ฉากเริ่มต้นขึ้นที่กรุงลอนดอนในเดือนพฤษภาคม 1963 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังฉลองชัยชนะเหนือเลสเตอร์ ซิตี้ ในเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศกันอยู่
ดิคกี้ พ่อของ จอร์จ เบสต์ ได้มาพบกับ แมตต์ บัสบี้ ที่มุมเงียบๆ ในห้องบอลรูมของโรงแรม แม้ว่าลูกชายของเขาจะเพิ่งสลัดน้ำหมึกเซ็นสัญญานักฟุตบอลอาชีพไม่เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า แต่เบสต์ผู้พ่อก็ยังคงไม่เชื่อว่าเขาจะยึดอาชีพนักเตะได้ เขาบอกกับผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ว่า "หากว่าจอร์จไม่น่าจะไปได้ดี ผมจะยินดีมากหากคุณมาบอกให้ผมทราบภายในช่วง 6 เดือนแรกนี้ เพราะว่าผมจะได้นำตัวเขากลับบ้านมาทำงานที่โรงพิมพ์"
บัสบี้บอกกับดิคกี้ว่าจอร์จจะมีอนาคตที่สดใสแน่ และอีก 4 เดือนต่อมา วันที่ 14 กันยายน 1963 เขาก็ไปได้สวยจริงๆ อย่างที่บัสบี้กล่าว เบสต์ประเดิมสนามให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยการเจอกับเวสต์ บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด หลังจากที่ผู้จัดการทีมฟูมฟักเด็กขี้อายคนนี้มาตั้งแต่ยังผอมกระหร่องในปี 1961
"อย่าได้ไปเปลี่ยนสไตล์การเล่นของเขาเลย" นี่คือสิ่งที่บัสบี้ได้แนะนำโค้ชทีมเยาวชนของเขา "ให้เขาพัฒนาฝีเท้าไปในแบบตามธรรมชาติ เขาเป็นคนที่มีความพิเศษ"
ในช่วงเช้าของเดือนกันยายนดังกล่าว เบสต์ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะได้ลงประเดิมสนาม แต่เขาก็ได้ลงไปเล่นแทน เอียน มัวร์ ที่ได้รับบาดเจ็บ ตอนนั้นเขาอายุเพียงแค่ 17 ปี เป้าหมายของเขาตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาลก็คือการได้มีชื่อเป็นตัวสำรองอย่างสม่ำเสมอเท่านั้นเอง แต่หลังจากรับประทานอาหารก่อนแมตช์ร่วมกับนักเตะคนอื่นๆ บัสบี้ก็เดินเข้ามาหาเขาแล้วบอกว่า "ลูกชาย นายจะได้ลงเล่นวันนี้"
"ผู้จัดการทีมปล่อยให้ผมทานอาหารเที่ยงไปโดยที่ยังไม่บอกให้ผมรู้ว่าจะได้ลงเล่น นั่นเป็นเรื่องที่ฉลาดมาก" เบสต์รำลึกความหลัง "หากเขามาบอกผมก่อนหน้านั้น ผมอาจจะตื่นเต้นจนทานอะไรไม่ลงเลยก็เป็นได้"
เซอร์ แมตต์ เคยบอกว่า "บรรยากาศในห้องแต่งตัวนั้นค่อนข้างกดดัน แต่เจ้าหนุ่มเบสต์กลับนั่งสบายๆ อ่านหนังสือโปรแกรมเฉยเลย! เขาแทบไม่ได้รับรู้ถึงความกดดันอย่างคนอื่นๆ และเมื่อเขาลงสนาม เขาก็เอาชนะตัวประกบของเขาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า นับตั้งแต่ช่วงที่เขาลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่เบสต์ก็ช่วยให้จังหวะของทีมเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด"
ตัวประกบของเขาในวันนั้นก็คือ แกรแฮม วิลเลี่ยมส์ กองหลังเวสต์ บรอมวิช ซึ่งเขาก็ได้มาเผยความรู้สึกที่ได้ตามประกบดาวเตะเวลส์รายนี้เป็นครั้งแรกว่า "ผมต้องการที่จะทำให้จอร์จเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมคิดว่าผมจะทำให้เขาเงียบไปทั้งเกม แต่ผมก็บอกได้เลยว่าเขาจะกลายเป็นหนึ่งในสุดยอดนักเตะแน่ ช่วงซัมเมอร์นั้นผมได้ไปพักร้อนกับเขาที่มายอร์ก้า เขาบอกกับผมว่าเขายังมีรอยแผลจากการปะทะกับผมอยู่เลย ผมก็เลยบอกเขาไปว่าผมรู้สึกดีใจจริงๆ ที่ได้เห็นหน้าของเขา เพราะว่าเกมในวันนั้นเขาวิ่งฉีกหนีผมจนทำให้เห็นแต่ด้านหลังเขาตลอดเวลาเลยน่ะสิ!"
ในครึ่งหลัง เบสต์ถูกโยกไปเยือนริมเส้นอีกฝั่งเพื่อหนีวิลเลี่ยมส์ และในที่สุดเขาก็ได้แสดงฝีเท้าแบบเต็มที่ แม้ว่าเขาจะเอาแต่เลี้ยงจนไม่ได้ส่งบอลให้เพื่อนร่วมทีมเลยก็ตาม "นักเตะหลายคนอย่าง บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ไม่ค่อยประทับใจกับวิธีการเล่นของผมเท่าไหร่นัก" เบสต์ยอมรับ
"ผมยังเป็นแค่เด็กหนุ่มที่ต้องการโชว์ฝีเท้า ทุกครั้งที่ผมได้บอล ผมก็อยากแสดงให้ทุกคนเห็นว่าผมสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ ทั้งทีมตะโกนเรียกบอล แต่ผมก็ค่อนข้างหัวดื้อไปหน่อย"
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายชนะไป 1-0 โดยได้ประตูจาก เดวิด แซดเลอร์ แต่เบสต์ก็ค่อนข้างผิดหวังกับฟอร์มของตัวเองในวันนั้น "ผมค่อนข้างผิดหวังเพราะผมคิดว่าผมน่าจะทำได้ดีกว่านี้"
บัสบี้เองก็ประทับใจในความมหัศจรรย์ของเขา แต่มันก็ยังไม่ดีเพียงพอที่จะทำให้เขาได้ตำแหน่งตัวจริงในทีมโดยอัตโนมัติ เบสต์ถูกส่งกลับไปเล่นในทีมสำรอง และทีมเยาวชนหลังจากนั้น และมันก็ทำให้เขานึกในใจ "ผมค่อนข้างกังวล... แต่ผมก็มั่นใจว่าผมทำได้ดีแล้ว ดังนั้นผมจะต้องพยายามทำงานอย่างหนักต่อไป"
อีก 3 เดือนต่อมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบปัญหาอย่างหนักในด้านฟอร์มการเล่น เมื่อแพ้ไปแล้ว 8 เกม รวมถึงการแพ้เอฟเวอร์ตัน และเบิร์นลี่ย์ติดกันในช่วงคริสต์มาสด้วยสกอร์ 0-4 และ 1-6 ตามลำดับ เบสต์ไม่ได้ถูกวางเอาไว้ว่าจะให้มีส่วนร่วมกับทีมในช่วงนี้ บัสบี้อนุญาตให้เขากลับไปพักผ่อนที่เบลฟาสต์แล้วด้วย แต่จากผลงานอันย่ำแย่ที่เทิร์ฟ มัวร์ ก็ทำให้การตัดสินใจดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลง
การลงเล่นนัดที่ 2 ของเบสต์จึงมาถึงในวันที่ 28 ธันวาคม 1963 เมื่อเบิร์นลี่ย์มาเยือนโอลด์ แทรฟฟอร์ด และเขาก็ยิงประตูแรกให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ ถือเป็นการล้างแค้นทีมที่เอาชนะพวกเขามาเมื่อ 2 วันก่อนหน้านั้นด้วยสกอร์ 5-1
"อเล็กซ์ เอลเดอร์ แบ็คซ้ายของเบิร์นลี่ย์เป็นนักเตะที่ดี แต่จอร์จก็เล่นงานเขาซะเละในวันนั้น" แพ็ดดี้ ครีแรนด์ กล่าว "ผมต้องเสียใจกับอเล็กซ์ด้วย จอร์จนั้นสุดยอดจริงๆ หลังจากนั้นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ขาดเขาไม่ได้อีกเลย"
ในเดือนเมษายน 1964 เบสต์ถูกเรียกตัวกลับไปเล่นทีมเยาวชนอีกครั้ง และเขาก็พาทีมเอาชนะสวินดอน ทาวน์ คว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ โดยเสมอก่อน 1-1 ที่เคาน์ตี้ กราวด์ ก่อนที่จะมาเอาชนะไป 4-1 ต่อหน้าแฟนๆ กว่า 25,000 คนในโอลด์ แทรฟฟอร์ด
ในช่วงท้ายฤดูกาลแรกของเขาคือ 1963/64 จอร์จก็ได้สถาปนาตัวเองขึ้นมาอยู่ในทีมชุดใหญ่สม่ำเสมอ นอกจากนี้เขาก็ยังติดทีมชาติไอร์แลนด์เหนือเป็นครั้งแรก และคว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ด้วย นั่นถือว่าเพียงพอที่พ่อของเขาจะหยุดความคิดที่จะให้จอร์จกลับไปทำงานโรงพิมพ์แล้ว