ผู้ชมในสนาม 41,615 คน
รายการ พรีเมียร์ ลีก
เวลา 23.00 น. วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2557
ผู้ตัดสิน ฟิล ดาวด์�
รีพอร์ต
เกมนี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องบุกมาเยือนถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยที่ยังไม่มีทั้ง เวนย์ รูนี่ย์ และ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ เป็นทางด้าน แอดนาน ยานูซาย ที่ลงเล่นเป็นหน้าต่ำ และ แดนนี่ เวลเบ็ค ยืนเป็นหน้าเป้า
ทีมปีศาจแดงเริ่มต้นเกมได้อย่างมีชีวิตชีวา และจากจังหวะที่ แอชลี่ย์ ยัง ทำชิ่งหนึ่งสองกับ แดนนี่ เวลเบ็ค เขาก็ได้ยิงไปติดเซฟของ ปีเตอร์ เช็ค ขณะที่เชลซีมาได้โอกาสลุ้นประตูครั้งแรกในนาทีที่ 11 จากการยิงของ รามิเรส ที่ไปเข้ามือ ดาบิด เด เคอา สบายๆ
รูปเกมยังไม่มีใครเหนือกว่าใครแบบชัดเจน แต่ก็เป็นทีมสิงโตน้ำเงินครามที่ออกนำไปก่อน ซามูเอล เอโต้ ได้บอลทางริมเส้นฝั่งขวา เขาโยกหาจังหวะยิงไปแฉลบขา ไมเคิล คาร์ริค ที่พยายามพุ่งเข้ามาบล็อคเข้าประตูไป
นาทีที่ 19 ดาบิด หลุยซ์ ของเจ้าถิ่นมาโดนใบเหลืองแรกของเกม หลังจากที่ไปทำฟาวล์หนักใส่ อันโตนิโอ วาเลนเซีย จากนั้น เอด็อง�อาซาร์ ก็มาแผลงฤทธิ์ลากเลื้อยทางกราบซ้าย เขาลากบอลผ่าน ราฟาเอล ดา ซิลวา เข้ากรอบเขตโทษ แต่ลูกจ่ายของเขาก็ถูกแนวรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สกัดพ้นอันตรายออกไปได้
ทีมปีศาจแดงมาได้ลุ้นยิงประตูบ้าง จากการเติมเกมขึ้นมาของ ปาทริซ เอฟร่า เขาได้สับไกทางฝั่งซ้ายเข้าข้างตาข่าย จากนั้นก็เป็นคราวของเชลซีบ้างที่ได้ลองยิง แต่ว่า ออสก้าร์ ก็ซัดหลุดกรอบออกไปเช่นกัน
แอชลี่ย์ ยัง มาโดนใบเหลืองไปเป็นคนแรกของทางทีมเยือน หลังจากที่เขาไปดึง รามิเรส จากด้านหลัง และในนาทีที่ 38 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็น่าจะได้ประตูตีเสมอสุดๆ เมื่อยานูซายจ่ายเข้ากลางมาจากทางด้านซ้าย แดนนี่ เวลเบ็ค เตรียมที่จะยิงอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ถูกแนวรับเชลซีเข้ามากดดันเร็ว ทำให้เขายิงไปตรงตัวของเช็กจากระยะใกล้อย่างน่าเสียดาย กลายเป็นเชลซีที่มาได้ประตูทิ้งห่างเป็น 2-0 ในนาทีสุดท้ายของครึ่งแรก แกรี่ เคฮิลล์ ได้บอลทางฝั่งขวา เขาจ่ายเลียดเข้ามาในกรอบเขตโทษ และก็เป็นเอโต้คนเดิมที่ซัดเข้าประตูไปโดยที่ไม่มีตัวประกบ ก่อนจะจบครึ่งแรกกันไปด้วยสกอร์นี้
เริ่มครึ่งหลังมาได้ไม่กี่นาที จากลูกเตะมุม แกรี่ เคฮิลล์ โขกไปติดเซฟของ ดาบิด เด เคอา แต่ก็เป็น ซามูเอล เอโต้ ที่เข้าถึงบอลได้เป็นคนแรกจากจังหวะต่อเนื่อง เขาซ้ำเข้าไปเป็น 3-0 สำหรับเชลซี และถือว่าเป็นแฮตทริคสำหรับตัวเขาเองด้วย
นาทีที่ 51 คริส สมอลลิ่ง ถูกส่งลงมาเล่นแทน ปาทริซ เอฟร่า ที่มีอาการบาดเจ็บรบกวน จากนั้นอีก 5 นาที เดวิด มอยส์ ก็ทำการปรับทัพ โดยส่งเอา ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ ลงมาเล่นแทน แอชลี่ย์ ยัง พร้อมกับโยก แอดนาน ยานูซาย ไปยืนเป็นปีกซ้ายแทน เชลซี ยังคงเป็นฝ่ายที่ได้ลุ้นยิงประตูมากกว่า รามิเรส ได้ยิงจากระยะ 25 หลาข้ามคานออกไป จากนั้น วิลเลียน ได้โอกาสยิงบ้าง และบอลก็พุ่งไปเข้ามือ เด เคอา
หลังจากที่เจ้าถิ่นเริ่มผ่อนเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็มาได้ประตูตีไข่แตกในนาทีที่ 78 จากนักเตะผู้มีสถิติอันยอดเยี่ยมในการเจอกับเชลซีอย่าง ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ คราวนี้เขาพุ่งเข้าชาร์จจากการจ่ายเข้ามาของ ฟิล โจนส์ เข้าประตูไปเป็นลูกตีไข่แตก ถือเป็นประตูที่ 8 สำหรับเขาแล้วในการลงเล่นกับเชลซีทั้งหมด 13 เกม
ช่วงท้ายเกม ชิชาริโต้มาได้ลุ้นอีกครั้งจากการขึ้นโหม่ง แต่บอลก็ไร้น้ำหนักจนทำให้ไปเข้ามือเช็คสบาย กลายเป็นว่าสถานการณ์ของทีมปีศาจแดงมาเลวร้ายยิ่งไปกว่าเดิมอีกในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เมื่อผู้ตัดสิน ฟิล ดาวด์ ตัดสินใจชูใบแดงไล่ เนมานย่า วิดิช ออกจากสนามข้อหาตั้งใจพุ่งเสียบใส่อาซาร์ในจังหวะสวนกลับ จากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก จบเกมจึงเป็นเชลซีที่เปิดบ้านเอาชนะไป 3-1
สถิติ
|
|
ผู้ทำประตู | |
เชลซี | แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด |
ซามูเอล เอโต้ น.17, 45, 49 | ฮาเวียร์ เฮอร์นานเดซ น.78 |
สถิติ | |
เชลซี | แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด |
13(6) | ยิงประตู(ยิงตรงกรอบ) | 10(4) |
15 | ฟาวล์ | 21 |
5 | เตะมุม | 4 |
2 | ล้ำหน้า | 2 |
1 | ใบเหลือง | 3 |
0 | ใบแดง | 1 |
44% | การครองบอล | 56% |