Home

เบื้องหลังความสำเร็จทริปเปิ้ลแชมป์ปี 1999
13 กันยายน 2556 17,626


สำหรับแฟนๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เรื่องราวที่น่าประทับใจที่สุดนั้นได้เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 1999

ภายในระยะเวลา 10 วัน สโมสรได้คว้าทั้งแชมป์ลีก, เอฟเอ คัพ และแชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้อย่างสุดดราม่าเท่าที่ใครสักคนจะจินตนาการได้ 2 ประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในนัดชิงชนะเลิศถ้วยยุโรปที่บาร์เซโลน่าทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สร้างประวัติศาสตร์คว้า 3 แชมป์มาครอง

ในหนังสืออัตชีวประวัติ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งได้รับยศอัศวินหลังจากจบฤดูกาลนั้นได้พูดถึงประตูชัยของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ที่คัมป์ นู เอาไว้ว่า "การฉลองหลังจากประตูนั้นไม่เคยหยุดลงได้เลย มันทำให้ผมอยู่ในอารมณ์ของการฉลองปาร์ตี้ เวลานั้นทั้งทีมต่างก็ดีใจกันแบบบ้าคลั่งทั้งนั้นแหละ แกรี่ นิวบอน พยายามที่จะเข้ามาสัมภาษณ์ผมทางโทรทัศน์ ผมมั่นใจเลยว่าผมได้พูดอะไรที่ไม่ค่อยมีความหมายออกไปเยอะ ผมไม่คิดมากหรอกหากว่ามันจะทำให้ผมดูเป็นคนโง่ เพราะนี่คือคนโง่ที่กำลังมีความสุขที่สุดในโลกไงล่ะ"

แต่อันที่จริงเซอร์ อเล็กซ์ ก็ไม่ได้ดูเป็นคนโง่แบบนั้น เขาได้หลุดคำพูดที่กลายมาเป็นวลีสุดคลาสสิคจนถึงทุกวันนี้อย่าง "ฟุตบอล โคตรนรก" เอาไว้ด้วย หลังจากผ่านช่วงเวลา 3 นาทีแห่งเกียรติยศในเกมดังกล่าวมา และนี่ก็คือเบื้องลึกเบื้องหลังจากฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรฟุตบอลของอังกฤษ


ใบเหลืองของ รอย คีน ที่ตูริน
ทราบกันดีว่าเมื่อ รอย คีน โดยใบเหลืองที่ตูริน นั่นจะทำให้เขาถูกแบนในนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก ทันที กัปตันทีมชาวไอริชเล่นได้อย่างสุดยอดในค่ำคืนนั้น แม้ว่าเขาจะต้องระวังตัวไม่ให้ถูกจดชื่อก็ตาม เกมที่เจอกับยูเวนตุสได้รับการยอมรับว่าเป็นเกมที่ดีที่สุดในอาชีพค้าแข้งของคีนเลย เขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ และไม่เห็นแก่ตัว

แต่ใครกันจะรู้ว่าคนที่เขามองว่าเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ต้องรับใบเหลืองไปนั้นคือใคร ไม่ใช่ผู้ตัดสิน ไม่ใช่ ซีเนอดีน ซีดาน (นักเตะที่เขาทำฟาวล์) แต่เป็นเพื่อนร่วมทีมชาวสวีเดนอย่าง เยสเปอร์ บลอมควิสต์ ต่างหาก

ในหนังสือ Glory, Glory ของ แอนดี้ มิทเท่น ที่รวบรวมบทสัมภาษณ์ของนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุค 90 นั้น บลอมควิสต์ได้อธิบายว่า "เขามองว่าผมเป็นตัวต้นเหตุจากการจ่ายบอลให้กับเขา ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เขาถูกไล่ออกได้เลยด้วยซ้ำ อันที่จริงมันก็ไม่ได้เป็นลูกจ่ายที่แย่นักหรอก แต่เขาก็จับบอลแรกได้ไม่ดีเอง เขายังมาโวยใส่ผมในห้องแต่งตัวหลังจบเกมด้วย เขาดูโกรธมาก และมาตะคอกใส่หน้าผมว่า 'นี่มันคือความผิดของคุณเลยที่ทำให้ผมต้องอดเล่นนัดชิงชนะเลิศ'"

คีนไม่ได้ลงเล่นนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก และก็ยังคงโกรธปีกชาวสวีเดนรายนี้อยู่

"ผมคิดว่าเขายังคงโกรธผมอยู่เลยนะ! นี่แหละคือตัวเขา เขาไม่เคยมองว่าเขาทำผิดบ้างเลย แต่ผมก็ไม่ถือสาอะไรมากนักหรอก เขาเป็นแบบนั้นอยู่หลายสัปดาห์ หลังจากนั้นก็กลับมาสนุกสนานกับคนอื่นในห้องแต่งตัวเหมือนเดิม"


ลางสังหรณ์ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์
โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ทำให้แฟนๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีความสุขในค่ำคืนนั้น ในการให้สัมภาษณ์กับ ทอม ริช ของ The Daily Telegraph เพชฌฆาตหน้าทารกได้บอกว่าเขาชวนเพื่อนของเขามาชมเกมนัดชิงชนะเลิศด้วย แต่น่าเสียดายที่เขาต้องไปทำงานกะดึก จึงไม่ได้อยู่ชมเกมในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย ซึ่งดาวยิงชาวนอร์เวย์ก็ได้บอกเอาไว้ว่า "ผมอยากจะให้ใครสักคนบอกให้เขาอยู่ต่อ เพราะผมบอกเขาเอาไว้แล้วว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้น"

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โชว์ฟอร์มได้ไม่ดีในครึ่งแรก และก็ต้องตามหลัง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกกับ เท็ดดี้ เชอริงแฮม ว่าเขาจะถูกส่งลงสนาม แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรกับโซลชาร์เลย แต่ถึงกระนั้นกุนซือชาวสก็อตก็ยังเชื่อว่าโซลชาร์จะเป็นตัวสำรองที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้ใคร นั่นก็เพราะว่าเขานั่งชมเกมจากข้างสนามมากกว่านักเตะคนอื่นๆ และเกมที่บาร์เซโลน่าก็ไม่ต่างกัน

"คุณจะมีสมาธิอย่างมากกับเกมแม้ว่าไม่ได้ลงไปเล่นก็ตาม" เขาบอก "ความสามารถที่ดีที่สุดของผมก็คือมีความพร้อมอยู่เสมอเมื่อถูกเรียกใช้งาน บางทีเมื่อคุณนั่งอยู่ข้างสนาม และผู้จัดการทีมเรียกชื่อคุณ คุณอาจจะไม่ได้ยินก็ได้ นั่นก็เพราะว่าคุณมัวแต่นั่งวิเคราะห์เกมจากข้างสนามอยู่"

มีเวลาในเกมเหลืออยู่ 90 วินาทีหลังจากที่ เท็ดดี้ เชอริงแฮม ยิงตีเสมอได้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ลูกเตะมุมอีกลูก และหลังจากนั้นมันก็กลายเป็นประวัติศาสตร์

"หากคุณดูจากในคลิป คุณจะเห็นทุกคนวิ่งเข้ามาแสดงความดีใจกับเท็ดดี้ยกเว้นผม ผมวิ่งตรงกลับไปยังเส้นกลางสนาม เพราะกำลังมีสมาธิกับการเล่นต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาที แต่สุดท้ายผมก็ทำมันพัง ผมดันวิ่งขึ้นไปทำประตูได้สำเร็จ"

โซลชาร์อาจจะผิดหวังที่ไม่ได้เล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาที แต่ลางสังหรณ์ก่อนเกมของเขาก็กลายเป็นจริง และเขาก็เป็นคนที่ทำให้แฟนๆ ปีศาจแดงได้เฮกันถ้วนหน้า


ทีมทอล์คช่วงพักครึ่งของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
ในฤดูกาล 1998/99 มันเป็นช่วงที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดูเหมือนว่าจะไม่แพ้ใครแบบจริงๆ จังๆ เลย สตีฟ แม็คคลาเรน ผู้ช่วยผู้จัดการทีมในตอนนั้นเคยบอกเอาไว้ว่า "ทีมนี้ไม่เคยแพ้ พวกเขาแค่มีเวลาไม่พอเท่านั้นเอง"

ในเกมนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก กับบาเยิร์น มิวนิค มันก็เป็นเหมือนกับในประโยคดังกล่าวนี้ ทีมปีศาจแดงตามหลังไปก่อน 0-1 จากฟรีคิกของ มาริโอ บาสเลอร์ และชายที่ชื่อ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ได้กระตุ้นทีมในช่วงพักครึ่ง ซึ่งหลายมาเป็นประโยคปลุกใจที่ยอดเยี่ยมที่สุดในวงการกีฬาว่า "หลังจบเกม ถ้วยยูโรเปี้ยน คัพ จะอยู่ห่างจากคุณแค่ 6 ฟุตเท่านั้น และคุณจะไม่มีโอกาสแม้แต่จะแตะต้องมันหากว่าเป็นผู้แพ้ นี่จะเป็นโอกาสที่ใกล้เคียงที่สุดแล้วสำหรับพวกคุณหลายคน อย่าได้เสนอหน้ากลับมาอีกหากว่าคุณไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่"

จากนั้น 45 นาทีต่อมา นักเตะของบาเยิร์น มิวนิค ก็ได้กลายเป็นผู้ที่ไม่มีโอกาสได้แตะต้องถ้วยบิ๊กเอียร์นี้แทนในค่ำคืนดังกล่าว


การฉลองของ เดวิด เมย์
บางครั้งรูปภาพก็สื่อแทนคำพูดได้เป็นพันๆ คำ เช่นเดียวกับภาพของตัวสำรองที่ไม่ถูกส่งลงสนามที่ฉลองชัยชนะนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่บาร์เซโลน่าภาพนี้

ตลอดเวลา 9 ปีในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด นั้น เดวิด เมย์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก ไป 3 สมัย เอฟเอ คัพ 2 สมัย รวมถึงถ้วยยูโรเปี้ยน คัพ นี้ด้วย และแฟนๆ ก็มีเพลงเชียร์เกี่ยวกับตัวเขาว่า "เดวิด เมย์ ซูเปอร์สตาร์ ได้แชมป์มากกว่าเชียเรอร์"

เมย์ได้บอกเอาไว้ในหนังสือ Glory, Glory ของ แอนดี้ มิทเท่น ว่าพ่อของคุณได้บอกว่าให้ยืนในตำแหน่งดีที่สุดหากว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฉลองถ้วยแชมป์ "พ่อของผมมักจะบอกว่าให้พยายามยืนใกล้กับถ้วยแชมป์ให้มากที่สุด และผมก็ทำแบบนั้น! ผมเห็นถ้วยตั้งอยู่ที่เก้าอี้ แล้วผมก็ไปคว้ามันมา และหลังจากนั้นมันก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ มันมีผมอยู่แทบทุกรูปเลย แม้ว่าผมจะไม่ได้เล่นในนัดชิงชนะเลิศ แต่ผมก็ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดคว้าทริปเปิ้ลแชมป์"

งานสำเร็จลงแล้วนะคุณพ่อ

เมื่อภาพนี้ผ่านล่วงกาลเวลาไปในอนาคต บางทีเมื่อมีคนมาเห็นมันแล้วก็อาจจะคิดว่าเขาคือนักเตะซูเปอร์สตาร์ในอดีตอย่าง เดวิด เบ็คแฮม หรือ ไรอัน กิ๊กส์ ก็เป็นได้


ประตูของ ไรอัน กิ๊กส์ ในเกมเจอกับอาร์เซนอล
นี่อาจจะเป็นเกมที่ดีที่สุดในยุคของเซอร์ อเล็กซ์ เลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ ไรอัน กิ๊กส์ ก็ยังได้ซัดประตูที่เป็นลูกที่ดีที่สุดในอาชีพค้าแข้งของเขาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ประตูที่เขาทำได้ในรอบรองชนะเลิศเอฟเอ คัพ นัดรีเพลย์ ยังถูกแฟนๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นำมาร้องเป็นเพลงจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้บอกเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "นี่คือพรสวรรค์โดยธรรมชาติที่เขามีมาตั้งแต่ตอนที่มาอยู่กับเราตอนอายุ 13 ปี ในตอนที่เขาวิ่งนั้น กิ๊กส์ได้ฉีกกระชากแผงหลังด้วยสายเลือดของเขา"

ตอนนั้นเซอร์ อเล็กซ์ หวังเพียงแค่ว่าเขาจะลากบอลไปยังมุมธง และเล่นถ่วงเวลาเท่านั้น ในหนังสืออัตชีวประวัติ เขาได้บอกเอาไว้ว่า "ตอนที่เขาวิ่งควบขึ้นหน้าไป เราหวังเพียงแค่ว่าเขาจะช่วยถ่วงเวลาให้กับทีม หรือไม่ก็ลุ้นเอาลูกจุดโทษเท่านั้น มันคงจะบ้ามากหากจะบอกว่าผมหวังให้เขาสร้างเรื่องสุดไคลแม็กซ์ให้กับเราได้ขนาดนี้"

ผู้บรรยายอย่าง แบร์รี่ เดวี่ส์ ก็ได้สัมภาษณ์ ไรอัน กิ๊กส์ ผ่านทางโทรทัศน์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน และปีกพ่อมดก็ได้บอกว่าเขากลัวว่าในอนาคตประตูนี้จะถูกจดจำเพียงแค่การที่เขาถอดเสื้อโชว์แผงขนหน้าอกระหว่างฉลองประตูเท่านั้น เดวี่ส์ตอบเขาทันทีว่า "ไม่หรอกน่า ไรอัน มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่"

การวิ่ง การซอยเท้า การจบสกอร์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประตูนี้มันช่างสวยงาม และก็จริงอย่างที่เดวี่ส์ได้กล่าวเอาไว้ กิ๊กส์ไม่จำเป็นต้องไปกังวลอะไรเลย

SiR KeaNo


บทความ
พรีเมียร์ลีก 2023-24 อัตราต่อรองและการทายผลผู้ชนะ
เสน่ห์ในโลกของฟุตบอล
จากชไมเคิ่ล สู่ฮอยลันด์: ย้อนรอยขุนพลเมืองเดนในแดนปีศาจ
ย้อนดูผลงานผีแดงในถ้วยเอฟเอคัพ: หลังคว้าถ้วยจนถึงปัจจุบัน
ถอดรหัส ปากคำของมูรินโญ่!!!
ค็อบบี้ ไมนู...เด็กมันร้าย!!!
แดงเดือดที่แค่ไม่แพ้ก็เหมือนชนะ
ความสำคัญของเครื่องมือในการเทรด
ทำความรู้จักกับ 5 ผู้เล่นระดับตำนานจากแมนยูฯ
รวม 5 ตำนานแข้งทองปีศาจแดงแมนยู
อ่านทั้งหมด


โปรแกรมแข่งขัน
v
สนาม เวมบลีย์, อังกฤษ
รายการ เอฟเอ คัพ
วันที่ 21 เมษายน 2567 เวลา 21:30 น.




ผลบอลสด888   ไฮไลท์บอล   ทีเด็ดบอลเต็ง

© 2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC