ผู้ชมในสนาม 75,347 คน
รายการ พรีเมียร์ ลีก
เวลา 23.30 น. วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2558
ผู้ตัดสิน ไมเคิล โอลิเวอร์
รีพอร์ต
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคว้าชัยชนะเหนือลิเวอร์พูลได้อีกครั้ง โดยอ็องโตนี่ มาร์กซิอัล สามารถทำประตูจากการประเดิมสนามในฝันได้ด้วย พร้อมช่วยให้ทีมชนะไป 3-1 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ทีมเยือนมาทำให้เกมเข้มข้นขึ้นมาในช่วงท้ายเกม เมื่อ คริสเตียน เบนเตเก้ มายิงแบบสุดสวยเป็นลูกตีตื้นประตูจาก ดาลี่ย์ บลินด์ และ อันเดร์ เอร์เรร่า ซึ่งมาร์กซิอัลก็มาซัดประตูปิดท้ายได้ด้วยการลากโซโล่เข้าไปยิงเป็นลูกที่ 3
ดาบิด เด เคอา ได้กลับมาเฝ้าเสาอีกครั้ง แต่ในครึ่งแรกเขาก็แทบไม่มีงานให้ทำ เมื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดครองเกมได้อย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยการที่ไม่มีกัปตัน เวย์น รูนี่ย์ ที่ได้รับบาดเจ็บ จึงทำให้ไม่สามารถหาโอกาสทดสอบ ซิมง มิโญเล่ต์ ได้เลย
ผู้รักษาประตูทีมเยือนมาพลาดขว้างบอลไปติด ฮวน มาต้า และบอลก็มาเข้าทาง มารูยาน เฟลไลนี่ ซึ่งพยายามชิพบอลแต่ก็หลุดกรอบออกไป ถือว่าโชคร้ายที่ทีมเยือนจากเมอร์ซี่ย์ไซด์สามารถต้านทานเกมบุกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้หมด
นาธาเนียล ไคลน์ มาได้โอกาสส่องไกลในนาทีที่ 19 และลูกครอสของ เมมฟิส เดปาย ก็แฉลบเข้าหลังประตูของมิโญเล่ต์ แม้ว่าทีมปีศาจแดงจะได้ครองเกมเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีจังหวะให้ต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน เมื่อลูกหลุดเดี่ยวไปยิงของเบนเตเก้ถูกจับล้ำหน้าไปก่อน อย่างไรก็ตามศูนย์หน้ารายนี้ก็ยิงหลุดกรอบออกไปอยู่ดี
เหมือนอย่างเกมที่แล้วกับสวอนซี ซิตี้ ทีมปีศาจแดงเริ่มต้นครึ่งหลังด้วยการทำประตูได้อย่างรวดเร็ว นักเตะที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนเมมฟิสอย่าง แอชลี่ย์ ยัง ถูกไคลน์ทำฟาวล์บริเวณหน้ากรอบเขตโทษฝั่งซ้าย และมาต้าก็แปลูกนิ่งมายังพื้นที่ว่างซึ่งบลินด์ยืนอยู่โล่งๆ นักเตะดัตช์จัดการซัดเข้าสู่มุมประตูเข้าไปโดยที่มิโญเล่ต์หมดสิทธิ์ป้องกัน
กองเชียร์ส่งเสียงกันดังกระหึ่ม และนักเตะก็ตอบสนองด้วยการเปิดเกมบุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง น่าเสียดายที่ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ จับบอลไม่อยู่ในจังหวะอันตราย ลูกเตะเคลียร์บอลไม่ขาดของเด เคอาทำไปสู่ลูกครอสของ โรแบร์โต้ เฟร์มิโน่ ที่บังคับให้ คริส สมอลลิ่ง ต้องสกัดพ้นอันตราย เด เคอาได้โชว์ลูกเซฟด้วยเช่นกันจากการยิงของ แดนนี่ อิงก์ส ที่ซัดไปยังเสาไกล ซึ่งจังหวะนี้อดีตศูนย์หน้าเบิร์นลี่ย์ใช้อกพักบอลลงมาได้อย่างนิ่มนวล จากนั้นยังก็ได้ลองยิงฟรีคิกข้ามคาน และบลินด์ต้องมาสกัดจากเส้นในจังหวะโหม่งของ มาร์ติน สเคอร์เทล
มาร์กซิอัลถูกส่งลงมาประเดิมสนาม โดยลงมาแทนมาต้า และเจ้าถิ่นก็มาได้ประตูทิ้งห่างเมื่อ ไมเคิล คาร์ริค จ่ายบอลให้เอร์เรร่าหลุดไปในกรอบเขตโทษ นักเตะหมายเลข 21 ถูกพุ่งเสียบโดย โจ โกเมซ และผู้ตัดสิน ไมเคิล โอลิเวอร์ ก็ชี้เป็นจุดโทษทันที เนื่องจากมาต้าไม่อยู่ในสนาม จึงเป็นเอร์เรร่าเองที่รับหน้าที่สังหาร และเขาก็ยิงผ่านมือมิโญเล่ต์เข้าไป
เบนเตเก้มาโขกข้ามคานในช่วงที่ลูกทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กำลังโหมบุกอย่างหนักหวังกลับคืนสู่เกม และตัวสำรอง จอร์ดอน ไอบ์ ก็ได้ลากบอลผ่าน ลุค ชอว์ ก่อนจะยิงให้เด เคอาได้โชว์ลูกเซฟอีกครั้ง แต่สุดท้ายลิเวอร์พูลก็มาได้ประตูตีตื้นจนได้จากจังหวะตีลังกาวอลเล่ย์แบบสุดสวยของเบเตเก้ ซึ่งนับว่าเป็นแมตช์ที่ 3 ติดต่อกันแล้วที่เขายิงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ นับรวมถึงสมัยยังค้าแข้งกับแอสตัน วิลล่า
ต้องขอบคุณที่ความกดดันของเกมถูกผ่อนคลายลงไปเมื่อมาร์กซิอัลลากเลื้อยผ่านแนวรับลิเวอร์พูล ก่อนที่จะปิดบัญชีอย่างสุดเฉียบคมผ่านมือมิโญเล่ต์เข้าไป และเขาก็ฉลองประตูด้วยความสะใจต่อหน้าแฟนๆ ฝั่งสเตรทฟอร์ด เอนด์ ถือเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขากลายเป็นฮีโร่สำหรับแฟนบอลปีศาจแดงไปในทันที และเกมก็จบลงด้วยชัยชนะ 3-1 ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สถิติ
|
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ผู้ทำประตู | |
| แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | ลิเวอร์พูล |
| ดาลี่ย์ บลินด์ น.49 อันเดร์ เอร์เรร่า จุดโทษ น.70 อ็องโตนี่ มาร์กซิอัล น.86 |
คริสเตียน เบนเตเก้ น.84 |
| สถิติ | |
| แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด | ลิเวอร์พูล |
| 9(3) | ยิงประตู(ยิงตรงกรอบ) | 8(4) |
| 6 | ฟาวล์ | 11 |
| 4 | เตะมุม | 4 |
| 2 | ล้ำหน้า | 2 |
| 1 | ใบเหลือง | 2 |
| 0 | ใบแดง | 0 |
| 56% | การครองบอล | 44% |
