
ไมเคิล คาร์ริค เพิ่งได้ให้สัมภาษณ์กับ MUTV ซึ่งเขาได้พูดถึงการย้ายบ้านจากแถบตะวันออกเฉียงเหนือไปยังลอนดอนตั้งแต่อายุ 15 ปี จนทำให้เขากลายเป็นนักเตะอย่างทุกวันนี้ได้ นักเตะที่เป็นตัวหลักในแดนกลาง และรองกัปตันแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ตอนนี้คาร์ริคในวัย 34 ปีเริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับอนาคต เขาได้พูดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำนอกสนามเพื่อทำให้สภาพร่างกายยังสด, ฟิต และพร้อมที่จะลุยอาชีพค้าแข้งต่อไปให้ได้อีกยาวนาน...
1. "สิ่งที่ผมต้องการจะทำมาตลอดก็คือการเล่นฟุตบอล"
มันก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กๆ ทุกคนในแถบตะวันออกเฉียงเหนือที่มีความต้องการจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ สำหรับคาร์ริคในวัยหนุ่มก็เช่นกัน "แม่ของผมบอกว่าผมต้องการที่จะเล่นกับลูกบอลอยู่ตลอด หากพวกเขาพาผมไปร้านขายของเล่น สิ่งแรกที่ผมจะไปเล่นก็คือลูกบอล นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของผม"
2. "ครั้งแรกที่ผมไปสนามฟุตบอล ผมร้องไห้"
ตอนนั้นผมอยู่กับวอลล์เซนด์ บอยส์ คลับ ที่นิวคาสเซิล (ซึ่งผลิตนักเตะชื่อดังอย่างเช่น สตีฟ บรู๊ซ, ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์, ลี คล้าร์ก และอีกหลายคน) "มันเป็นคืนวันเสาร์ที่เป็นช่วงที่นักเตะอายุ 4-5 ขวบถึง 8-9 ขวบมาแบ่งทีมเตะฝั่งละ 5 คนกัน พ่อและปู่ของผมก็อยู่ที่นั่นด้วย มันเป็นสนามที่ค่อนข้างเป็นทางการอยู่พอสมควร และผมเองก็รู้สึกประหม่าเป็นอย่างมาก! แต่หลังจากนั้นผมก็ปรับตัวเข้ากับสนามได้"
3. "พ่อของผมเคยเล่นให้กับมิดเดิ้ลสโบรช์"
"เขาอยู่ในทีมสำรองที่นั่น เล่นเป็นแบ็คซ้าย ซึ่งถือว่าต่างจากตำแหน่งผมมาก มิดเดิ้ลสโบรช์อาจไม่ได้ไกลจากนิวคาสเซิลนัก แต่พ่อของผมต้องการที่จะอยู่ที่บ้าน เขาก็เลยเลิกเล่นอาชีพแล้วหันมาเตะกับทีมท้องถิ่นแทน เขาบอกผมว่าเขาเป็นนักเตะที่เก่งนะ แถมเมื่อไม่นานมานี้เขายังเคยบอกว่าเขาเก่งกว่าผมด้วยซ้ำ แต่ช่วงหลังๆ มานี้เขาก็ยอมผมแล้ว"
4. "ย้ายไปลอนดอนตั้งแต่อายุ 15 ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมทำ"
หลังจากไปทดสอบฝีเท้ากับ 15 สโมสร คาร์ริคก็ได้ไปร่วมทีมเวสต์ แฮม "ช่วง 3-4 เดือนแรกมันยากมาก เรื่องของฟุตบอลน่ะมันยอดเยี่ยม แต่คุณก็แทบไม่รู้จักใครที่นั่นเลย แล้วตอนนั้นมันยังไม่มีโทรศัพท์มือถือด้วย หากผมจะโทรกลับบ้านก็ต้องไปที่ตู้โทรศัพท์เท่านั้น ทุกวันนี้คุณอาจมองมันว่าไม่ได้เป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร แต่ในตอนนั้นมันถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่มันก็ช่วยให้ผมโตขึ้น มันช่วยให้ผมเดินหน้าได้เร็วกว่าหากผมตัดสินใจอยู่ที่นิวคาสเซิลต่อ ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างรวดเร็ว 'โลกมันหมุนไปไวมาก และคุณก็จำเป็นจะต้องก้าวตามให้ทัน'"
5. ผมไม่ยอมแลกฟุตบอลกับอะไรอย่างอื่น... ยกเว้นว่าถ้าผมได้เป็นนักขับ F1"
ความสนใจในด้านยานยนต์ของคาร์ริคจะทำให้เขาเปลี่ยนอาชีพหลังจากที่แขวนสตั๊ดแล้วหรือเปล่า? "ผมชอบกีฬานั้นนะ ผมเป็นแฟนตัวยงเลย ผมเคยไปคลุกคลีอยู่กับมัน 2-3 วันแล้วก็มีความสุขมาก แต่มันก็ไม่มีอะไรเหมือนกับการได้ชมการแข่งขัน F1 ผมติดมันมาก ส่วนฟุตบอลก็เป็นงาน ซึ่งมันก็มีความหมายกับผมมากเช่นกัน แต่เดี๋ยวทุกอย่างในชีวิตมันก็จะปรับสมดุลของมันเองนั่นแหละเมื่อคุณอายุมากขึ้น"
6. "ตอนอายุ 33 หรือ 34 เป็นช่วงที่คุณเริ่มไม่แน่ใจในสภาพร่างกายของตัวคุณเองแล้ว"
เขาไม่ได้เพิ่งจะมาเริ่มดูแลสภาพร่างกายเพื่อให้ค้าแข้งยาวนานขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ แต่เขาทำมันมานานพอสมควรแล้ว "การใช้ชีวิตที่ถูกที่ควรและพยายามดูแลตัวเองทำให้ผมมีโอกาสที่ดีขึ้น ผมรู้สึกดีมาก รู้สึกฟิตเหมือนกับที่เคยเป็นมา ผมคงพูดไม่ได้หรอกว่าจะค้าแข้งให้ได้นานเท่ากับกิ๊กซี่ มันมีแค่ไม่กี่คนหรอกที่จะทำได้แบบเขา แต่ผมก็พยายามเรียนรู้จากกิ๊กซี่, สโคลซี่ และแกซ เนฟ มันเป็นเรื่องของการเข้ายิม, เล่นโยคะ, การใช้ชีวิต และอาหารการกิน... ถ้าทำได้ทั้งหมดนี้มันก็จะช่วยให้คุณมีโอกาสลงเล่นยาวนานขึ้นอีกสัก 2-3 ปี" และยังยิ้มได้แบบนี้ด้วยใช้ไหม? "ก็ตลอดเวลาอยู่แล้ว เห็นไหมล่ะ?" เขาปิดท้ายประโยคด้วยสำเนียงแบบชาวจอร์ดี้ไม่ผิดเพี้ยน