หากเปรียบทีมยักษ์ใหญ่ในพรีเมียร์ลีกเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด
ปืนใหญ่ อาร์เซน่อล คงเป็นหนังแอ็คชั่นบู๊ล้างผลาญ ที่ยิงกันเลือดสาดกระจาย มันส์สะใจคนดู หนังคุณภาพดีถึงขั้นมีลุ้นออสการ์ แต่มักตกม้าตายตอนประกาศรางวัลทุกที
สิงห์บลู เชลซี ต้องเป็นหนังชิงรักหักสวาส ติดเรตอาร์ มีพล็อตเรื่องประมาณ เพื่อนกิน เพื่อนกัน เพื่อนรู้ไม่ทัน เพื่อนกันเอาไปกิน
ส่วน เรือใบสีฟ้า แมนฯ ซิตี้ ไม่พ้นหนังฟอร์มยักษ์ ที่ลงทุนเยอะ แต่ขาดทุนยับ
หงส์แดง ลิเวอร์พูล คือหนังพีเรียด ( ย้อนยุค ) บทซ้ำซาก ผู้กำกับห่วย นักแสดงเล่นแบบไร้วิญญาณ ผู้ชมก็เลยเดินออกจากโรงด้วยความเสียดายตังค์
และ ปีศาจแดง แมนฯ ยูฯ ก็น่าจะเป็นหนังทริลเลอร์ดราม่า ดูแล้วลุ้นระทึก บีบคั้นอารมณ์ คุ้มค่าเงินเข้าชม ไม่ว่ามันจะจบลงด้วยความเศร้า หรือแฮปปี้เอ็นดิ้งก็ตาม
ลองทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ แมนฯ ยูฯ ในฤดูกาลนี้ก็ได้
ก่อนเปิดฤดูกาล ปีศาจแดงถูกปรามาสจากนักวิจารณ์หลายสำนักว่า ไม่ดีพอจะลุ้นแชมป์ เพราะสูญเสียผู้เล่นคนสำคัญไปถึง 2 ราย
แต่ด้วยเครื่องหมายการค้าปีศาจถือสามง่าม พวกเขาเบียดกับทีมเต็งหนึ่งอย่าง เชลซี มาได้จนถึงปลายฤดูกาล กระทั่งมีโอกาสขึ้นนำจ่าฝูงกุมความได้เปรียบอยู่ในมือ เมื่อเหลือการแข่งขันอยู่เพียงไม่กี่นัด
อย่างไรก็ตาม ทีมของป๋าเฟอร์กี้รักษามันเอาไว้ได้ไม่ตลอด เมื่อพลาดท่าพ่ายแพ้ให้กับ เชลซี คู่แข่งลุ้นแชมป์ในรัง โอลด์แทรฟฟอร์ด ของตัวเอง เท่านั้นไม่พอยังออกไปเสมอ แบล็คเบิร์น นอกบ้าน ทำให้โยนความได้เปรียบกลับคืนไปให้ทีมเศรษฐีแห่งมหานครลอนดอน
เวลานั้น เร้ดอาร์มี่ ทำใจล่วงหน้าแล้วว่า ปีนี้ผีอยู่ในอาการโคม่า คงไม่รอดแหงๆ
แต่หนังเรื่อง แมนฯ ยูฯ ผู้ชมรู้ดีว่า ไคลแม็กซ์มักอยู่ช่วงท้ายเรื่อง
ผีแดงจึงอุตส่าห์ไปหลอกหลอนเพื่อนร่วมเมือง แมนฯ ซิตี้ เพื่อต่อลมหายใจให้แก่ตัวเอง ( แต่ทำเอาลมหายใจของบรรดา เร้ดอาร์มี่ แทบจะหยุด เพราะไปยิงตอนใกล้จะหมดเวลา )
ในขณะที่ เชลซี ดันออกนอกบ้านไปแพ้พลิกล็อคให้ สเปอร์ส นั่นทำให้โอกาสลุ้นแชมป์ยังมีอยู่จนถึงแมตช์สุดท้าย
แม้ท้ายที่สุดแล้ว แมนฯ ยูฯ จะพลาดถ้วยรางวัลอย่างที่รู้ๆ กัน แต่คงมีแฟนผีน้อยรายที่จะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เล่นไม่คุ้มค่าตั๋ว
ก็มันทั้งสนุก ตื่นเต้น และลุ้นจนฉี่แทบราด ตั้งหลายหน
ถ้าคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่ดราม่าพอ ขอพาย้อนไปในฤดูกาล 2007-08 ที่มันบีบหัวใจยิ่งกว่า
ฤดูกาลนั้นถือเป็นปีทองของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกสัญชาติโปรตุเกส ของ แมนฯ ยูฯ
ในพรีเมียร์ลีก เขาระเบิดฟอร์มยิงกระจาย พาต้นสังกัดคว้าแชมป์ได้สำเร็จ พร้อมกับพ่วงรางวัลดาวซัลโวไปด้วย
ส่วนในถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ไอ้โด้พา แมนฯ ยูฯ ทะลุเข้าไปชิงกับ เชลซี เจ้าเก่า และก็คั่วดาวซัลโวในถ้วยนี้เช่นกัน
ในนัดชิง สตาร์จากเมืองฝอยทอง ทำประตูให้ปีศาจแดงขึ้นนำ 1-0 ...ก่อนจะถูกสิงห์บลูตามตีเสมอได้
จบ 90 นาที รวมถึงต่อเวลาไปแล้ว สกอร์ก็ยังเสมอกันอยู่ที่ 1-1 ต้องมีการดวลจุดโทษ
ปรากฏว่า ไอ้โด้ ซึ่งที่ผ่านมาเป็นฮีโร่ของ แมนฯ ยูฯ กลับเป็นคนที่ยิงจุดโทษพลาด
ส่วน เชลซี 4 คนแรกยิงเข้าทุกคน นั่นทำให้ลูกที่ 5 ถ้ายิงเข้าก็จะชนะได้แชมป์ไปครอง
และจะทำให้ฮีโร่ของแฟนผี พลิกบทบาทมาเป็นผู้ร้ายทันที
ทว่าเบื้องบนคงลิขิตไว้แล้วว่า ถ้วยบิ๊กเอียร์ใบนี้เป็นของผีแดง ฟ้าจึงสั่งฝน ให้เทลงมารดพื้นสนาม
เป็นผลให้ จอห์น เทอร์รี่ คนที่รับอาสายิงให้เชลซี ลื่นไถลขณะเดินเข้าไปสังหารจุดโทษ ทิศทางลูกบอลที่ออกจากเท้าก็เลยไม่เข้าเป้า
สกอร์กลับมาเท่ากันอีกครั้ง ก่อนที่สองคนต่อมาของ แมนฯ ยูฯ จะยิงเข้าไปทั้งหมด ส่วนเชลซีเข้าหนึ่ง พลาดหนึ่ง
กลายเป็นว่า แมนฯ ยูฯ คว้าถ้วยยุโรปหน้าตาเฉย ทั้งที่มันใกล้จะถูกนำไปตั้งโชว์อยู่ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ อยู่รอมร่อ
ท่ามกลางอารมณ์ช็อคสุดขีดของกองเชียร์เสื้อน้ำเงิน และอารมณ์ดีใจสุดเหวี่ยงจนเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทันของสาวกผี
อะไรมันจะดราม่าปานนั้น
นี่ยังไม่นับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสโมสรแห่งนี้อีกหลายเหตุการณ์ในอดีต
ตัวอย่าง...
ปี 1958 เกิดโศกนาฏกรรมทางเครื่องบินที่สนามบินมิวนิค ประเทศเยอรมนี ระหว่างที่ทีม แมนฯ ยูฯ เดินทางกลับจากการไปแข่งขัน ยูโรเปี้ยนคัพ
เป็นเหตุให้พลพรรคปีศาจแดงที่อยู่บนเครื่องบินลำนั้นเสียชีวิตเกือบครึ่งทีม
สโมสรต้องกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งสร้างทีมใหม่ บนคราบน้ำตาของ เร้ดอาร์มี่ และความโศกเศร้าของแฟนฟุตบอลทั่วโลก
แต่ให้หลังไป 10 ปี ผีแดงก็ถูกปลุกขึ้นมาจากหลุม แมนฯ ยูฯ ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ( ปัจจุบันพรีเมียร์ลีก ) ในปี 1967 และประกาศศักดาด้วยการเป็นทีมแรกของอังกฤษ ที่ชนะเลิศรายการ ยูโรเปี้ยนคัพ ( ปัจจุบัน แชมเปี้ยนส์ลีก ) ในปีถัดมา ด้วยฝีมือการคุมทีมของพ่อหมอนาม เซอร์แมตต์ บัสบี้ โดยมี บ็อบบี้ ชาร์ลตัน เป็นกำลังหลักของทีม
ทั้งคู่คือผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น !!!
หรือ ปี 1977 ที่ลิเวอร์พูลอยู่ในช่วงพีกสุดขีด นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมา เพราะมีลุ้นแชมป์ถึง 4 รายการ คือ ยูโรเปี้ยน คัพ, ดิวิชั่น 1, เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ
ฤดูกาลนั้นหงส์ทำสำเร็จไป 3 รายการ พลาดท่าในถ้วยสำคัญอย่าง เอฟเอ คัพ เพียงใบเดียว
ผู้ที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้ในนัดชิง สกัดการคว้า 4 ถ้วยของหงส์แดงไม่ใช่ใครที่ไหน
ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่อริเบอร์หนึ่งนั่นเอง
ขึ้นชื่อว่าหนังชีวิต มันต้องดูยาวๆ ...
32 ปีต่อมา เป็น แมนฯ ยูฯ นี่แหละ ที่กลับมาคว้า ทริปเปิ้ลแชมป์ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ แชมเปี้ยนส์ลีก เสียเอง ซึ่งถือเป็นสโมสรแรกและสโมสรเดียวในอังกฤษที่ทำได้ แม้จำนวนถ้วยจะเท่ากัน แต่ศักดิ์ศรีของผีก็เหนือกว่าหงส์ที่เป็น มิคกี้เมาส์ ซะหนึ่งถ้วย
โดยใน แชมเปี้ยนส์ลีก หนึ่งในสามถ้วยนั้น เรื่องราวนัดชิงก็หักมุมแบบ 360 องศา เมื่อไปยิง บาเยิร์น มิวนิค ช่วงทดเวลา 2 ลูก พลิกแซงกลับมาชนะ 2-1
นี่คือไม่กี่ตัวอย่างที่บอกว่าเชียร์ แมนฯ ยูฯ แล้วเหมือนดูหนังดราม่าไม่มีผิด
หรือคุณว่าไง ???















</center>

