
Pixabay
เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอล สร้างผลงานอันน่าจดจำกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยความเป็นผู้นำอันแข็งแกร่งและการบริหารจัดการทีมที่ไม่เหมือนใคร บทเรียนจากความสำเร็จของเขาไม่เพียงแต่สามารถใช้ได้ในสนามฟุตบอลเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ได้ชีวิตประจำวันอีกด้วย บทความนี้จะเผยถึงเคล็ดลับด้านความเป็นผู้นำที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ พร้อมแทรกข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการพัฒนาตัวเองในการใช้ชีวิต
1. สร้างวัฒนธรรมของผู้ชนะ
เซอร์อเล็กซ์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมให้ทุกคนในทีมทำงานด้วยความมุ่งมั่นและมีเป้าหมายเดียวกัน เขากล่าวว่า "แรงจูงใจต้องเริ่มต้นจากตัวผู้นำ" การสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ลูกทีมมีความมั่นใจในตนเองและมองเห็นอนาคตจึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับเขา เขามักจะตั้งมาตรฐานสูง และปลูกฝังวิธีคิดแบบผู้ชนะให้กับลูกทีมของเขาอยู่เสมอเขามักจะกำชับลูกทีมให้อย่ายอมแพ้ไม่ว่าสถานการณ์ของเกมจะน่าสิ้นหวังแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อปี 1999 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดลงแข่งขันในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกนัดชิงชนะเลิศกับ บาเยิร์น มิวนิค โดยแมนฯ ยูไนเต็ดที่กำลังตามหลังบาเยิร์นอยู่ด้วยสกอร์ 1-0 ในช่วงท้ายเกมสร้างปาฏิหารย์ด้วยการยิงสองประตูรวดในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ปาดหน้าบาเยิร์นคว้าแชมป์ไปได้อย่างน่าประทับใจ
2. ปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ฟุตบอลเป็นกีฬาที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เช่นเดียวกับโลกธุรกิจ เซอร์อเล็กซ์มักปรับกลยุทธ์ของเขาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ เขาเชื่อในความสำคัญของการเรียนรู้ไปตลอดชีวิตเพื่อให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลง
โดยตลอดระยะเวลา 26 ปีที่เขาคุมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เขาเจอกับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในโลกของฟุตบอลไม่ว่าจะเป็นเรื่องแท็กติก เทคโนโลยี และลักษณะของผู้เล่น โดยเขาได้เปลี่ยนแปลงทีมของเขาจากที่มีผู้เล่นอย่าง ไบรอัน ร็อบสัน ในยุค 1980 ไปเป็นทีมที่ประกอบไปด้วยผู้เล่นที่เหมาะกับฟุตบอลสมัยใหม่มากขึ้น เช่น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และเวย์น รูนีย์ ในช่วงทศวรรษ 2000
3. บริหารความสัมพันธ์ภายในทีม
เซอร์อเล็กซ์ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ในทีม เขาสนับสนุนผู้เล่นทุกคนเหมือนสมาชิกในครอบครัว ความเข้าใจซึ่งกันและกันช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและความไว้วางใจในทีม โดยตัวอย่างที่ดีจากเขาในเรื่องนี้ ได้แก่ การสนทนากับผู้เล่นเป็นรายบุคคล และการสร้างแรงจูงใจโดยการรับฟังปัญหา ซึ่งหากใครที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมในที่ทำงานก็สามารถนำวิธีการดังกล่าวไปปรับใช้ในการบริหารทีมของตนเองได้เช่นกัน4. สร้างความมีวินัยภายในทีม
เซอร์อเล็กซ์เชื่อว่าความมีวินัยเป็นรากฐานของความสำเร็จที่ยั่งยืน และยังเชื่ออีกว่าไม่มีนักฟุตบอลคนไหนยิ่งใหญ่ไปกว่าทีม โดยเขาตั้งมาตรฐานที่ชัดเจนและยึดถือมาตรฐานดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งยังสามารถจัดการกับอีโก้ของลูกทีมตัวเองได้อย่างอยู่หมัด ยกตัวอย่างเช่น เขาจัดการกับ เดวิด เบ็คแฮม ในช่วงที่เขาเริ่มหลงชื่อเสียงของตัวเองจนหลุดสมาธิกับฟุตบอลโดยการขายเขาให้กับ เรอัล มาดริด ในปี 20035. มีความฉลาดทางอารมณ์
เซอร์อเล็กซ์รู้ว่าเมื่อไรควรเอ่ยปากชม เมื่อไรควรวิพากย์วิจารณ์ และรู้วิธีจัดการกับลักษณะนิสัยของลูกทีมแต่ละคน ตัวอย่างเช่น เขาดึงศักยภาพของ เอริค คันโตน่า ออกมาโดยการมอบอิสระและความรับผิดชอบให้กับเขา ซึ่งนั่นทำให้คันโตน่ากลายมาเป็นผู้นำในสนาม ในทางกลับกันเขาจะใช้ "ไดร์เป่าผมพิฆาต (Hair Dryer Treatment)" หรือก็คือการตักเตือนลูกทีมของเขาด้วยถ้อยคำรุนแรงเมื่อเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องใช้เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนา6. มีวิสัยทัศน์และวางแผนในระยะยาว
เซอร์อเล็กซ์มักจะมองภาพกว้างและให้ความสำคัญกับเป้าหมายในอนาคต เขามุ่งมั่นกับการสร้างความสำเร็จในระยะยาวมากกว่าระยะสั้นโดยมักจะจัดลำดับความสำคัญของบอลลีกไว้สูงกว่าบอลถ้วยเพราะเขารู้ว่าความสม่ำเสมอในลีกจะทำให้ทีมมีความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนเมื่อพูดถึงการวางแผนระยะยาว หากคุณชอบเสี่ยงโชคผ่านการเดิมพันฟุตบอล คุณก็อาจเลือกใช้บริการเว็บแทงบอลที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมโปรดได้อย่างมั่นใจในระยะยาวได้อีกด้วย
7. ให้ความสำคัญกับทุกคนในทีมไม่เพียงแค่นักเตะ
เซอร์อเล็กซ์ไม่เพียงแต่คัดสรรนักเตะที่มีฝีเท้าดีมาร่วมทีม แต่ยังมีทีมสตาฟโค้ชที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย โดยเขามีผู้ช่วยชั้นดีอย่าง สตีฟ แมคคลาเร็น และ คาร์ลอส เคยรอซ ที่คอยช่วยเขาในการวางแท็กติกของทีมและวางแผนในการซ้อม ซึ่งการมีทีมโค้ชและผู้เล่นชั้นยอดทำให้ทีมของเขามีความแข็งแกร่งในระยะยาว8. อย่าหยุดล่าความสำเร็จ
เซอร์อเล็กซ์เชื่อว่า การพอใจกับความสำเร็จใด ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ขวางกั้นเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ ทุกครั้งที่เค้าคว้าแชมป์หรือความสำเร็จใด ๆ เป้าหมายของเขาก็ยังคงชัดเจนอยู่เสมอ นั่นก็คือการเตรียมตัวสำหรับความท้าทายต่อไป ตัวอย่างเช่น หลังจากที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในปี 1999 เขาก็เริ่มวางแผนเตรียมทีมแข่งขันในฤดูกาลถัดไปทันทีการนำบทเรียนจากเซอร์อเล็กซ์ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
บทเรียนความเป็นผู้นำจากเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันมาใช้ไม่เพียงแต่สามารถนำมาปรับใช้ในการคุมทีมฟุตบอลได้เท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน หรือการพัฒนาตัวเอง โดยเราอาจนำบทเรียนดังกล่าวจากเซอร์อเล็กซ์มาปรับใช้ได้ดังนี้ต่อไปนี้เป็นตารางเปรียบเทียบระหว่างแนวทางการบริหารทีมของเซอร์อเล็กซ์และตัวอย่างการนำแนวทางเหล่านั้นไปใช้ในชีวิตจริงเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพมากขึ้น

คำถามที่อาจพบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับบทเรียนความเป็นผู้นำจากเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
1. หลักการสร้างวัฒนธรรมของผู้ชนะคืออะไร?เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ทีมทำงานด้วยความมั่นใจและเป้าหมายเดียวกัน โดยมีการตั้งมาตรฐานสูงและไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค
2. เซอร์อเล็กซ์ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
เขาเรียนรู้และปรับกลยุทธ์ตลอดเวลา ทั้งในด้านแท็กติก การใช้เทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงผู้เล่น เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์
3. เขาจัดการความสัมพันธ์ในทีมอย่างไร?
เซอร์อเล็กซ์ดูแลผู้เล่นเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว เขาสนับสนุนและรับฟังปัญหาของลูกทีมเพื่อสร้างความสามัคคีและไว้วางใจ
4. ระเบียบวินัยส่งผลต่อความสำเร็จอย่างไร?
ความมีวินัยช่วยรักษามาตรฐานของทีมและจัดการกับความท้าทายภายใน เช่น การจัดการผู้เล่นที่ไม่ปฏิบัติตามหลักการของทีม
5. ทำไมการวางแผนระยะยาวจึงสำคัญ?
เซอร์อเล็กซ์ให้ความสำคัญกับเป้าหมายระยะยาว เช่น การสร้างทีมที่แข็งแกร่งในบอลลีก เพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืน
6. เซอร์อเล็กซ์มีแนวคิดอย่างไรเกี่ยวกับความสำเร็จ?
เขาไม่หยุดล่าความสำเร็จ และมองว่าความพึงพอใจในความสำเร็จที่ผ่านมาอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในอนาคต
สรุป
เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันไม่ได้เป็นเพียงผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นแบบอย่างของการพัฒนาภาวะผู้นำที่ทันสมัย บทเรียนของเขาสามารถนำไปปรับใช้ได้ในทุกด้านของชีวิตคุณสามารถอ่านบทความอื่น ๆ เกี่ยวกับทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ที่ลิงก์นี้ซึ่งรวบรวมบทความภาษาไทยเกี่ยวกับทีมปีศาจแดงไว้มากมาย