ยาวหน่อยนะคับ แต่อยากแชร์เบื้องหลัง และอยากให้ภาคภูมิใจกับแบรนด์ของคนไทย
เบื้องหลังดีลแมนฯยู เริ่มขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยช่วงนั้นสิงห์ยังไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพราะเป็นการคุยผ่านตัวแทน (Broker) ไม่ใช่แมนฯยูโดยตรง
จนวันที่ 13 ก.พ. 2552 ทางสิงห์ได้รับอีเมลล์จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยตรง ในจดหมายมีข้อความแนะนำตัวแมนฯยู อย่างเป็นทางการเพื่อเชิญให้สิงห์เป็นสปอนเซอร์ โดยมีของขวัญจากแมนฯยูเป็นเสื้อทีมแมนฯยู มีโลโก้ SINGHA คาดที่หน้าอก ซึ่งหมายถึงการเชิญชวนให้สิงห์ประมูลแข่งเพื่อเป็นสปอนเซอร์คาดหน้าอกเสื้อทีม แต่ตอนนั้นราคาเงินปอนด์เท่ากับ70บาท จึงต้องยุติการเจรจาไว้ก่อน
ต้นเดือนธันวาคม 2552 แมนฯยู ส่งของขวัญชิ้นใหม่มาให้อีก เป็นลูกฟุตบอลมีโลโก้สิงห์และแมนฯยู (หมายถึงการเชิญชวนสิงห์เป็นสปอนเซอร์ในรูปแบบอื่นๆ ) ตอนนั้นราคาเงินปอนด์อยู่ที่ 48 บาท ความเป็นไปได้เริ่มปรากฏ ทำให้ทางสิงห์มีความอยากคุยกับทางแมนฯยูมากขึ้น จากนั้นทีมงานจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด บินมาเมืองไทย ครั้งแรกคุยกันที่บุญรอด โดยพูดคุยกัน เรื่องดินฟ้าอากาศ!!! เนื่องจากต่างไม่กล้าที่จะถามราคาว่าเท่าไหร่กัน กลัวจบเร็ว รอบแรกจึงไม่ได้เนื้อหา รอบสองทีมงานสิงห์พาคนจากแมนฯยู ไปคุยที่สิงห์เบียร์ปาร์ค พร้อมกะมอมเหล้า เอ๊ย!! พร้อมกับให้ดูบรรยากาศการเลี้ยงพนักงานของสิงห์อินเตอร์ ข้างล่างเป็นปาร์ตี้ ข้างบนก็มีการเจรจากัน ดื่มเบียร์ไปด้วย (เริ่มติดใจเบียร์สิงห์)
หลังจากวันนั้น แมนฯยู ส่งเอกสารมาว่า จากจุดนี้ถ้าจะคุยต่อ ต้องเซ็นสัญญากันว่า สิ่งที่จะคุยต่อไปนี้ เปิดเผยให้คนนอกรู้ไม่ได้!!! ต่อมาแมนฯยู ส่ง Platinum Proposal ที่เป็น Global Beer Partnership แล้วส่งเอกสาร Bidding Process ให้สิงห์ยื่นข้อเสนอแข่งกับเบียร์ยี่ห้ออื่นๆ
แมนฯยูบอกว่า "ที่มาคุยกัน 2-3 ครั้งแรก เพื่อมาดูว่าสิงห์สามารถเป็นพาร์ทเนอร์กับแมนฯยูได้ไหม ตอนนี้แมนฯยูเห็นว่าทางสิงห์มีศักยภาพ และมีภาพลักษณ์ที่ดี จึงเชิญสิงห์เข้าร่วมประมูล ซึ่งมีอีกหลายแบรนด์แข่งกัน" ซึ่งทางทีมงานสิงห์นั่งประชุมกันถึงจำนวนเงินที่ใช้ในการประมูล โดยสิงห์ไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะชนะประมูลได้ แต่ด้วยความเชื่อมั่นของผู้บริหารที่บอกว่า "งบเท่านี้ ไปเอามาให้ได้ พวกเราจะได้วิ่งกัน" หมายถึง ถ้าได้แมนฯยู มาจะได้วิ่งไปสู่ระดับโลกตามที่วางแผนไว้
รอบสาม มาคุยกันที่โรงแรมโอเรียนเต็ล โดยแมนฯยูขอเป็นเจ้าภาพ โดยมีการเจราจาดังนี้
สิงห์ชิงถามก่อนว่า "ดีลกว้างเท่าไหร่"
แมนฯยูตอบกลับมาว่า "ตัวเลขกว้างมาก"
สิงห์ถามอีกครั้ง "อะไรคือตัวตัดสิน"
แมนฯยูตอบกลับ "เงินไม่ใช่ประเด็นสำคัญ"(ดูหล่อขึ้นเลย)
แมนยูเสริมอีก "แต่อยู่ที่ว่าทาง สิงห์ มีเงื่อนไขที่เสนอว่าจะช่วยแมนฯยู ได้อย่างไรบ้างในฐานะเป็นพาร์ทเนอร์กัน
สิงห์ตอบกลับว่า " สิงห์จะช่วยขยายฐานแฟนบอลในเอเชีย ทำให้แฟนบอลในเอเชีย Touch&Feel ทีมแมนฯยู"
พอได้ฟังดังนั้นตัวแทนแมนยู ก็โอเค แล้วเดินทางกลับไปพิจารณา จากนั้นจึงคุยกันผ่าน Conference call กันหลายครั้ง แล้วแมนฯยู ก็ส่ง Contract มาเพื่อให้สิ่งร่างตามสัญญา และใส่ตัวเงิน
ระหว่างที่สิงห์คุยกับแมนฯยู ได้ข้อเสนอแมนฯยูอยู่ในมือแล้ว เชลซีก็รู้ว่าสิงห์คุยกับแมนฯยู จึงส่งข้อความเสนอมาว่า "อะไรก็ได้ที่ทำให้สิงห์ไม่เซ็นกับแมนฯยู ขอมาเลย" ทีมงานสิงห์เห็นช่องโอกาสจึงคุยกันว่าจะเปิดดีลกับเชลซีเพื่อต่อรองกับแมนฯยู พอเรื่องนี้ไปถึงหูผู้บริหาร กลับได้รับคำตอบมาว่า "นี่ไม่ใช่วิธีการทำธุรกิจของสิงห์ ถ้าเราจะได้เงื่อนไขที่ดีกว่าด้วยการบล๊ฟฟ์เขาแบบนี้ ผมไม่ทำ" ดีลกับเชลซีจึงถูกวางไว้ที่โต๊ะ
กลับมาที่แมนฯยู ถึงจุดคุยกันสองวันสุดท้ายที่อังกฤษ ออฟฟิตของแมนฯยูในลอนดอน (เพิ่งเปิดเมื่อปี 2008) ในขั้นตอนนี้จะเป็นทนายความคุยกัน ต้องเป็นภาษาLawyer และเขียนเท่านั้น จากนั้นวันที่ 7 พ.ค. 2553 ทีมงานสิงห์ได้ไปเซ็นสัญญากับแมนฯยูที่ลอนดอน และทีมงานก็ค้นพบความลับต่อว่า ทำไมแมนฯยูถึงสนใจสิงห์ เพราะ จากการที่โลโก้สิงห์ติดอยู่ใน Formula One ซึ่งแมนยูบอกว่า "ถ้าคุณติดใน Formula One ได้ แสดงว่าคุณใหญ่ใช้ได้ ถึงโลโก้จะเล็กแต่การเงินดี"
เหตุผลที่แมนฯยู เลือกสิงห์เหนือเบียร์ระดับโลกอีก 3 แบรนด์ ทั้งๆ ที่สิงห์ไม่ใช่แบรนด์ที่ยื่นจำนวนเงินสูงสุด เหตุผลนั้น คือ ทางแมนฯยูเห็นว่าทีมงานของสิงห์ Young, Active, Aggressive, Fun เพราะแมนฯยู ไม่ได้อยู่แต่ธุรกิจกีฬา แต่อยู่ในธุรกิจ Entertain ด้วย และแมนฯยูเชื่อว่าในอนาคต Singha will be the global brand นั่นคือประโยชน์ที่แมนฯยู จะได้จากสิงห์ เพราะสิงห์เข้าใจตลาดเอเชียมากกว่า และสิงห์ต้องการทำ Activity เยอะมากในเอเชีย แมนยูจึงต้องการพึ่งสิงห์
ทว่าการจะขายเบียร์ในสนามโอล์ดแทรฟฟอร์ด ต้องขายเป็นขวดพลาติก จากวันเซ็นสิงห์มีเวลา3เดือนที่ต้องทำทุกอย่างให้เสร็จ ทีมงานจึงไปหาโรงงานที่รับทำ OEM ขวด PET ที่เยอรมัน แล้วนำมาบรรจุที่อังกฤษ ทว่าโรงงานที่รับทำก็มีปริมาณการผลิตขั้นต่ำ สิงห์จึงต้องหาทางแก้ไขต่อไป
สุดท้ายผู้บริหารสิงห์กล่าวว่า "การลงทุนครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อแมนฯยู แต่เพื่อขยายตลาดต่างประเทศ และนำสิงห์ไปสู่ Global Brand โดยมีแมนฯยู เป็นแค่ส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เท่านั้น" ซึ่งเราต้องติดตามต่อไปว่าระหว่างแมนฯยู หรือ สิงห์ที่จะได้ประโยชน์กว่ากัน หรือ อาจจะได้ประโยชน์ร่วมกันอย่างมหาศาล!!!
เก็ดเล็กเกร็ดน้อย-----++
--วิสัยทัศน์ในอีก 5 ปีข้างหน้าของ สิงห์ คือ การพาสิงห์ก้าวขึ้นสู่ Top 50 แบรนด์ระดับโลก ภายใน 3 ปี เป็น Top 3 ของเบียร์ในเอเชีย
--การทำสัญญากับแมนฯยูครั้งนี้ สิงห์จ่ายเงินให้กับแมนฯยู 6 ล้านปอนด์ เพื่อแลกกับสัญญา 3 ปี ที่ทางสิงห์ สามารถนำภาพนักเตะ คำพูด ข้อความ สัญลักษณ์ ของแมนฯยูทั้งหมดใช้ในโฆษณาและประชาสัมพันธ์ของสิงห์ได้ทั่วโลก รวมทั้งมีป้ายสิงห์ติดข้างสนามทุกแมตซ์การแข่งขัน ตลอด 3 ปี
--สิงห์เข้าร่วมประมูลและเอาชนะคู่แข่งรายอื่น ซึ่งประกอบด้วย บัดไวเซอร์ ไฮเนเก้น และคาร์ลิ่ง และในโอล์ด แทรฟฟอร์ดมีบูธขายเบียร์สิงห์กว่า 70 บูธในสนาม และสิงห์ขายได้เฉพาะเบียร์สิงห์เท่านั้น ต่างจากเชลซีที่สิงห์สามารถนำผลิตภัณฑ์ของสิงห์ไปขายได้ทุกอย่าง
--แมนฯยู เป็นทีมฟุตบอลต่างชาติที่ดังที่สุดในเกาหลีใต้ จากการที่ทีมมีปาร์ค จี ซุง หลังจากเซ็นสัญญาไม่นาน อิทธิฤทธิ์ของแมนฯยู ก็เริ่มแสดงผล หลังจากก่อนหน้านี้สิงห์ขอโอกาสคุยเรื่องการนำผลิตภัณฑ์สิงห์เข้าไปขายในร้านอาหารในเกาหลี แต่ถูกปฏิเสธ ตอนนั้นขออย่างน้อย 20-30 สาขายังไม่มีโอกาส แต่พอดีลกับแมนฯยูเสร็จ สิงห์เอารูปปาร์ค จี ซุง และบอกว่าสิงห์สนับสนุนแมนฯยู และปาร์ค ยังไม่ทันพูดอะไรเลย เปิดให้เลย 100 สาขา!!!
--อีกประมาณ 2 เดือนถัดไป จะมีภาพยนต์โฆษณาชุดใหม่ออกมา คนไทยเป็นทีมงานถ่ายทำที่สนามโอล์ดแทรฟฟอร์ด และสิงห์มีแผนจะดึงนักเตะแมนฯยูที่มีชื่อเสียงแต่ก่อน เช่น คันโตน่า มาจัดกิจกรรมฟุตบอลคลีนิคในประเทศไทย โดยใช้ทีมบางกอกกล๊าส เป็นศูนย์ฝึกอบรม
--การที่สิงห์ขายได้เฉพาะเบียร์ในสัญญาของแมนยู ทำให้สิงห์ไม่อาจโฆษณาสิงห์กับแมนฯยูในทีวีได้หรืออาจน้อยกว่าทางเชลซี เนื่องจากอาจผิดข้อกฎหมายเรื่องการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้
สุดท้ายผู้บริหารสิงห์กล่าวว่า "หากเราซื้อสปอนเซอร์คาดหน้าอกเท่ากับเราทำเพื่อความสะใจเท่านั้น"
สำหรับดีลเชลซีนั้นถ้ามีผู้สนใจ ผมจะมาเขียนให้ในวันข้างหน้าคับ^^onion15
ขอบคุณที่มา BrandAge @ http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=332567













</center>

