เมื่อสิงโตขอคำรามอีกครั้ง
วันก่อนได้นั่งชมการกระซวกแข้งในเกมคัดเลือกยูโร 2012 ระหว่างทีมชาติอังกฤษกับทีมชาติบัลแกเรีย ด้วยเพราะอยากจะเห็นฟอร์มของพลพรรคสิงโตคำรามอีกครั้งว่าจะเป็นเช่นไร ภายหลังการพุ่งเข้าชนความล้มเหลวอย่างจังในศึกฟุตบอลโลก
เกมในนัดนี้ สิงโตคำรามต้องประสบกับปัญหาเรื่องตัวผู้เล่นระดับเสาหลักตกน้ำมันพรายโดยเฉพาะการขาดหายไปของคู่เซนเตอร์ตัวหลักอย่าง ริโอ เฟอร์ดินานด์ และ จอห์น เทอร์รี่ รวมไปถึงมิดฟิลด์จอมยิงไกลอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด
แต่กระนั้นก็นับเป็นโอกาสดีของทีมชาติที่จะได้ลองของกับนักเตะใหม่ๆบ้าง อย่างในเกมนี้ช่วงครึ่งแรกก็เป็นโอกาสของ ฟีล จากีลก้า และ ไมเคิ่ล ดอว์สัน ลงยืนคู่กันในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค ขณะที่ โจ ฮาร์ท ที่กำลังพุ่งขึ้นมาด้วยฟอร์มอันร้อนแรงก็ไม่พลาดที่จะลงเฝ้าเสา เช่นเดียวกับ ธีโอ วัลค็อตต์ ที่ได้รับโอกาสให้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในตำแหน่งปีกขวา
แต่เปิดฉากการเล่นได้เพียงแค่ 3 นาที อังกฤษก็มาได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็วจากการวอลเล่ย์ด้วยอีซ้ายของ เจอร์เมน เดโฟ
วินาทีนั้นผมมีลางสังหรณ์ว่าเกมนี้มันจบแล้วครับนาย(คุ้นๆน่ะคำนี้ อิอิ)
เพราะการได้ประตูแรกแบบเพื่อนไม่ทันตั้งตัวแบบนั้นมันทำให้เกมของนักเตะสิงโตคำรามง่ายขึ้น ก่อนที่จะคุมเกมไว้ใต้อุ้งเท้าแทบจะตลอดทั้งแมทช์
สุดท้ายเกมก็จบลงด้วยผลงานมาสเตอร์พีซ 4-0 เหนือบัลแกเรียที่ไร้ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ซึ่งประกาศอำลาทีมชาติไปแล้ว และนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นมากๆในเกมนี้ นอกจาก เดโฟ ที่ซัดแฮตทริกแล้ว คงจะหนีไม่พ้นสุกรโลกันตร์ เวย์น รูนี่ย์ ที่ทำแอสซิสต์ไป 3 ดอก
หมากเกมที่ถอย รูนี่ย์ มาเล่นหน้าต่ำของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ในแมทช์นี้ บอกตรงๆว่าโครตถูกใจผมมากเลย
เพราะผมเชื่อมาตลอดว่านักเตะที่มีพลังงานหยั่งกะถ่านดูราเซลล์เช่น รูนี่ย์ ไม่สมควรถูกจำกัดบทบาทไว้เพียงการยืนค้ำอยู่ข้างหน้า เพราะการทำเยี่ยงนั้นมันจะลดทอนศักยภาพที่อัดแน่นอยู่ในตัวของ รูนี่ย์
การที่ รูนี่ย์ อยู่ในตำแหน่งที่พร้อมจะพาบอลขึ้นหน้า และสามารถวิ่งได้อย่างอิสระนั้น ได้แสดงผลลัพธ์ให้เห็นอย่างเด่นชัดในเกมนี้ เพราะเขาได้กลายเป็นตัวทำเกมที่น่ากลัวมากๆในบัดดล
ยิ่งการได้จับคู่กับพาร์ทเนอร์ที่ยิงได้คมและวิ่งหาที่ว่างได้ดีอย่าง เดโฟ งานก็เลยออกมาเวิร์ค ไม่ใช่ดันทุรังใช้งานแต่ เอมิล เฮสกีย์ ศูนย์หน้าที่บูชาสากกะเบืออย่างแต่ก่อน เพียงเพื่อหวังผลว่า เฮสกีย์ จะใช้ความถึกถุยแผ้วถ่างทางให้ รูนี่ย์ เข้าไปจัดประตู
พูดแบบสรุปเลย คือ ความแตกต่างระหว่าง เดโฟ กับ เฮสกีย์ อยู่ที่รายแรกมีปัญญาที่จะช่วยแบ่งเบาภาระการยิงประตูของ รูนี่ย์ ได้นั้นเอง
ส่วนในเรื่องของปีกขวา วัลค็อตต์ ก็แสดงให้เห็นอีกครั้งว่ายังทำได้ไม่ดีพอ เพราะแม้จะมีความเร็วเป็นทีเด็ด แต่กับจังหวะสุดท้าย ที่ไม่ว่าจะเปิดหรือจะยิง ทุกอย่างก็ยังไม่ผ่าน
และมันช่างแตกต่างจากดาวรุ่งอีกคนที่ถูกโปรโมตขึ้นมาจากแมนฯซิตี้ เพราะ อดัม จอห์นสัน ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 10 นาทีในการสังหารประตูเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเขาจากสายตาของ ดอนคาเปลโล่
อดัม จอห์นสัน แม้จะเป็นนักเตะถนัดซ้าย แต่ที่สโมสรเขาถูก มันชินี่ จับไปเล่นด้านขวา และผลที่ออกมาถือว่าเวิร์ค เพราะ อดัม เล่นได้อย่างมั่นใจมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการได้ลงสนามเป็นตัวจริงทั้งที่อยู่กับทีมที่มีนักเตะบิ๊กเนมมากมาย มันย่อมแสดงให้เห็นว่าเจ้านายตีค่าเขาไว้สูงแค่ไหน
แน่นอนว่า อดัม จอห์นสัน เองก็เชื่อเช่นนั้น
และแสดงออกมาให้ทุกคนประจักษ์ในฝีเท้าของเขาด้วยการลากบอลจากริมเส้นด้านขวาแล้วตัดเข้าในเพื่อสับไกด้วยเท้าซ้าย บอกตามตรงว่ามันช่างละม้ายคล้ายการเล่นของ อาร์เย่น ร็อบเบน มากๆ และเกมกับทีมชาตินัดนี้ เขาก็ยิงแบบนั้น
อีกรายที่ควรพูดถึงก็คือ เจมส์ มิลเนอร์ ที่นับวันยิ่งฉายแววความเก่งกาจออกมามากมาย การเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ที่เล่นได้ทุกตำแหน่งในแดนมิดฟิลด์หรือการถอยไปเล่นแบ็กก็ได้ยามที่เจ้านายต้องการ ช่วยทีมได้มากเลย มิลเนอร์ เป็นนักเตะที่เล่นเป็นทีม มีลูกขยัน ลีลาพอตัวและครอสบอลได้แม่นยำ
มองๆไปผมว่าเขาน่าจะมาแทน โจ โคล ได้เลยกับทีมชาติอังกฤษยุคถ่ายเลือด
ประเด็นต่อมาคือการเล่นของ สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ที่พอไม่มี แลมพาร์ด ลงสนามด้วยทีไร ดันเล่นดีทุกที ไม่น่าเชื่อว่านักเตะที่เป็นกระดูกสันหลังของทีมในบิ๊กโฟร์ทั้งสองคน จะจูนการเล่นเข้าหากันไม่ได้เลยในนามทีมชาติ
ดีไม่ดีหาก คาเปลโล่ จะยึด 4-4-2 เป็นแผนการเล่นหลัก เราอาจได้เห็น แลมพาร์ด นั่งอยู่ข้างสนามก็เป็นได้ ยิ่งถ้าหากต้องการสร้างทีมเพื่ออนาคตแล้ว โอกาสที่ คาเปลโล่ จะเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆเล่นยิ่งมีสูงซ่ะด้วย
จุดอ่อนอย่างหนึ่งของอังกฤษ ผมมองไว้ที่แบ็กขวา
เกล็น จอห์นสัน แม้จะเป็นนักเตะที่เติมเกมบุกได้ในระดับที่คนเห็นต้องร้องว่า สะเด่าไปเลยอีน้อง แต่กับเกมรับที่ถูกวิจารณ์มาตลอดก็ยังแก้ไม่หาย เพราะยังดูลนๆเสมอยามต้องเป็นฝ่ายรับ ที่สำคัญเวลาทีมโดนสวนกลับก็มักจะโดนฝั่งเขาทุกที แถมเกมนี้ยังเกือบพังประตูตัวเองอีก ดีที่ว่า โจ ฮาร์ท ช่วยรักษาหน้าไว้ได้
ส่วน 3 เซนเตอร์แบ็กที่ได้รับโอกาสในเกมนี้ ผมว่าทั้ง ดอร์สัน, จากีลก้า และ แกรี่ เคฮิลล์ ยังไม่เจอกับบทพิสูจน์อะไรมากนัก แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีที่นักเตะเหล่านี้ได้รับประสบการณ์จากเกมทีมชาติบ้าง
ที่น่าคิดคืออนาคตของ แม็ทธิว อัพสัน และ โจลีออน เลสค็อตต์ ผมว่าในสายตาของ คาเปลโล่ คงจะตีค่าคนคู่นี้ต่ำลงแน่ๆเลย รายแรกมีปัญหากับฟอร์มการเล่นอันย่ำแย่กับต้นสังกัด รายหลังก็ไม่สามารถเบียด โคโล่ ตูเร่ และ แว็งซองต์ คอมปานี ลงสนามในตำแหน่งเซนเตอร์ได้
ดังนั้นคงต้องดูต่อไปยาวๆว่าเซนเตอร์แบ็คเบอร์ 3 ต่อจาก ริโอ และ เทอร์รี่ จะเป็นใคร แต่ ณ ตอนนี้คงจะเป็น ดอร์สัน แน่ๆเลย
เรื่องสุดท้ายที่จะพูดถึงคือตำแหน่งผู้รักษาประตู ผมมองว่า โจ ฮาร์ท ก้าวขึ้นมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม คือทีมกำลังต้องการสายเลือดใหม่ที่มีฝีไม้ลายมือไม่แพ้ตัวเก๋าๆ และ โจ ฮาร์ท ก็ตอบโจทย์ข้อนี้ได้อย่างลงตัว
ปฏิกิริยาที่ว่องไว การยืนตำแหน่งที่ดีเยี่ยม และการเล่นอย่างห้าวหาญ ช่วยทำให้กองหลังเล่นกันอย่างมั่นใจไร้กังวล ยิ่งใครได้เห็นฟอร์มของเขาตั้งแต่นัดเปิดสนามกับต้นสังกัด เรื่อยมาจนมาถึงช็อตเซฟยอดเยี่ยมในเกมทีมชาตินัดล่าสุด คงไม่ต้องสงสัยถึงศักยภาพในตัวเด็กหนุ่มคนนี้อีก
เจ๋งๆไม่เจ๋งเขาก็เบียด เชย์ กิฟเว่น นายโกล์ระดับท็อปของลีกให้เป็นตัวสำรองไปแล้วในตอนนี้
สุดท้าย แม้นัดนี้จะเป็นเกมทีมชาติอย่างเป็นทางการแค่แมทช์แรกของอังกฤษหลังจบฟุตบอลโลก แต่กับการแสดงออกของทั้งกุนซือและนักเตะที่เหมือนกำลังทวงคืนศักดิ์ศรีของคนทั้งชาติ ผ่านการเล่นอันมุ่งมั่น ทุ่มเท บวกกับการได้นักเตะสายเลือดใหม่เข้ามาเปลี่ยนแปลงบรรยากาศในแคมป์ให้มีชีวิตชีวามากขึ้น
คงต้องบอกว่าถึงเวลาแล้วที่สิงโตจะขอคำรามให้กู่ก้องอีกครั้ง
จากบล็อกส่วนตัวของผม http://www.oknation.net/blog/hitman










