมเปส ยิง 2 ประตูในนัดนี้
ในนัดชิงชนะเลิศทีมของกุนซือ หลุยส์ เมน็อตติ ก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้แล้ว แม้ว่าในช่วงเวลาปกติจะเสมอกับ ฮอลแลนด์ แบบสูสีกัน 1-1 แต่ในการต่อเวลาพวกเขาก็มาเอาชนะได้ 3-1 และ 2 ประตูของ เคมเปส ในนัดนี้ก็ช่วยให้เขาได้รางวัลรองเท้าทองคำไปครองอีกตำแหน่ง รวมทั้งทำให้ชาวอาร์เจนไตน์ ออกมาฉลองบนท้องถนนกันยกใหญ่กับแชมป์โลกสมัยแรกของพวกเขาหลังจากที่รอคอยกันมานาน
ข้อมูลนัดชิงชนะเลิศ อาร์เจนตินา 78
วันที่ 25 มิ.ย. 1978 ที่ ริเวอร์เพลท สเตเดียม
อาร์เจนตินา 3 - 1 ฮอลแลนด์ต่อเวลาพิเศษหลังเสมอกัน 1-1)
ผู้ทำประตู: 1-0 มาริโอ เคมเปส น. 38, 1-1 ดิ๊ค นันนินก้า น. 82, 2-1 มาริโอ เคมเปส น. 105, 3-1 ดาเนียล แบร์ฌตนี่ น. 116
ผู้ชม: 71,483 คน
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
อาร์เจนตินา - อูบัลโด้ ฟิลลอล์, ออสวัลโด้ อาร์ดิเลส (โอมาร์ ลาร์โลซ่า น. 65), ดาเนียล แบร์โตนี่, อเมริโก้ กัลเยโก้, หลุยส์ กัลวาน, เลโอโปลโด ลูเก้, ฮอร์เก้ โอลกูอิน, ออสการ์ ออร์ติส (เรเน่ ฮูเซมัน น.74), ดาเนียล พาสซาเรลล่า, ริคาร์โด้ บิญ่า โค้ช หลุยส์ เมน็อตติ
ฮอลแลนด์ - แยน ยองบลัด, วิม แยนเซ่น (วิม ซูร์เบียร์ น. 72), แบน ปอร์ทเฟลีต, รุด โครล, อาเดรียนุส ฮัน, เรเน่ ฟานเดเคอร์คอฟ, วิลลี่ ฟานเดเคอร์คอฟ, ร็อบ เรนเซนบริงค์, โยฮัน นีสเก้นส์, จอห์นนี่ เรฟ(ดิ๊ค นันนินก้า น. 59), เออร์นี่ บรันด์ทส
ผู้ตัดสิน: แซร์โจ้ โกเนลล่า(อิตาลี), เอริก ลิเนไมเยอร์(ออสเตรีย), ราม่อน บาร์เรโต้(อุรุกวัย)
เรื่องน่ารู้กับอาร์เจนตินา 78
สก็อตแลนด์ สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายที่ อาร์เจนตินา มาได้พร้อมกับความหวังในการเข้ารอบ 2 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อมี เคนนี่ ดัลกลิช กับ แกรม ซูเนสส์ อยู่ในทีม แต่กลับกลายเป็นว่าเริ่มต้นได้ไม่ดี จากการแพ้ เปรู 1-3 และไปเสมอกับ อิหร่าน 1-1 ทำให้นัดสุดท้ายต้องเอาชนะ ฮอลแลนด์ให้ได้ 3 ประตูขึ้นไป
หลังจากที่ ร็อบ เรนเซนบริงค์ ยิงให้ฮอลแลนด์ออกนำก่อน ดัลกลิช ก็มาตีเสมอให้ทีมได้ ก่อนที่ อาร์ชี เกมมิลล์ จะยิงคนเดียว 2 ประตูให้นำ 3-1 ในช่วง 20 นาทีสุดท้าย จึงได้ลุ้นเข้ารอบหากว่าทำได้อีกประตู แต่สุดท้ายเป็น จอห์นนี่ เรป ที่มายิงให้เกมจบที่สกอร์ 3-2 ดังนั้นแม้ว่าจะได้ชัยชนะแต่ทีมวิสกี้ ก็ต้องเก็บข้าวของกลับบ้านไป

-
op
- ผู้เล่นชุดใหญ่

-
- โพสต์: 2503
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 07, 2005 19:59
- ที่อยู่: บ้าน
โดย op » อังคาร พ.ย. 15, 2005 23:03
การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 12 ที่ประเทศสเปน นั้นแม้ว่าพลพรรคอัซซูรี่ จะเป็นทีมที่คว้าแชมป์ไปครอง แต่ก็ถือว่าเป็นฟุตบอลโลกอีกครั้งที่มีคุณภาพสูงเมื่อมีดาราดังๆ ชนิดที่เป็นตำนานมาถึงปัจจุบันลงสนามกันอยู่หลายคนไม่ว่าจะเป็น มิเชล พลาตินี่ ของฝรั่งเศส, ซิโก้ ของบราซิล, คาร์ลไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ ของเยอร์มันตะวันตก รวมทั้งดาวรุ่งของ อาร์เจนตินา ที่ชื่อว่า ดิเอโก มาราโดนา
อิตาลี แม้ว่าจะเป็นทีมแชมป์แต่ก็มาเป็นแชมป์แบบเซอร์ไพรส์ เพราะในรอบแรกนั้นแทบจะเอาตัวไม่รอดต้องผ่านเข้ารอบมาเพราะประตูได้เสียที่ดีกว่า แคเมอรูน แต่พอเข้ารอบสองได้แล้ว กลับกลายเป็นว่าชนะยอดทีมอย่าง บราซิล ได้จึงผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ และคว้าแชมป์ในทีมสุด
บราซิลชุดปี 82 จัดว่าไม่ธรรมดา เพราะดาราในทีมมีเพียบโดยเฉพาะแนวรุกที่หาทีมหยุดยั้งได้ยากไม่ว่าจะเป็น ซิโก้, โซคราเตส, ฟัลเกา และ เอเดอร์ แต่ก็ไม่วายแพ้ให้กับ อิตาลี 2-3 เพราะอัซซูรี่ นั้นมี เปาโล รอสซี่ ที่แจ้งเกิดด้วยการทำแฮตทริกในเกมนี้ ก่อนที่จะไปชนะ เยอร์มันตะวันตก 3-1 ในนัดชิงชนะเลิศ พร้อมด้วยการครองรองเท้าทองคำของ รอสซี่ ด้วยจำนวนประตู 6 ประตู
ฟุตบอลโลกครั้งนี้มีเกมที่น่าจดจำอยู่ 2 นัดด้วยกันคือในเกมที่ อิตาลี ชนะ บราซิล ในรอบ 2 และเกมรอบรองชนะเลิศระหว่าง ฝรั่งเศส กับ เยอร์มันตะวันตก ที่สู้กันถึงการยิงลูกโทษที่จุดโทษ แต่กว่าจะเข้ารอบลึกๆ ในการแข่งขันในครั้งนี้ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ลำบากกว่าที่ผ่านๆ มา จากการที่ ฟีฟ่า เพิ่มทีมในรอบสุดท้ายเป็น 24 ทีมแบ่งเป็น 6 กลุ่ม และรอบสองก็มาแบ่งอีก 4 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ทีม เพื่อหาเอาทีมแชมป์ไปเล่นในรอบรองชนะเลิศกัน
ภายใต้กฎใหม่นี้ก็มีการกำหนดโควตากันใหม่ โดยทีมจากยุโรปนั้นได้เข้ารอบมาทั้งสิ้น 13 ทีม, ทีมจากอเมริกาใต้ 3 ทีม, ทีมจากเอเชีย/โอเชียเนีย 2 ทีม และทีมจากคอนคาเคฟอีก 2 ทีมรวมกับ สเปน เจ้าภาพ และ อาร์เจนตินาแชมป์เก่าเป็น 24 ทีม
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีการเพิ่มทีมเป็น 24 ทีมแล้ว แต่ ฮอลแลนด์ รองแชมป์เมื่อปี 74 และ 78 กลับไม่ผ่านรอบคัดเลือกในคราวนี้เมื่อไปเสร็จให้กับ ฝรั่งเศส ในการแข่งขันรอบคัดเลือก ส่วนเกมที่ถือว่าพลิกล็อคสุดๆ ก็คือ เยอร์มันตะวันตก แพ้ให้กับ แอลจีเรีย 1-2 แต่อินทรีเหล็กยังเข้ารอบได้ด้วยประตูได้เสียที่ดีกว่า เหมือนกับที่ อิตาลี ลำบากมาในรอบแรก
ในรอบ 2 ฝรั่งเศส และ เยอร์มันตะวันตก ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปแบบสบายๆ ขณะที่ อิตาลี แม้ว่าจะต้องอยู่ร่วมกลุ่มกับ บราซิล และ อาร์เจนตินา แชมป์เก่า แต่ก็ผ่านเข้ารอบมาได้ โดยที่ทีมฟ้าขาวชุดนี้มี ดิเอโก มาราโดนา มาเป็นดาวรุ่งแต่ก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้จากการที่มีวัยเพียงแค่ 21 ปี จึงถูกไล่ออกจากสนามไปในเกมกับ บราซิล
รอบรองชนะเลิศ เปาโล รอสซี่ ที่ทำแฮตทริกในเกมกับ บราซิล ในรอบ 2 ยังแรงไม่หยุดยิงคนเดียว 2 ประตูให้ อิตาลีผ่าน โปแลนด์ มา 2-0 ขณะที่เกมอีกคู่นั้น ปิแอร์ ลิทบาร์สกี้ ยิงให้เยอร์มันตะวันตกนำก่อน แต่ฝรั่งเศสก็เสมอได้จาก มิเชล พลาตินี่ จึงต้องต่อเวลา และฝรั่งเศสออกนำถึง 3-1 แต่ก็ถูกตีเสมอ และสุดท้ายทีมจากเมืองเบียร์ชนะจุดโทษ 5-4
ในนัดชิงชนะเลิศ เปาโล รอสซี่ มาทำได้อีกประตู และช่วยให้ทีมเอาชนะ เยอร์มันตะวันตก ไป 3-1 ทำให้ ดิโน่ ซอฟฟ์ กัปตันทีมวัย 40 ปีขึ้นรับถ้วยแชมป์โลกจากกษัตริย์ ฆวน คาร์ลอส ของสเปน พร้อมทั้งเป็นทีมที่ 2 ต่อจาก บราซิล ที่ได้แชมป์โลก 3 สมัย
ข้อมูลนัดชิงชนะเลิศ สเปน 82
วันที่ 11 ก.ค. 1982 ที่ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว
อิตาลี 3 - 1 เยอร์มันตะวันตก
ผู้ทำประตู: 1-0 เปาโล รอสซี่ น. 57, 2-0 มาร์โก ทาร์เดลลี่ น. 69, 3-0 อเลสซานโดร อัลโตเบลลี่ น. 81, 3-1 พอล ไบรท์เนอร์ น. 83
ผู้ชม: 90,000 คน
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
อิตาลี - ดิโน่ ซอฟฟ์, จูเซ็ปเป้ แบร์โกมี่, อันโตนิโอ คาบรินี่, ฟูลวิโอ คอลโลวาติ, เคลาดิโอ เจนติเล่, กาเอตาโน่ สชิเรีย, กาเบรียล โอริอาลี, มาร์โก ทาร์เดลลี่, บรูโน่ คอนติ, ฟรานเชสโก้ กราเซียนี่ (อเลสซานโดร อัลโตเบลลี่ น.7), เปาโล รอสซี่ โค้ช เอนโซ แบร์ซ็อต
เยอร์มันตะวันตก - ฮาราลด์ ชูมัคเกอร์, ฮันส์ ปีเตอร์ บรีเกล, พอล ไบรท์เนอร์, คาร์ลไฮนซ์ ฟอสเตอร์, แบร์นด ฟอร์สเตอร์, โวลฟ์กัง เดรมเลอร์(ฮอร์สท ฮรูเบช น.62), ปิแอร์ ลิทบาร์สกี้, เคล้าส์ ฟิชเชอร์, คาร์ลไฮนซ์ รุมเกมนิกเก้ (ฮันซี่ มุลเลอร์ น.70), อูลี่ สตีลิเก้ โค้ช จุ๊ปป์ แดร์วัลล์
ผู้ตัดสิน: อาร์นัลโด้ โคเอลโญ่ (บราซิล), อบราฮัม ไคลน์ (อิสราเอล),โวจ์เทช (เชคโกสโลวะเกีย)
เรื่องน่าสนใจกับสเปน 82
เกมที่สนาม เอล โมลินอน ในเมือง กิฆอน เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.1982 จัดว่าเป็นเกมที่พลิกล็อคที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกเมื่อ แอลจีเรีย ทีมน้องใหม่ออกยิงนำทีมยักษ์ใหญ่ และแชมป์ 2 สมัย อย่าง เยอร์มันตะวันตกไปก่อน และชนะไปในที่สุด 2-1 จากประตูชัยของ เบลลูมี่
นอร์แมน ไวท์ไซด์ กองหน้าของไอร์แลนด์เหนือ กลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเมื่อตอนที่เขาลงเล่นกับ ยูโกสลาเวีย ที่ซาราโกซ่า นั้นเพิ่งจะมีอายุได้แค่ 17 ปีกับอีก 42 วันเท่านั้น และสถิติที่ยังคงดำเนินอยู่จนถึงทุกวันนี้ ส่วนนักเตะที่แก่ที่สุดนั้นเป็นของ โรเจอร์ มิลล่า ของ แคเมอรูน ที่ลงเล่นกับ รัสเซีย ในปี 1994 ขณะที่มีอายุได้ 42 ปีกับอีก 39 วัน
ในปี 1982 ยังมีเกมที่ชนะกันขาดลอยที่สุดในรอบสุดท้ายเมื่อ ฮังการี เอาชนะ เอลซัลวาดอร์ ได้ถึง 10-1 ทำให้ทำลายสถิติที่พวกเขาชนะ เกาหลีใต้ 9-0 เมื่อปี 1954 และ ยูโกสลาเวีย ชนะ ซาอีร์ 9-0 ในปี 1974

-
op
- ผู้เล่นชุดใหญ่

-
- โพสต์: 2503
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 07, 2005 19:59
- ที่อยู่: บ้าน
โดย op » อังคาร พ.ย. 15, 2005 23:03
การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 13 นั้น เม็กซิโก ถือว่าส้มหล่นเมื่อได้เป็นเจ้าภาพ หลังจากที่โคลัมเบียนั้นประกาศตัวว่าไม่สามารถจัดการแข่งขันได้ในปี 1983 ทำให้เม็กซิโก เป็นชาติแรกที่ได้เป็นเจ้าภาพ 2 ครั้ง แต่กว่าจะจัดการแข่งขันได้ก็ถือว่ามีอุปสรรคเหมือนกันเพราะเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งโชคดีที่ไม่กระทบกระเทือนกับการเตรียมงานมากนัก แต่ก็ทำให้มีคนเสียชีวิตไปร่วม 2 หมื่นคน แต่ในฟุตบอลโลกครั้งนี้คงไม่มีใครเด่นไปกว่า ดิเอโก มาราโดนา อีกแล้ว
ในปี 86 ก็มีเกมที่น่าจดจำอยู่พอควรและที่หลายคนมองว่าเป็นเกมที่ดีที่สุดของฟุตบอลโลกก็คือเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่ บราซิล เจอกับ ฝรั่งเศส รวมทั้งเกมรอบรองชนะเลิศของ เยอรมนีตะวันตก กับ ฝรั่งเศส และ "หัตถ์พระเจ้า" ของ มาราโดนา ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายของอาร์เจนตินา กับ อังกฤษ
ในเกมศึกฟอร์คแลนด์ ระหว่าง อาร์เจนตินา กับ อังกฤษ มาราโดนา ได้ชื่อว่าเป็นคนทำ 2 ประตู ให้ทีมชนะไป 2-1 แต่หนึ่งในนั้นเป็นประตูที่เขาใช้มือชกบอลเข้าประตูไป แต่ผู้ตัดสินนั้นผิดพลาดตัดสินให้เป็นประตูจึงเกิดตำนานที่ชื่อว่า "แฮนด์ ออฟ ก็อด" ขึ้นมา และจากนั้นทีมฟ้าขาวก็เดินหน้าผ่าน เบลเยียม ก่อนที่จะได้แชมป์ด้วยการเฉือน เยอรมนีตะวันตก 3-2 ต่อหน้าผู้ชม 115,000 คน ในสนามอัซเตกา สเตเดียม
การแข่งขันครั้งนี้ยังมี 24 ทีม ที่ร่วมการแข่งขันในรอบสุดท้ายเหมือนกับที่สเปน แต่ในรอบ 2 นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเมื่อใช้วิธีจับคู่เตะน็อคเอาท์ในรอบ 16 ทีม สุดท้ายไปเลย ดังนั้นทีมอันดับ 3 ของบางกลุ่มก็ยังมีโอกาสที่ได้เข้ารอบ และก็มีทีมที่สร้างสีสันทีมใหม่ขึ้นมาคือ โมร็อกโก ที่เป็นทีมจากแอฟริกาทีมแรกที่ผ่านเข้าถึงรอบสอง
ฝรั่งเศส ยังเป็นทีมที่แฟนบอลให้การติดตามกับการเล่นที่สวยงามของพวกเขา โดยเฉพาะสี่ขุนพลในแดนกลางที่ประกอบไปด้วย มิเชล พลาตินี, อแลง ชิเรสส์, ฌอน ติกานา และหลุยส์ แฟร์น็องเดซ ซึ่งทีมตราไก่ชุดนี้ก็ประกาศศักดาว่าได้ลุ้นถึงแชมป์ด้วยการเขี่ย อิตาลี แชมป์เก่าด้วยสกอร์ 2-0 ในรอบ 2 และมาชนะ บราซิล ในการดวลจุดโทษของรอบ 8 ทีมสุดท้าย
แซมบ้าของกุนซือ เทเล ซานตานา จัดว่าโชคร้ายอย่างยิ่งในเกมที่เล่นกับ ฝรั่งเศส เพราะแม้ว่าเกมจะจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 ใน 120 นาที แต่พวกเขาก็ยิงชนเสาไปถึง 2 ครั้ง และมีโอกาสน่าจะชนะใน 90 นาที จากการได้ลูกจุดโทษก่อนหมดเวลา 12 นาที แต่ โจเอล บัตส์ ถือเป็นฮีโร่ของฝรั่งเศสที่เซฟลูกยิงของ ซิโก้ เอาไว้ได้ และสุดท้ายทีมตราไก่ก็ยิงลูกโทษชนะไป 4-3 แต่สุดท้ายก็ไปแพ้ให้กับ เยอรมนีตะวันตก ที่นำทีมโดยเทรนเนอร์ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ และมี โลธาร์ มัทเธอุส เป็นดาวรุ่ง ในรอบรองชนะเลิศ 0-2
ขณะที่ อาร์เจนตินา นั้นผ่านเบลเยียมในรอบรองชนะเลิศมาแบบสบายๆ ด้วยสกอร์เดียวกับทีมอินทรีเหล็ก มาถึงเกมนัดชิงชนะเลิศ นั้นถือว่าเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมอีกเกมเพราะมีการทำประตูกันถึง 5 ประตู โดยทางฟ้าขาวนั้นออกนำก่อนถึง 2-0 แต่ อินทรีเหล็ก ก็มาตามตีเสมอได้ก่อนที่ มาราโดนา จะใช้ทีเด็ดของตัวเองแทงบอลให้ โฮเซ บูร์รูชากา ยิงประตูตัดสินก่อนหมดเวลา 7 นาที อาร์เจนตินาได้แชมป์โลกสมัยที่ 2 ไปครอง
ข้อมูลนัดชิงชนะเลิศ เม็กซิโก 86
วันที่ 29 มิ.ย.1986 ที่ อัซเตกา สเตเดียม
อาร์เจนตินา 3 - 2 เยอรมนีตะวันตก
ผู้ทำประตู: 1-0 โฮเซ หลุยส์ บราวน์ น. 23, 2-0 ฮอร์เก วัลดาโน น. 55, 2-1 คาร์ลไฮนซ์ รุมเมนิกเก น. 74, 2-2 รูดี โฟลเลอร์ น. 80, 3-2 โฮเซ บูร์รูชากา น. 83
ผู้ชม: 114,600 คน
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
อาร์เจนตินา - เนรี ปุมปิโด, โฮเซ หลุยส์ บราวน์, โฮเซ บูร์รูชากา (มาร์เชโล ทรอมเบียนี น. 90), โฮเซ คูคุฟโฟ, ดิเอโก มาราโดนา, ฮอร์เก วัลดาโน, เฮคเดอร์ เอ็นริเก, ริคาร์โด จุสติ, ฮูลิโอ โฮลาร์ติโกเชีย, ออสการ์ รุกเกอรี โค้ช คาร์ลอส บิลาร์โด
เยอรมนีตะวันตก - ฮาราร์ด ชูมัคเกอร์, ฮันส์ ปีเตอร์ บรีเกล, อันเดรียส์ เบรห์เม, คาร์ลไฮนซ์ ฟอสเตอร์, นอร์เบิร์ต เอเดอร์, โลธาร์ มัทเธอุส, เฟลิกซ์ มากัธ (ดีเตอร์ เฮอร์เนสส์ น. 62), คาร์ลไฮนซ์ รุมเมนิกเก, โธมัส แบร์โธลด์, ดีทมาร์ ยาค็อปส์, เคลาส์ อัลลอฟส์ (รูดี โฟลเลอร์ น. 45) โค้ช ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์
ผู้ตัดสิน: โรมูอัลโด ฟิลโญ (บราซิล), เบอร์นี โมเรรา (คอสตาริกา), เอริค เฟรดริคส์สัน (สวีเดน)
เรื่องน่ารู้กับเม็กซิโก 82
4 ปี ก่อนหน้านี้ ฝรั่งเศส ก็เพิ่งแพ้ให้กับ เยอรมนีตะวันตก ในการดวลจุดโทษรอบรองชนะเลิศไปหมาดๆ ในฟุตบอลโลก 1986 ฝรั่งเศส ก็แพ้ให้กับ อินทรีเหล็กอีกครั้ง แต่คราวนี้ เยอรมนีตะวันตกมี อันเดรียส์ เบรห์เม กับ รูดี โฟลเลอร์ ทำคนละประตูให้ทีมชนะไป 2-0
เกมในวันที่ 21 มิ.ย. ฝรั่งเศส มีโชคในเกมที่ชนะบราซิลในรอบ 8 ทีม สุดท้ายเมื่อ โซคราเตส และ ฮูลิโอ ซีซาร์ นั้นยิงจุดโทษให้บราซิลพลาด และในวันเดียวกันนั้น เยอรมนีตะวันตก ได้แสดงให้เห็นถึงความชัวร์ในการดวลจุดโทษ ด้วยการเอาชนะเม็กซิโก เจ้าภาพ

-
op
- ผู้เล่นชุดใหญ่

-
- โพสต์: 2503
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 07, 2005 19:59
- ที่อยู่: บ้าน
โดย op » อังคาร พ.ย. 15, 2005 23:04
หลังจากที่พลาดหวังมาในการชิงชนะเลิศ 2 ครั้ง ติดต่อกันของ เยอรมนีตะวันตก มาคราวนี้ อินทรีเหล็ก คว้าแชมป์สมัยที่ 3 มาครอง แต่การแข่งขันที่อิตาลีนั้นครั้งนี้นั้นมีเรื่องที่น่าผิดหวังตรงที่ หลายทีมเล่นกันแบบเน้นเกมรับ ดังนั้นจึงมีหลายคู่ที่ต้องตัดสินผลแพ้ชนะกันด้วยการดวลจุดโทษ
โดยเฉพาะในนัดชิงชนะเลิศ ที่แม้ว่าจะไม่ต้องดวลจุดโทษตัดสิน แต่ เยอรมนีตะวันตกต้องใช้ลูกจุดโทษของ อันเดรียส์ เบรห์เม ในการคว้าแชมป์โลกมาครอง และ อาร์เจนตินา ผู้แพ้ในนัดชิงก็เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกที่ไม่สามารถทำประตูได้ในนัดชิงชนะเลิศ รวมทั้งมีผู้เล่นถูกไล่ออกจากสนามถึง 2 คน ด้วยกัน และทั้งสองทีมต่างก็ผ่านรอบรองชนะเลิศมาด้วยการยิงจุดโทษเมื่อ อาร์เจนตินานั้นผ่านอิตาลีเจ้าภาพ และเยอรมนี นั้นผ่าน อังกฤษมา
ทีมเซอร์ไพรส์แห่งปี 90 นั้นเป็นของ "หมอผี" แคเมอรูน ที่หลุดเข้ามาได้ถึงรอบ 8 ทีม สุดท้าย และ คอสตาริกา ที่เข้ารอบ 16 ทีม สุดท้ายได้ รวมทั้งมี โรเจอร์ มิลลา ที่ติดทีมมาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายแม้ว่าจะมีวัยปาเข้าไป 38 ปีแล้วก็ตาม นอกจาก มิลลา ที่เป็นที่จดจำจากการเป็นนักเตะที่แก่ที่สุดที่ทำประตูในรอบสุดท้ายด้วยอายุ 38 ปี กับอีก 20 วันแล้ว นักเตะคนอื่นๆ ที่เซอร์ไพรส์ขึ้นมาก็ยังมี ซัลวาตอเร สคิลลาชี และแซร์จิโอ กอยโกเชีย อีก 2 คน
โดยที่เจ้า "โตโต้" สคิลลาชี ของอิตาลีนั้นโผล่มาเป็นดาวยิงสูงสุดของทัวร์นาเม้นท์นี้จากการยิงไป 6 ประตู ได้อย่างเหลือเชื่อเพราะก่อนหน้าการแข่งขันรอบสุดท้ายนั้นเพิ่งจะลงเล่นในนามทีมชาติได้ไม่กี่นัด และก็ลงมาเล่นด้วยการเป็นตัวสำรองแต่สุดท้ายก็ระเบิดฟอร์มจนเกือบพาทีมเข้าชิงชนะเลิศได้
ส่วน กอยโกเชีย นายทวารของทีมฟ้า-ขาวก็ทำผลงานได้อย่างเหลือเชื่อเมื่อ เนรี ปุมปิโด นายทวารมือหนึ่งเกิดเจ็บในเกมเปิดสนามกับ แคเมอรูน และลงเล่นแทนมา 7 นัดเสียเพียงแค่ 2 ประตู เท่านั้น โดยในรอบรองชนะเลิศที่ทั้งสองคนมาเจอกันเอง แม้ว่าสคิลลาชี จะยิงได้ 1 ประตู แต่ อาร์เจนตินา ก็ได้ เคลาดิโอ คานิกเกีย ที่จับคู่กับ ดิเอโก มาราโดนา ดับ บราซิล มายิงตีเสมอให้ทีมก่อนจะชนะลูกโทษ ซึ่งก่อนหน้านี้กอยโกเชียก็ช่วยให้ฟ้า-ขาว ผ่าน ยูโกสลาเวีย ในการดวลจุดโทษมาแล้วในรอบ 2
ขณะที่เส้นทางของทีมแชมป์นั้นเริ่มมาอย่างสวยงามตั้งแต่ต้นเมื่อชนะ ยูโกสลาเวีย 4-1, ชนะ ยูเออี 5-1 และ เสมอโคลัมเบีย 1-1 ในรอบแรก ก่อนที่รอบสองจะชนะ ฮอลแลนด์ 2-1 ตามด้วยการพิชิต เช็กโกสโลวะเกีย 1-0 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และยิงลูกโทษชนะ อังกฤษ 4-3 ในรอบรองชนะเลิศหลังจากที่ในเวลาเสมอกัน 1-1
ในนัดชิงชนะเลิศแม้ว่าเยอรมนีตะวันตก จะต้องเอาชนะด้วยการเป่าจุดโทษของผู้ตัดสินชาวเม็กซิกัน แต่เรื่องของรูปเกมนั้นทีมอินทรีเหล็ก ทำได้เหนือกว่ามากจากการที่มีนักเตะชั้นยอดในทีมมากมายไม่ว่าจะเป็น โลธาร์ มัทเธอุส, อันเดรียส์ เบรห์เม, รูดี โฟลเลอร์, เจอร์เกน คลินส์มันน์, เจอร์เกน โคห์เลอร์ และโธมัส เฮสเลอร์ รวมไปถึงมี ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ เป็นกุนซือ จึงจัดว่าเป็นปีที่เหมาะสมที่สุดที่อินทรีเหล็กจะได้แชมป์โลก 3 สมัย เป็นทีมที่ 3 ต่อจาก บราซิล และ อิตาลี
ข้อมูลนัดชิงชนะเลิศ อิตาเลีย 90
วันที่ 8 ก.ค.1990 ที่โอลิมปิก กรุงโรม
เยอรมนีตะวันตก 1 - 0 อาร์เจนตินา
ผู้ทำประตู: 1-0 อันเดรียส์ เบรห์เม จุดโทษ น. 85
ผู้ชม: 73,603 คน
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เยอรมนีตะวันตก - โบโด อิล์กเนอร์, อันเดรียส์ เบรห์เม, เจอร์เกน โคห์เลอร์, เคลาส์ เอาเกนธาเลอร์, กีโด บุ๊ควัลด์, ปิแอร์ ลิทบาร์สกี, โธมัส เฮสเลอร์, รูดี โฟลเลอร์, โลธาร์ มัทเธอุส, โธมัส แบร์โธลด์, เจอร์เกน คลินส์มันน์ โค้ช ฟราน เบคเคนบาวเออร์
อาร์เจนตินา - แซร์จิโอ กอยโกเชีย, โฮเซ บาซูอัลโด, โฮเซ บูร์รูชากา, กุสตาโว เดซ็อตติ, ดิเอโก มาราโดนา, เนสเตอร์ โลเรนโซ, โรแบร์โต เซนซินี, โฮเซ แซร์ริซูเอลา, ออสการ์ รุกเกอรี, ฮวน ซิโมน, เปรโดร ทรอกลิโอ โค้ช คาร์ลอส บิลาร์โด
ใบแดง - เปโดร มอนซอน (อาร์เจนตินา) น. 65, กุสตาโว เดซ็อตติ (อาร์เจนตินา) น .87
ผู้ตัดสิน: เอดการ์โด เมนเดซ (เม็กซิโก), อาร์มันโด โฮเยส (โคลัมเบีย), มิชาล ลิสท์เควิช (โปแลนด์)
เรื่องน่ารู้กับ อิตาเลีย 90
โตโต้ สคิลลาชี เจ้าของรางวัลรองเท้าทองคำในครั้งนี้ถือว่าโด่งดังขึ้นมาในช่วงข้ามคืน เพราะก่อนหน้าที่จะทำการแข่งขันฟุตบอลโลก กองหน้าของยูเวนตุสรายนี้เพิ่งจะเล่นให้กับทีมชาติอิตาลีชุดใหญ่มาเพียงแค่นัดเดียวเท่านั้น แต่ในนัดแรกที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาในเกมกับ ออสเตรีย ก็แจ้งเกิดได้ด้วยการยิงประตูชัยให้ทีมชนะไป 1-0 จนได้เปลี่ยนตัวมาในเกมกับสหรัฐอีกครั้ง และแม้ว่าจะยิงไปได้แต่จากนั้นไปเขาก็ยิงประตูให้ทีมได้ทุกนัดที่ลงสนาม รวมทั้งเกมชิงที่ 3 ที่อิตาลี เอาชนะอังกฤษ 2-1 แต่จากนั้นเขาก็ค่อยๆ หายไปจากทีมชาติ จึงถือว่าเป็นดาราของอัซซูรี่ ได้เพียงแค่ 3 สัปดาห์ เท่านั้น

-
op
- ผู้เล่นชุดใหญ่

-
- โพสต์: 2503
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 07, 2005 19:59
- ที่อยู่: บ้าน
โดย op » อังคาร พ.ย. 15, 2005 23:05
ฟุตบอลโลกที่สหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ไปเล่นในดินแดนที่เป็นกลางระหว่าง ยุโรป กับ อเมริกาใต้ และเกมการแข่งขันที่ออกมาก็จัดว่าเป็นฟุตบอลโลกที่ดีจะติดอยู่ก็เพียงแค่ในนัดชิงชนะเลิศที่ บราซิล กับ อิตาลี เล่นกันโดยไม่มีประตูเกิดขึ้นเท่านั้นแต่ในเกมอื่นนั้นมีทั้งการถล่มประตูกัน ความตื่นเต้น น้ำตา และเรื่องเซอร์ไพรส์ที่เป็นบทละครได้ลงตัวเหลือเกิน
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในฟุตบอลโลกครั้งนี้นั้นมีสิ่งที่น่าสนอยู่ที่เซอร์ไพรส์ของ บัลแกเรีย ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยประสบชัยชนะในรอบสุดท้ายแต่คราวนี้เข้าไปได้ถึงรอบรองชนะเลิศ โดยเฉพาะในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่เอาชนะ เยอรมนี ที่รวมประเทศเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ ดิเอโก มาราโดนา ถูกขับออกจากการแข่งขันจากการถูกตรวจพบสารกระตุ้น และเรื่องน่าเศร้าที่ อันเดรส เอสโคบาร์ กองหลังของโคลัมเบีย โดนยิงเสียชีวิตหลังจากที่ทำเข้าประตูตัวเองและกลับบ้านเกิดไปได้ไม่กี่วัน
ส่วนเจ้าภาพสหรัฐแม้ว่าจะเป็นทีมเล็กๆ แต่ภายใต้การนำทีมของ โบรา มิลูติโนวิช ก็สามารถผ่านเข้ารอบสองได้ และแม้ว่าจะแพ้บราซิลในรอบต่อมา แต่ก็ถือว่าเล่นได้อย่างสูสี โดยบรรดาทีมเต็งของการแข่งขันนั้นแซมบ้าจัดว่าเป็นทีมที่เล่นได้ยอดเยี่ยมเด่นชัดที่สุด และก็สมควรแล้วกับการได้แชมป์โลกสมัยที่ 4 เป็นทีมแรกของโลก
การแข่งขันครั้งนี้นั้นเริ่มพังสถิติกันมาตั้งแต่การแข่งขันในรอบคัดเลือก เมื่อมีทีมเข้าร่วมการแข่งขันมากเป็นประวัติการณ์ถึง 147 ประเทศ แต่ทีมจากยุโรปหลายทีมก็ไม่ได้เล่นในทัวร์นาเม้นท์นี้ทั้ง "สิงโตคำราม" อังกฤษ, เดนมาร์ก แชมป์ยุโรปปี 1992, โปรตุเกส, โปแลนด์ รวมทั้ง ฝรั่งเศส ที่ตกรอบเพราะแพ้ บัลแกเรีย ในเกมรอบคัดเลือกนัดสุดท้าย และ ยูโกสลาเวีย ที่ติดปัญหาสงครามกลางเมือง
สถิติอีกอย่างที่เกิดขึ้นก็คือเรื่องของผู้ชมที่มีผู้เข้าชมเกมในสนามถึง 3,587,538 คน ด้วยกัน เรื่องระบบการแข่งขันยังคงมี 24 ทีม แต่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการคิดคะแนนโดยเป็นครั้งแรกที่ให้ 3 คะแนน กับผู้ชนะไม่เหมือนที่เคยได้แค่ 2 คะแนน เหมือนก่อน
ทีมม้ามืดของการแข่งขันในรอบแรกก็คือ ซาอุดีอาระเบีย จากเอเชียที่เข้ารอบสองในครั้งนี้ได้ รวมทั้ง ซาอิด โอไวรัน ดาวเด่นของทีมยังยิงประตูที่ดีสุดของทัวร์นาเม้นท์นี้เมื่อลากเดี่ยวครึ่งสนามไปยิงเบลเยียม
รอบที่น่าสนใจที่สุดของการแข่งขันครั้งนี้ก็คือรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่ บราซิล ต้องพบกับ "กังหันลม" ฮอลแลนด์ ในเกมสุดมันส์ที่ บรังโก้ ยิงฟรีคิกให้ทีมชนะไป 3-2, อิตาลี ก็ไม่ยอมตายง่ายๆ ในรอบ 16 ทีม สุดท้าย ทั้งๆ ที่ถูก ไนจีเรีย นำไป 1-0 จนเหลือเวลาอีก 90 วินาที จะหมดเวลาและมีผู้เล่นแค่ 10 คน แต่ก็ยังได้ โรแบร์โต บักโจ้ มาตีเสมอก่อนจะชนะ 2-1 ในช่วงต่อเวลา ก็พลิกสถานการณ์ด้วยบักโจ้ ชนะ สเปน 2-1 และที่สุดของรอบนี้ก็คือ เยอรมนี แชมป์เก่าต้องตกรอบเพราะ บัลแกเรีย ด้วยสกอร์ 1-2
สำหรับเกมนัดชิงชนะเลิศนั้นเป็น บราซิล ที่เฉือน สวีเดน มา 1-0 ในรอบรองชนะเลิศพบกับ อิตาลี ที่ผ่านบัลแกเรีย มา 2-1 กลับกลายเป็นเกมที่น่าเบื่อเนื่องจากทั้งคู่เน้นในเรื่องของเกมรับแน่นจนเกินไป โรมาริโอ กับ เบเบโต้ ที่ฟอร์มดีมาตลอดก็เล่นไม่ออก ดังนั้นนัดนี้จึงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกที่ต้องตัดสินแชมป์กันด้วยการยิงลูกโทษตัดสิน
และแล้วก็เป็น โรบี บักโจ้ ที่เล่นดีมาตลอดทั้งทัวร์นาเม้นท์ที่เป็นคนพลาดในการดวลจุดโทษ ทำให้บราซิลได้แชมป์สมัยที่ 4 ไปครองซึ่งก็เป็นครั้งแรกของพวกเขาในรอบ 24 ปี
ข้อมูลนัดชิงชนะเลิศ ยูเอสเอ 94
วันที่ 17 ก.ค. 1994 ที่โรส โบว์ล
บราซิล 0 - 0 อิตาลีบราซิลชนะลูกโทษ 3-2)
ผู้ทำประตู: ไม่มี
ผู้ชม: 94,194 คน
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
บราซิล - ทัฟฟาเรล, จอร์จินโญ (คาฟู น. 21), เมาโร ซิลวา, บรังโก้, เบเบโต้, ดุงกา, ซินโญ (วิโอลา น. 106), โรมาริโอ, อัลแดร์เอีย, มาซิโอ ซานโตส, มาซินโญ โค้ช คาร์ลอส อัลแบร์โต ปาร์ไรรา
อิตาลี - จิอันลูกา ปายูกา, อันโตนิโอ เบนาริโว, เปาโล มัลดินี, ฟรังโก บาเรซี, โรแบร์โต มุสซี (ลุยจิ อปอลโลนี น. 35), โรแบร์โต บักโจ้, เดเมทริโอ อัลแบร์ตินี, ดิโน บักโจ้ (อัลเบริดเก เอวานี น. 95), นิโกลา แบร์ตี, โรแบร์โต โดนาโดนี, ดานิเอเล มัสซาโร โค้ช อาร์ริโก ซาคคี
ผู้ตัดสิน: ซานดอร์ พูห์ล (ฮังการี), เวนันซิโอ คอนเซปซิโอ(ปารากวัย), ฟานาเอล ดาวูด (อิหร่าน) สำรอง ออสการ์ ลาโมลินา (อาร์เจนตินา)
เรื่องน่ารู้กับยูเอสเอ 94
โรเจอร์ มิลลา ยังตามมายิงประตูให้ แคเมอรูน ในฟุตบอลโลกคราวนี้ด้วยการยิงในเกมที่แพ้ รัสเซีย 1-6 ในรอบแรกจึงได้บันทึกชื่อให้เป็นนักเตะที่แก่ที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายด้วยอายุ 42 ปี 1 เดือนกับอีก 8 วัน ส่วนนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ก็คือ เปเล่ ที่ยิงประตูในเกมกับ เวลส์ เมื่อปี 1958 ที่สวีเดน เมื่อตอนนั้นเขาเพิ่งอายุได้ 17 ปี กับอีก 239 วัน
โอเล็ก ซาเลนโก กองหน้าของรัสเซียไม่ได้เป็นตัวจริงให้กับรัสเซีย ในทุกนัดที่ 2 สนาม แต่การยิงคนเดียว 5 ประตู ในเกมกับแคเมอรูนนั้นทำให้เขายิงประตูได้ 5 ประตู ในการลงสนามให้ทีมชาติเป็นนัดที่ 7 และใช้เวลาไม่ถึง 60 นาที แต่หลังจากนั้นเขาก็ต้องเลิกเล่นก่อนเวลาอันควรเนื่องจากสุขภาพไม่ดี

-
op
- ผู้เล่นชุดใหญ่

-
- โพสต์: 2503
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 07, 2005 19:59
- ที่อยู่: บ้าน
ย้อนกลับไปยัง ฟุตบอลระดับชาติ
ผู้ใช้งานขณะนี้
่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน
|
|
|
|