'มีผีโขมดลุกขึ้นมาจากหลุมฝังศพบนผืนแผ่นดินไทย ด้วยดวงวิญญาณที่ขาดความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเอง ก็ได้นำเอานายทุนต่างชาติรายใหญ่..ในตะวันออกกลาง มาลงทุนตั้งบริษัททำนาผลิตข้าวในประเทศไทย'
เมื่อพูดถึงผีโขมด คนโบราณมักกล่าวถึงพฤติกรรมของบุคคลที่อยู่อย่างเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ ความจริงการดำเนินชีวิตของผู้เขียนเท่าที่ผ่านพ้นมาแล้วสามารถกล่าวได้ว่า หนึ่งในหลายๆ ข้อที่ถือปฏิบัติตลอดมาก็คือ อยู่อย่างเคารพในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวว่า อยู่อย่างไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม
อยู่มาบนแผ่นดินผืนนี้ จนกระทั่งมีอายุ 86 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยได้เห็นผีโขมดที่ชาวบ้านเขาร่ำลือกันมาเป็นช่วงๆ ว่า ดวงวิญญาณของคนที่เปรียบเสมือนผีโขมดนั้นมันร้ายยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด
เคยกล่าวย้ำไว้หลายครั้งหลายหนว่า การเกษตรคือกองทัพเศรษฐกิจของชาติ ใครคิดทำลายการเกษตรก็เท่ากับทรยศต่อแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเอง ซึ่งสมควรแล้วที่จะได้รับการประณามว่าเป็นคนขายชาติ
ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 5 ปีมาแล้ว บรรยากาศของการจัดงานพิธีที่ทำเนียบรัฐบาลขณะนั้น พิจารณาครั้งใดมันเปรียบเสมือนเปรตที่ลุกขึ้นมาจากหลุมฝังศพ เปรตจำพวกนี้ชอบสีสันที่นำมาประดับร่างกายเอาไว้ ให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่ตนเอง แต่สิ่งที่น่าอับอายที่สุดก็คือเบื้องหลังชีวิตเปรตเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีการสูบเลือดสูบเนื้อของประชาชนเอามาบริโภคเป็นอาหาร โดยไม่เกรงต่อบาปบุญคุณโทษ
ไม่คิดเลยว่า บรรยากาศภายในสังคมไทย มันจะเต็มไปด้วยภูตผีปีศาจจำพวกนี้ ซึ่งนับวันจะทำให้แผ่นดินผืนนี้ต่ำลงไปเรื่อยๆ ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้เสียแล้ว แผ่นดินผืนนี้ก็คงจะสูงยิ่งขึ้น ให้เป็นที่ภาคภูมิใจของคนไทยทุกคน
เคยกล่าวเอาไว้ว่า ข้าวเป็นวัฒนธรรมอาหารและการเกษตรของคนไทยมาแต่โบราณกาล นอกจากนั้น จารีตประเพณีของไทย ก็ได้มีการสืบทอดกระแสอิทธิพลภายในรากฐานจิตใจคน ให้สำนึกได้ถึงความเป็นไทแก่ตัวเอง
ทุกวันนี้แม้แต่ในด้านการจัดการศึกษา เราก็หาเยาวชนคนไทยที่ลุกขึ้นมายืนหยัดต่อสู้กับใจตนเองให้เข้มแข็งอยู่ได้ น้อยลงไปทุกขณะ
ภาษิตโบราณที่เคยกล่าวฝากเอาไว้ว่า "ชีวิตชาวนาเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของชาติ" ซึ่งวิญญาณบรรพบุรุษที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แม้แต่กองทัพไทยที่มุ่งหน้าไปรบให้แก่ชาติบ้านเมือง ก็ยังส่งหน่วยเกษตรกรรมไปทำนาปลูกข้าวเอาไว้ล่วงหน้าสมกับภาษิตโบราณที่กล่าวเอาไว้ว่า "กองทัพเดินด้วยท้อง"
นึกถึงกองทัพสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแล้วลองหวนกลับมามองอีกด้านหนึ่งว่า "ขณะนี้ถ้าต่างชาติคิดจะบุกเข้ามาเป็นเจ้าของแผ่นดินไทย ก็คงต้องส่งคนเข้ามาปลูกข้าวเอาไว้ล่วงหน้า" ซึ่งประเด็นนี้เองที่มองดูอย่างรู้เท่าทันแล้วจะเห็นได้ว่า อนาคตของแผ่นดินไทย คงไม่แคล้วไปจากการถือครองโดยคนชาติอื่น
สิ่งเหล่านี้มาถึงยุคปัจจุบันขอถามว่า "หลายคนลืมไปแล้วหรือ?"
มีคำปรามาสเกิดขึ้นในช่วงหลังๆ ว่า "คนไทยลืมง่าย" นอกจากนั้น ยังมีอีกประโยคหนึ่งซึ่งนิยมนำมากล่าวกันอย่างกว้างขวางข้อความประโยคนี้ได้แก่ "คนไทยส่วนใหญ่เห็นเงินตาโต" ถ้าจะถามว่าเป็นเพราะเหตุใด ความจริงหาคำตอบได้ไม่ยากว่า เพราะคนไทยยุคนี้ส่วนใหญ่ขาดสติสัมปชัญญะ คงมีแต่ความโลภโมโทสัน อยากได้ทรัพย์สมบัติที่ไม่ควรจะเป็นของตัวเอง จนกระทั่งคิดทรยศต่อแผ่นดิน
มาถึงปัจจุบันได้รับรายงานข่าวที่น่าเศร้าใจที่สุดว่า "มีผีโขมดลุกขึ้นมาจากหลุมฝังศพบนผืนแผ่นดินไทย ด้วยดวงวิญญาณที่ขาดความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเอง ก็ได้นำเอานายทุนต่างชาติรายใหญ่จากประเทศหนึ่งในตะวันออกกลาง มาลงทุนตั้งบริษัททำนาผลิตข้าวในประเทศไทย"
ถึงแม้ว่าการตั้งบริษัทดังกล่าว จะมีชาวนาและเกษตรกรเป็นกรรมการร่วมด้วย แต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่รู้ดีว่า รากฐานจิตใจของคนไทยส่วนใหญ่มีนิสัยเห็นเงินตาโตไปเสียแล้ว
ได้แต่รำพึงอยู่ในใจว่า "อนิจจาชาวนาไทย ชีวิตยังไม่ทันจะสิ้นกรรม ก็มาถูกดวงวิญญาณของผีรายนี้บริโภคไปเป็นอาหารเสียแล้ว"
ใครได้อ่านบทความเรื่องนี้แล้วอย่าเพิ่งเชื่อ ขอให้จับตาดูพื้นที่ในภาคกลาง ซึ่งได้แก่จังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดอ่างทอง ซึ่งพื้นที่ผืนนี้มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งในด้านดินและในด้านน้ำ แต่ชาวนาไทยก็ยังตกอยู่ในสภาพที่ยากจน จนกระทั่งแทบจะเอาตัวไม่รอด
ผู้เขียนคงมีคำถาม ถามผู้คนที่ยังมีจิตวิญญาณเป็นไทแก่ตนเอง แม้จะเหลือไม่มากนักว่า เหตุใดถึงได้นอนหลับสลบไสล จนกระทั่งไม่รู้ว่าแผ่นดินผืนนี้กำลังจะสิ้นลมปราณ
แล้วใครล่ะที่จะลุกขึ้นมาช่วยกันกอบกู้อิสรภาพให้แก่ชาติบ้านเมือง นอกจากนั้น ยังมีคำถามต่อไปอีกว่า "ความภูมิใจในตนเองของคนไทย นับตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน มันได้หายไปไหนจนเกือบจะหมดสิ้นแล้วละหรือ"
นึกถึงดวงวิญญาณของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ได้ทรงกอบกู้แผ่นดินผืนนี้เอาไว้ให้ลูกหลานไทยได้ทำมาหากินกันอยู่ในปัจจุบัน
เมื่อคืนนี้ผู้เขียนนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่ตึก ภปร. แต่ดวงวิญญาณได้ฝันถึงพระองค์ท่าน
เมื่อประมาณสองปีที่ผ่านมา เดินทางขึ้นไปภาคเหนือ ผ่านดอยเชียงดาวขึ้นไป จนกระทั่งถึงอำเภอเวียงแหงชายแดนพม่า
ไปยืนอยู่ตรงนั้น ได้เห็นพระแท่นที่บรรทมของพระองค์ท่านอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนด้านหลังเป็นที่นอนของแม่ทัพไทยใหญ่ กับอีกด้านหนึ่งเป็นที่นอนพักแรมของแม่ทัพกรุงศรีอยุธยา
ได้ทราบว่า ตอนที่ท่านยกทัพออกมาจากกรุงศรีอยุธยานั้น มีรี้พลอยู่ไม่ถึงแสนคน ครั้นมาถึงอำเภอเวียงแหง ปรากฏว่ามีรี้พลจากกองทัพไทยใหญ่เข้ามาสมทบ จนกระทั่งมีกำลังเกือบสองแสนคน
แสดงให้เห็นถึงบุญบารมีของพระองค์ท่าน แต่คนเดี๋ยวนี้นิยมอำนาจและเงินตรา จนกระทั่งไม่รู้คุณค่าของคำว่า "บุญบารมี"
ไปยืนพิจารณาอยู่ตรงนั้น ได้เห็นทหารจากกองทัพภาคที่ 3 ไปยืนเฝ้าเวรยามอยู่ตรงนั้นจำนวนหนึ่ง
ยืนหลับตายกมือไหว้ดวงวิญญาณของพระองค์ท่าน ใครจะว่าสมัยนั้นบ้านเมืองเป็นเผด็จการ หรือเป็นประชาธิปไตยก็สุดแล้วแต่ แต่ก็ทำให้ประเทศชาติอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
แล้วขอถามชนรุ่นลูกรุ่นหลานว่า เดี๋ยวนี้ล่ะได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณแค่ไหน
ไม่นึกเลยว่า คนที่เกิดมาในแผ่นดินไทยปัจจุบัน จะเนรคุณแผ่นดินถิ่นเกิดได้ถึงขนาดนี้
เมื่อตื่นขึ้นจากความฝัน แล้วก็นั่งน้ำตาร่วง จนกระทั่งไม่รู้จะพูดอะไรถูก
หวนกลับมามองดูเนื้อหนังมังสาของตนเอง ไม่ว่าส่วนไหนมันก็เกิดบนแผ่นดินผืนนี้ทั้งนั้น หยั่งรู้ความจริงได้ว่า ตายไปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็คืนลงสู่แผ่นดินผืนเดียวกัน แล้วเราก็จะคิดร่ำคิดรวยกันไปถึงไหน ทั้งๆ ที่ตายไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ มาคิดสนองพระคุณแผ่นดินถิ่นเกิดกันไม่ดีกว่าหรือ หรือว่าจะดันทุรังต่อไปจนกระทั่งถูกธรรมชาติลงโทษ
ไม่มีธรรมชาติอะไรที่มีอิทธิพลรุนแรงเท่ากับธรรมชาติที่อยู่ในจิตใจตนเองของมนุษย์
ขณะนี้ชาวนาไทยก็แทบไม่มีอะไรเหลือติดตัวอยู่แล้ว เรามาคิดกอบกู้แผ่นดินไทย เพื่อให้เพื่อนไทยทุกคนได้อยู่อย่างภาคภูมิ ชีวิตยังจะมีคุณค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด
ขอสาปแช่งให้คนที่คิดทรยศต่อแผ่นดิน จงถูกกรรมซึ่งตนได้สร้างเอาไว้ให้มาลงโทษ ซึ่งเรื่องนี้แม้จะไม่สาปแช่ง แต่สัจธรรมมันก็ลงโทษอยู่แล้ว เพียงแต่รอเวลาและจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น
***ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11035 ,หน้า 6