ใครที่อยากทราบความเป็นไปเป็นมาของ บิลล์ เกตส์ และแง่คิดดีๆจากการมองชีวิตของบุรุษผู้นี้(แบบคร่าวๆแต่ได้ใจความ) จะอ่านเล่น อ่านเอาความรู้ หรือแง่คิดต่างๆ ก็เชิญตามกระผมมาได้เลยครับ
บิลล์ เกตส์ เกิดที่เมืองซีแอทเทิล มลรัฐวอชิงตัน เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1955 (อายุตอนนี้ก็ 54 ปีแล้ว) มีบิดาชื่อนายวิลเลียม เอ็ช เกตส์ จูเนียร์ อาชีพนักกฎหมาย ส่วนมารดาชื่อ แมรี แมกซ์เวล เกตส์ เป็นสมาชิกคณะกรรมการของ Berkshire Hathaway, First Interstate Bank, Pacific Northwest Bell และคณะกรรมการแห่งชาติของ United Way

เกตส์สมรสกับเมลินดา เฟร้นช์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1994 ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันสามคน เจนนิเฟอร์ แคทารีน เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1996) โรรี จอห์น เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1999) และ ฟีบี อาเดล เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2002)
ช่วงแรกของชีวิต
บิลล์ เกตส์ ได้เริ่มฉายแววครั้งแรกเมื่อครั้งที่เค้าเรียนในระดับมัธยมอันดับ 1 ในเมืองซีแอทเทิล ที่นั่นเองเขาได้พัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรม จากเครื่อง มินิคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียน เพื่อให้ได้คอมที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม และครั้งหนึ่งเขาและ พอล อัลเลน (เพื่อนสนิทและภายหลังคือผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ไมโครซอฟต์ คอเปอร์เรชั่น) ได้แอบย่องเข้าไปห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัยวอร์ชิงตัน แต่ถูกจับได้


ไม่นานหลังจากนั้นเขาได้เข้ารับการศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่พระเจ้าช่วย บิลล์ เกตส์ เรียนไม่จบครับ

<center>

ก้าวแรกสู่ความยิ่งใหญ่
ในปีค.ศ. 1975 บิลล์ เกตส์ กับ พอล อัลเลน ได้ร่วมกับก่อตั้งบริษัท ไมโครซอฟท์ ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น และได้นำเอาภาษาเบสิกที่พัฒนาขึ้นเองออกวางตลาด และให้ชื่อว่าไมโครซอฟท์เบสิก ภาษาคอมพิวเตอร์นี้ได้กลายมาเป็นรากฐานให้แก่ธุรกิจลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ซึ่งถูกผนวก (มักจะมาในรูปแบบของรอม) เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ในบ้าน และเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลส่วนใหญ่ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 70 และ 80
และในปีต่อมา เกตส์ เป็นตัวตั้งตัวตีในการสงวนลิขสิทธิ์ของซอฟต์แวร์ เพราะในสมัยนั้นการเผยแพร่และสำเนาแจกจ่าย รวมทั้งการส่งผ่านความรู้ต่างๆมีกันอย่างแพร่หลายและอิสระโดยไม่ผิดกฎหมาย แนวคิดของเกตส์จึงทำให้มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนนึงโกรธเคืองอยู่บ้าง แต่ในที่สุดความพยายามของเกตส์ในวันนั้นก็ประสบผลสำเร็จ เพราะไมโครซอฟต์ คอเปอร์เรชั่นได้กลายเป็นองค์กรที่ประสบความสำเร็จทางการค้ามากที่สุดในโลก และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์สำหรับขายปลีก
ช่วงเวลาสำคัญที่ทำให้ไมโครซอฟต์ก้าวกระโดด เริ่มขึ้นเมื่อ IBM บริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ ซึ่งในขณะนั้นต้องการบุกตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแบบเต็มอัตราศึก ( PC ) ซึ่งทาง IBM ได้เข้ามาเจรจากับทางไมโครซอฟต์เพื่อขอซื้อลิขสิทธิของระบบปฏิบัติการ ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นยุคของ MS-Dos อยู่ แต่ข้อตกลงเรื่องลิขสิทธิ์ระหว่างไมโครซอฟท์กับไอบีเอ็มเอง ไม่ได้สร้างรายได้มากมายเท่าไรนัก แต่ในสัญญาไม่ได้ระบุว่าต้องขายให้ IBM เพียงเจ้าเดียวเวลานั้นเองทางไมโครซอฟต์ก็เริ่มบุกตลาดซอฟต์แวร์อย่างเต็มตัว แม้จะต้องแข่งขันกับยักษ์ใหญ่อย่าง IBM ก็ตาม (สมัยนั้นยังไม่มีเพาเวอร์พองัดกับบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ)
<center>

สู่จุดสูงสุด
ต่อมาในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 ไมโครซอฟท์กับIBM ได้ร่วมกันพัฒนาระบบปฏิบัติการที่ก้าวหน้ากว่าเดิม มีชื่อว่า OS/2 (โอเอสทู) แต่ระหว่างที่กำลังพัฒนาระบบอยู่นั้นเอง บิลล์ เกตส์ เล็งเห็นถึงความขัดแย้งที่มีเรื่อยมากับ IBM และเกตส์เชื่อว่าไอบีเอ็มต้องการกีดกันไมโครซอฟท์ออกจากการมีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนา OS/2 และเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1991 เกตส์ได้ประกาศต่อพนักงานของไมโครซอฟท์ว่า ความร่วมมือกับไอบีเอ็มเพื่อพัฒนา OS/2 ได้สิ้นสุดลงแล้ว ไมโครซอฟต์ได้ทิ้ง OS/2 และได้เริ่มพัฒนาระบบปฎิบัติการโฉมใหม่ไฉไลกว่าเก่า ขนานนามว่า Microsoft Windows จากนั้นบริษัทไมโครซอฟต์ก็พัฒนาแบบก้าวกระโดดในทุกๆด้าน และบิลล์ เกตส์กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกหลายสมัยติดต่อกันในช่วงปลายทศวรรษที่ 90
ในปี ค.ศ. 2000 บิลล์ เกตส์ได้เลื่อนตำแหน่งให้ สตีฟ บาลเมอร์ เพื่อนผู้คบหากันมานาน(ตั้งแต่สมัยเรียนที่ฮาร์วาร์ด และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์อีกคนหนึ่งด้วย) ให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงและดำรงตำแหน่ง หัวหน้าสถาปนิกซอฟต์แวร์ แทนเขาอีกด้วย
<center>

การจัดอันดับและการประมาณการทรัพย์สินของเกตส์โดยนิตยสารฟอบส์
ค.ศ. 1996 - 18.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
ค.ศ. 1997 - 36.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 2 ของโลก (รองจากสุลต่านของบรูไน)
ค.ศ. 1998 - 51.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
ค.ศ. 1999 - 90.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
ค.ศ. 2000 - 60.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
ค.ศ. 2001 - 58.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
ค.ศ. 2002 - 52.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
ค.ศ. 2003 - 40.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
ค.ศ. 2004 - 46.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
ค.ศ. 2005 - 46.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
ค.ศ. 2006 - 46.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
***โดยปกติแล้วการจัดอันดับของนิติยสารฟอบส์(ที่จัดอันดับผู้มีมูลค่าทรัพย์สินมากที่สุดในโลก) จะไม่นับรวมประมุขของรัฐ ซึ่งมีทรัพย์สินมาจากสถานภาพของรัฐเข้ารวมด้วย แต่ในกรณีของเกตส์นี้เอามารวมด้วยทุกปี เขาก็ยังเป็นบุรุษที่มีความมั่งคั่งมากที่สุดในโลก***
<center>

จุดเปลี่ยนอีกครั้งของชีวิตสู่ความสุขอันแท้จริง
หากสังเกตให้ดีๆแล้วเมื่อเข้าสูยุค Millenium (ปี 2000))เป็นต้นมายอดทรัพย์สินโดยรวมในปี คศ 2000 ตกลงฮวบฮาบ นั่นไม่ใช่เพราะปัญหา Y2K หรือการตลาดตลอดจนความนิยมลดลงแต่อย่างใด นั่นก็เพราะเกตส์ได้ก่อตั้งมูลนธิ มูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ เพื่อช่วยเหลือและวิจัยเพื่อป้องกันโรคเอดส์ ทุนการศึกษาสำหรับชนกลุ่มน้อยและผู้ด้อยโอกาส ทุนช่วยเหลือเพื่อทำให้โรคโปลิโอหมดไป และการกุศลอื่นๆอีกมากมาย โดยมียอดบริจาคเกินกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (หน่วยไม่ใช่บาทนะครับ เหรียญสหรัฐ)
ซึ่งอะไรคือจุดเปลี่ยน จุดเปลี่ยนคือ เกตส์ได้รู้จักกับชายผู้หนึ่งนามว่า วอร์เร็น บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก และต่อมาได้เป็นคู่ซี้ต่างวัย (เกตส์ 54 แต่บัฟเฟตต์ย่าง 80แล้ว) โดย วอร์เร็น บัฟเฟตต์ เป็นผู้ที่มีความฉลาดในการลงทุนมากที่สุดของโลกก็ว่าได้โดยเขาสามารถเปลี่ยนเงินฝากของชาวบ้านเพียง 105,000 ดอลลาร์ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของตนเองได้ถึงราว 44,000 ล้านดอลลาร์ และทำให้ผู้ฝากเงินไว้กับเขาเป็นมหาเศรษฐีไปตามๆกันอีกด้วย

การพบกันของมหาเศรษฐีอันดับ 1 และ 2 ของโลก หลายๆคนอาจคิดว่าคงคุยกันเรื่องธุรกิจแลกเปลี่ยนความรู้ รวมถึงการหาทางเพื่อเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันในธุรกิจของทั้งคู่ ตลอดจนหาทางช่วยกันผูกขาดตลาดของธุริกิจของตนโดยถูกกฎหมาย แต่เปล่าเลยครับการพบกันครั้งนั้นทำให้เกตส์ได้มองโลกในมุมที่เปลี่ยนไป ในมุมผู้อาวโสที่มีประสบการณ์และจิตเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์อย่างบัฟเฟตต์ เขาได้ชักชวนและแนะนำให้เกตส์รู้จักการทำบุญที่ยิ่งใหญ่ คือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ (ไม่ใช่สร้างโบสถ์สร้างวิหาร ซึ่งไม่มีผู้ใดได้รับประโยชน์ อันนี้ความคิดผมนะครับ) และต้องกล่าวคำชมเชยสำหรับเกตส์ในการปรับเปลี่ยนทัศนะคติของตนเอง แม้เขาคือผู้ที่มั่งคั่งที่สุดของโลก แต่ก็ไม่ถือตนว่าข้าคือผู้ที่รวยที่สุดของโลกและข้าสามารถทำได้ทุกอย่าง(พวกที่เก่งหรือร่ำรวยจะอีโก้จัด จะคิดเพียงว่าตนเองถูกเสมอและไม่มีใครจะสอนสั่งได้)
นำมาสู่การตัดสินใจลาออกจากบริษัท(ในปี คศ 2006)ที่เขาร่วมสร้างมากับมือและทำให้เขาเป็นบุรุษผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก โดยขอเวลา 2 ปีเพื่อถ่ายโอนงานและจัดการให้บริษัทมีความมั่นคง ทั้งนี้เพื่อจะได้มีเวลาอุทิศตนเพื่องานการกุศลของมูลินิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์มากขึ้น



<center>


<center>Bill Gates & warren buffet</center>
<center>------------------------------------------------------------------------------</center>
สุดท้ายผมอยากฝากให้น้องๆรุ่นใหม่ๆที่เป็นอัจฉริยะในด้านต่างๆหากได้มีโอกาสเข้ามาอ่าน หรือผู้มีอันจะกินทั้งหลาย เผื่อว่ามันจะเป็นเครื่องเตือนใจเราในวันหน้า ว่าความรู้ความอัจฉริยะของเรา หรือเงินทองของเรา มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากเราไม่เคยอื้มมือลงไปฉุดดึงผู้ที่ด้อยโอกาสขึ้นมา ให้เขาได้มีโอกาสทางสังคม
เพราะสุดท้ายแล้ว ความรู้ความสามารถของเราก็ทำให้เราได้เงินทองและใช้จ่ายไปวันๆ ชื่อเสียงหรือความดีของท่านจะตายไปอย่ารวดเร็ว เงินทองที่ท่านมีมากมายเหลือเฟือนั้น มันก็แค่เพิ่มหน้าตาทางสังคมหรือความสะดวกสบายในชีวิต แต่เงินส่วนเกินจำนวนนั้นๆมีผลต่อความเป็นอยู่และการมีชีวิตรอดของเพื่อนมนุษย์อีกหลายล้านคนครับ คิดดูเล่นๆว่า เงิน 1000 บาทเนี่ยให้ใช้ซื้ออะไรก็ได้เราคงซื้อของฟุ่มเฟือยที่อยากได้เพียงชิ้นเดียว แต่สำหรับบางคนเงิน 1000 บาทมันหมายถึงอาหารหลายๆมื้อสำหรับลูกๆของเขาครับ
ลองมองรอบๆตัวเราดูครับ มีสิ่งใดที่เราพอช่วยเหลือผู้อื่นได้โดยไม่เป็นการลำบากหรือเกินกำลังจนเกินไปก็ช่วยเหลือเขาเถิดครับ ไม่ว่าจะสอนการบ้าน ติวก่อนสอบ บริจาคหรือให้หยิบยืมสิ่งต่างๆ จูงคนแก่ข้ามถนน ฯลฯ สิ่งที่ได้ในเวลานั้นผมก็บอกไม่ได้หรอกครับว่ามันมีประโยชน์อย่างไร แต่มันทำให้ผมมีความสุข และเชื่อว่าทุกท่านก็จะมีความสุข แม้ว่าจะไม่ได้ประโยชน์เป็นชิ้นเป็นอันตอบแทน แต่สักวันความดีนั้นจะส่งผลดีต่อผู้ทำดีครับ ผมเชื่อเช่นนั้น
เรียบเรียงโดย Little_Devil15 และขอขอบคุณข้อมูลหลักจาก Wikipedia และข่าวสารอื่นๆจากหลายๆเว็บ เว็บละนิดละหน่อยครับ
ใครกำลังมองหาเกม Puzzle สนุกๆสเปคต่ำๆก็เล่นได้ มีเกมมากมายถึง 45 เกมใน 1 เดียว ก็ตามเข้าไปโหลดได้ที่นี่นะครับ >>จิ้มตรงนี้เลยครับ<<