:oops: ประวัติ (Wayne Rooney)
<object width="640" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/KjSFVd5m2BQ?fs=1&hl=en_US&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/KjSFVd5m2BQ?fs=1&hl=en_US&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="640" height="385"></embed></object>
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม Wayne Mark Rooney
วันเกิด 24 ตุลาคม ค.ศ. 1985
สถานที่เกิด ลิเวอร์พูล อังกฤษ
ส่วนสูง 178 ซ.ม.
ฉายา Wazza, El Blanco Pele, Roonaldo.
ตำแหน่ง กองหน้า
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
หมายเลข 10
ถ้าจะเอ่ยถึงความหวังสูงสุดของชาวอังกฤษในเวลานี้ คงจะหนีไม่พ้นเวย์น รูนี่ย์ กองหน้าเจ้าของร่างอวบอั๋นที่หลายคนแซวว่า "หมู" แต่ฝีเท้าจริงๆ นอกจากจะไม่ใช่หมูธรรมดาแล้ว รูนี่ย์ ยังดุดันไม่ต่างจาก "หมูป่า" อีกด้วย!
เวย์น มาร์ค รูนี่ย์ 1 ใน 3 ลูกชายของบ้านรูนี่ย์ เป็นนักเตะที่มีความมหัศจรรย์มากที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษในยุคนี้ เหนือยิ่งกว่าไมเคิล โอเว่น กองหน้ามหัศจรรย์ของทีมลิเวอร์พูลเสียอีก และที่ตลกร้ายไปกว่านั้นคือทั้งคู่แจ้งเกิดในสโมสรร่วมเมืองเดียวกัน แต่เป็นคนละสี
โอเว่น คือขวัญใจสีแดงของลิเวอร์พูล ขณะที่รูนี่ย์ คือความภาคภูมิใจของชาวเอฟเวอร์โตเนี่ยนสีน้ำเงิน
รูนี่ย์ มีบ้านเกิดอยู่ในย่านคร็อกซ์เทธ และได้รับแรงบันดาลใจในการฝากตัวเป็นสาวกท๊อฟฟี่เม็นจากครอบครัว และยังคงมีใจให้กับเอฟเวอร์ตันเสมอ โดยภาพที่ประทับใจผู้คนคือการสวมเสื้อยืดที่พิมพ์ลายสกรีนว่า "Once a blue, Always a blue"
แน่นอนว่าด้วยความรักที่มีต่อเอฟเวอร์ตัน ทำให้เจ้าหนูรูน มีความปรารถนาที่จะสวมเสื้อสีน้ำเงินเข้มลงเล่นในสนามกูดิสัน ปาร์ค ต่อหน้าชาวเอฟเวอร์โตเนี่ยนทั้งผอง และฝันนั้นของรูนี่ย์ ก็เริ่มมีเค้าลางความจริงเมื่อเขาได้รับการเซ็นสัญญาเป็นผู้เล่นในทีมเยาวชน ในวันเกิดอายุครบรอบ 11 ปี อันเป็นผลพวงมาจากผลงานที่โดดเด่นสุดๆในสมัยเป็นนักเรียนโรงเรียน ลิเวอร์พูล สคูลบอยส์ และทีมเยาวชนเดอะ ไดนาโม บราวนิ่งส์
หลังจากนั้นรูนี่ย์ ก็ใช้เวลาขัดเกลาตัวเองอยู่ในรั้วหัวใจของชาวกูดิสัน ปาร์ค และรอเวลาที่จะเปล่งประกายเป็นดาวจรัสแสงดวงใหม่ของวงการฟุตบอลอังกฤษ
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเทพนิยาย และความสำเร็จก็อาจมาโดยไม่ทันตั้งตัวก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องราวบทแรกในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเขาก็ต้องถูกจารึกไว้ เมื่อกลายเป็นผู้ทำประตูที่อายุน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกได้ด้วยวัยเพียง 16 ปีกับอีก 360 วัน (ก่อนที่จะโดนแซงหน้าไปอีก 2 ครั้ง) ในวันที่ 19 ต.ค. 2002
แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือประตูแรกของรูนี่ย์ มีความหมายอย่างยิ่งเพราะเป็นประตูในช่วงนาทีสุดท้ายที่ช่วยให้เอฟเวอร์ตัน เอาชนะอาร์เซนอล ที่ไม่เคยแพ้ใครมา 30 เกมได้สำเร็จ และยังเป็นประตูสุดสวยด้วยการปั่นไซด์โค้งระยะกว่า 30 หลาเข้าสามเหลี่ยมมุมบนแบบสุดอัศจรรย์อีกด้วย
นับตั้งแต่นั้นมา รูนี่ย์ ก็ถูกจับตามองจากสื่อมวลชนในอังกฤษ และได้รับการยกย่องให้เป็นวันเดอร์คิดคนใหม่ของวงการฟุตบอล และได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำปี 2002 ด้วยเมื่อจบฤดูกาลแรก
แต่ชีวิตของรูนี่ย์ ก็ประสบปัญหาในฤดูกาลต่อมา เมื่อเอฟเวอร์ตัน มีผลงานตกต่ำลงอย่างน่ากลัว ขณะที่รูนี่ย์ เองก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บและฟอร์มการเล่นที่ดร็อปลงไปมาก รวมทั้งยังเริ่มมีพฤติกรรมในทางที่ไม่เหมาะสมเช่นการไปเที่ยวสถานเริงรมย์ และมีรสนิยมชอบสาวงามเมืองที่มากประสบการณ์เป็นต้น
อย่างไรก็ดี คนเมื่อถูกฟ้าลิขิตมาให้เป็นดาวประดับฟ้า อะไรจะมาหยุดนักเตะที่มีพรสวรรค์สูงสุดอย่างรูนี่ย์ได้
รูนี่ย์ กลับมาแจ้งเกิดได้อย่างยิ่งใหญ่แบบเต็มตัวในช่วงศึกยูโร 2004 โดยได้ถูกเรียกตัวจากสเวน โกรัน เอริคส์สัน ให้เข้ามาติดทีมชาติ โดยมีไมเคิล โอเว่น สตาร์รุ่นพี่เป็นคู่หู ซึ่งก่อนหน้านั้นรูนี่ย์ เคยถูกเรียกตัวติดทีมชาติมาเป็นเวลาปีเศษแล้ว โดยเกมแรกที่ได้ลงเล่นในสีเสื้อสิงโตคำรามคือเกมอุ่นเครื่องกับทีมชาติ ออสเตรเลีย ในวันที่ 12 ก.พ. 2003 และเป็นอีกครั้งที่ทำสถิติเป็นผู้เล่นทีมชาติอังกฤษที่อายุน้อยที่สุด (ก่อนจะโดนธีโอ วัลค็อตต์ วันเดอร์คิดคนต่อมาทำลายในปีกลาย)
ในยูโร 2004 ที่โปรตุเกส รูนี่ย์ สามารถผลิตผลงานระดับเทวดาเรียกพี่ได้ และเป็นแกนนำคนสำคัญในทีมไปอย่างไม่น่าเชื่อ กลบรัศมีของดาวเด่นอย่างโอเว่นลงสนิท ด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดัน กล้าหาญ และเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ในการเล่น
รูนี่ย์ ยังเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในศึกฟุตบอลชิง แชมป์แห่งชาติยุโรปด้วยเมื่อทำได้ 2 ประตูในเกมกับสวิตเซอร์แลนด์ แต่ก็ถูกโยฮัน ฟอนลันเธน กองหน้าทีมชาติสวิสแก้ตัวคืนได้ในอีก 4 วันถัดมา
ฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นของรูนี่ย์ ทำให้ทีมชาติอังกฤษมีความหวังที่จะประสบความสำเร็จในเวทีระดับชาติอีกครั้ง แต่พวกเขาก็ต้องฝันสลายเมื่อรูนี่ย์ เกิดได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับโปรตุเกส จนต้องเปลี่ยนตัวออกจากสนาม ก่อนที่ทีมสิงโตคำรามจะตกรอบด้วยการพ่ายจุดโทษ
อาการบาดเจ็บของรูนี่ย์ มีการเปิดเผยว่าเป็นอาการกระดูกเท้าแตก และต้องพักรักษาตัวอีกหลายเดือน แต่มันก็กลายเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทีมต่างๆที่จะตามล่าเจ้าหนู มหัศจรรย์คนนี้ไปร่วมทีม ขณะที่เอฟเวอร์ตัน ต้นสังกัดพยายามสุดชีวิตเพื่อจะปกป้องสมบัติล้ำค่าของแฟนบอลเอาไว้ให้ได้
แต่ถึงจะรักเอฟเวอร์ตันแค่ไหน รูนี่ย์ ก็ไม่สามารถปฏิเสธโอกาสที่จะได้เติบโตก้าวหน้าไปอีกหลายก้าวกับทีม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ ซึ่งแม้ว่าเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะต้องยอมเสี่ยงซื้อนักเตะที่ยังบาดเจ็บอยู่มาด้วยค่าตัวถึงกว่า 27 ล้านปอนด์ แต่รูนี่ย์ ก็ได้ตอบแทนความไว้วางใจด้วยผลงานเหนือเมฆในเกมแรกที่ลงสนามด้วยการยิงแฮ ตทริกทันทีในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
กระนั้นฟอร์มการเล่นของเขาก็ยังไม่ค่อยมีความสม่ำเสมอมากนัก เนื่องจากแมนฯ ยูไนเต็ด เองก็มีปัญหาความไม่ลงตัวโดยเฉพาะรุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้าตัวค้ำที่มีปัญหาคาใจกับทางคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกดาวรุ่งของทีมจนเป็นชนวนบาดหมางและลงเอยที่กองหน้าชาวฮอลแลนด์ ที่เป็นดาวซัลโวประจำทีมต้องย้ายออกไปในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา
แต่การย้ายออกไปของฟาน นิสเตลรอย กลับเป็นผลดี เมื่อรูนี่ย์ ได้มีบทบาทในฐานะหัวใจสำคัญในเกมรุกอย่างจริงจัง โดยมีหลุยส์ ซาฮา เป็นคู่หูคนใหม่ที่เข้าขากันได้ดี รวมถึงโรนัลโด้ ที่เคยมีข่าวหมางใจกันในช่วงฟุตบอลโลก 2006 ก็จับมือผนึกกำลังกันได้อย่างน่ากลัว
สำหรับฟุตบอลโลก 2006 นั้นเป็นอีกครั้งที่รูนี่ย์ ต้องผิดหวังด้วยฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ เนื่องจากก่อนหน้าจะเริ่มฟุตบอลโลกที่เยอรมันไม่ถึง 2 เดือน เกิดได้รับบาดเจ็บกระดูกเท้าแตกที่เดิมและต้องเร่งรักษาตัวท่ามกลางการเอาใจ ช่วยของแฟนบอลชาวผู้ดี แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝัน
ขณะที่ตัวเก๋าๆ อย่างพอล สโคลส์ และไรอัน กิ๊กส์ ก็เรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้อีกครั้งจนพลพรรคอสูรแดงไล่ต้อนคู่แข่งทั่วราช อาณาจักรและมีลุ้นประสบความสำเร็จด้วยการเป็นแชมป์พรีเมียร์ชิพอีกครั้งใน ฤดูกาลนี้
โดยที่มี "คิง" คนใหม่ของโอลด์ แทรฟฟอร์ด อย่างเวย์น รูนี่ย์ เป็นกำลังสำคัญ ..
ฤดูกาลที่ 2008/09 ในขณะที่แดนหน้าของผีแดง มีทั้งคาร์ลอสเตเบซ และ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอพ เป็นตัวเลือก รวมถึง โรนัลโด้ที่ท่านเซอร์จับลงเล่นเป็นกองหน้าในบางครั้ง แต่รูนีย์ ก็ยังเป็นตัวเลือกหลัก ของทีมอยู่ดี
ถ้าจะเอ่ยถึงความหวังสูงสุดของชาวอังกฤษในเวลานี้ คงจะหนีไม่พ้นเวย์น รูนี่ย์ กองหน้าเจ้าของร่างอวบอั๋นที่หลายคนแซวว่า "หมู" แต่ฝีเท้าจริงๆ นอกจากจะไม่ใช่หมูธรรมดาแล้ว รูนี่ย์ ยังดุดันไม่ต่างจาก "หมูป่า" อีกด้วย!
เวย์น มาร์ค รูนี่ย์ 1 ใน 3 ลูกชายของบ้านรูนี่ย์ เป็นนักเตะที่มีความมหัศจรรย์มากที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษในยุคนี้ เหนือยิ่งกว่าไมเคิล โอเว่น กองหน้ามหัศจรรย์ของทีมลิเวอร์พูลเสียอีก และที่ตลกร้ายไปกว่านั้นคือทั้งคู่แจ้งเกิดในสโมสรร่วมเมืองเดียวกัน แต่เป็นคนละสี
โอเว่น คือขวัญใจสีแดงของลิเวอร์พูล ขณะที่รูนี่ย์ คือความภาคภูมิใจของชาวเอฟเวอร์โตเนี่ยนสีน้ำเงิน
รูนี่ย์ มีบ้านเกิดอยู่ในย่านคร็อกซ์เทธ และได้รับแรงบันดาลใจในการฝากตัวเป็นสาวกท๊อฟฟี่เม็นจากครอบครัว และยังคงมีใจให้กับเอฟเวอร์ตันเสมอ โดยภาพที่ประทับใจผู้คนคือการสวมเสื้อยืดที่พิมพ์ลายสกรีนว่า "Once a blue, Always a blue"
แน่นอนว่าด้วยความรักที่มีต่อเอฟเวอร์ตัน ทำให้เจ้าหนูรูน มีความปรารถนาที่จะสวมเสื้อสีน้ำเงินเข้มลงเล่นในสนามกูดิสัน ปาร์ค ต่อหน้าชาวเอฟเวอร์โตเนี่ยนทั้งผอง และฝันนั้นของรูนี่ย์ ก็เริ่มมีเค้าลางความจริงเมื่อเขาได้รับการเซ็นสัญญาเป็นผู้เล่นในทีมเยาวชน ในวันเกิดอายุครบรอบ 11 ปี อันเป็นผลพวงมาจากผลงานที่โดดเด่นสุดๆในสมัยเป็นนักเรียนโรงเรียน ลิเวอร์พูล สคูลบอยส์ และทีมเยาวชนเดอะ ไดนาโม บราวนิ่งส์
หลังจากนั้นรูนี่ย์ ก็ใช้เวลาขัดเกลาตัวเองอยู่ในรั้วหัวใจของชาวกูดิสัน ปาร์ค และรอเวลาที่จะเปล่งประกายเป็นดาวจรัสแสงดวงใหม่ของวงการฟุตบอลอังกฤษ
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเทพนิยาย และความสำเร็จก็อาจมาโดยไม่ทันตั้งตัวก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องราวบทแรกในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเขาก็ต้องถูกจารึกไว้ เมื่อกลายเป็นผู้ทำประตูที่อายุน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกได้ด้วยวัยเพียง 16 ปีกับอีก 360 วัน (ก่อนที่จะโดนแซงหน้าไปอีก 2 ครั้ง) ในวันที่ 19 ต.ค. 2002
แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือประตูแรกของรูนี่ย์ มีความหมายอย่างยิ่งเพราะเป็นประตูในช่วงนาทีสุดท้ายที่ช่วยให้เอฟเวอร์ตัน เอาชนะอาร์เซนอล ที่ไม่เคยแพ้ใครมา 30 เกมได้สำเร็จ และยังเป็นประตูสุดสวยด้วยการปั่นไซด์โค้งระยะกว่า 30 หลาเข้าสามเหลี่ยมมุมบนแบบสุดอัศจรรย์อีกด้วย
นับตั้งแต่นั้นมา รูนี่ย์ ก็ถูกจับตามองจากสื่อมวลชนในอังกฤษ และได้รับการยกย่องให้เป็นวันเดอร์คิดคนใหม่ของวงการฟุตบอล และได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำปี 2002 ด้วยเมื่อจบฤดูกาลแรก
แต่ชีวิตของรูนี่ย์ ก็ประสบปัญหาในฤดูกาลต่อมา เมื่อเอฟเวอร์ตัน มีผลงานตกต่ำลงอย่างน่ากลัว ขณะที่รูนี่ย์ เองก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บและฟอร์มการเล่นที่ดร็อปลงไปมาก รวมทั้งยังเริ่มมีพฤติกรรมในทางที่ไม่เหมาะสมเช่นการไปเที่ยวสถานเริงรมย์ และมีรสนิยมชอบสาวงามเมืองที่มากประสบการณ์เป็นต้น
อย่างไรก็ดี คนเมื่อถูกฟ้าลิขิตมาให้เป็นดาวประดับฟ้า อะไรจะมาหยุดนักเตะที่มีพรสวรรค์สูงสุดอย่างรูนี่ย์ได้
รูนี่ย์ กลับมาแจ้งเกิดได้อย่างยิ่งใหญ่แบบเต็มตัวในช่วงศึกยูโร 2004 โดยได้ถูกเรียกตัวจากสเวน โกรัน เอริคส์สัน ให้เข้ามาติดทีมชาติ โดยมีไมเคิล โอเว่น สตาร์รุ่นพี่เป็นคู่หู ซึ่งก่อนหน้านั้นรูนี่ย์ เคยถูกเรียกตัวติดทีมชาติมาเป็นเวลาปีเศษแล้ว โดยเกมแรกที่ได้ลงเล่นในสีเสื้อสิงโตคำรามคือเกมอุ่นเครื่องกับทีมชาติ ออสเตรเลีย ในวันที่ 12 ก.พ. 2003 และเป็นอีกครั้งที่ทำสถิติเป็นผู้เล่นทีมชาติอังกฤษที่อายุน้อยที่สุด (ก่อนจะโดนธีโอ วัลค็อตต์ วันเดอร์คิดคนต่อมาทำลายในปีกลาย)
ในยูโร 2004 ที่โปรตุเกส รูนี่ย์ สามารถผลิตผลงานระดับเทวดาเรียกพี่ได้ และเป็นแกนนำคนสำคัญในทีมไปอย่างไม่น่าเชื่อ กลบรัศมีของดาวเด่นอย่างโอเว่นลงสนิท ด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดัน กล้าหาญ และเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ในการเล่น
รูนี่ย์ ยังเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในศึกฟุตบอลชิง แชมป์แห่งชาติยุโรปด้วยเมื่อทำได้ 2 ประตูในเกมกับสวิตเซอร์แลนด์ แต่ก็ถูกโยฮัน ฟอนลันเธน กองหน้าทีมชาติสวิสแก้ตัวคืนได้ในอีก 4 วันถัดมา
ฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นของรูนี่ย์ ทำให้ทีมชาติอังกฤษมีความหวังที่จะประสบความสำเร็จในเวทีระดับชาติอีกครั้ง แต่พวกเขาก็ต้องฝันสลายเมื่อรูนี่ย์ เกิดได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับโปรตุเกส จนต้องเปลี่ยนตัวออกจากสนาม ก่อนที่ทีมสิงโตคำรามจะตกรอบด้วยการพ่ายจุดโทษ
อาการบาดเจ็บของรูนี่ย์ มีการเปิดเผยว่าเป็นอาการกระดูกเท้าแตก และต้องพักรักษาตัวอีกหลายเดือน แต่มันก็กลายเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทีมต่างๆที่จะตามล่าเจ้าหนู มหัศจรรย์คนนี้ไปร่วมทีม ขณะที่เอฟเวอร์ตัน ต้นสังกัดพยายามสุดชีวิตเพื่อจะปกป้องสมบัติล้ำค่าของแฟนบอลเอาไว้ให้ได้
แต่ถึงจะรักเอฟเวอร์ตันแค่ไหน รูนี่ย์ ก็ไม่สามารถปฏิเสธโอกาสที่จะได้เติบโตก้าวหน้าไปอีกหลายก้าวกับทีม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ ซึ่งแม้ว่าเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะต้องยอมเสี่ยงซื้อนักเตะที่ยังบาดเจ็บอยู่มาด้วยค่าตัวถึงกว่า 27 ล้านปอนด์ แต่รูนี่ย์ ก็ได้ตอบแทนความไว้วางใจด้วยผลงานเหนือเมฆในเกมแรกที่ลงสนามด้วยการยิงแฮ ตทริกทันทีในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
กระนั้นฟอร์มการเล่นของเขาก็ยังไม่ค่อยมีความสม่ำเสมอมากนัก เนื่องจากแมนฯ ยูไนเต็ด เองก็มีปัญหาความไม่ลงตัวโดยเฉพาะรุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้าตัวค้ำที่มีปัญหาคาใจกับทางคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกดาวรุ่งของทีมจนเป็นชนวนบาดหมางและลงเอยที่กองหน้าชาวฮอลแลนด์ ที่เป็นดาวซัลโวประจำทีมต้องย้ายออกไปในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา
แต่การย้ายออกไปของฟาน นิสเตลรอย กลับเป็นผลดี เมื่อรูนี่ย์ ได้มีบทบาทในฐานะหัวใจสำคัญในเกมรุกอย่างจริงจัง โดยมีหลุยส์ ซาฮา เป็นคู่หูคนใหม่ที่เข้าขากันได้ดี รวมถึงโรนัลโด้ ที่เคยมีข่าวหมางใจกันในช่วงฟุตบอลโลก 2006 ก็จับมือผนึกกำลังกันได้อย่างน่ากลัว
สำหรับฟุตบอลโลก 2006 นั้นเป็นอีกครั้งที่รูนี่ย์ ต้องผิดหวังด้วยฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ เนื่องจากก่อนหน้าจะเริ่มฟุตบอลโลกที่เยอรมันไม่ถึง 2 เดือน เกิดได้รับบาดเจ็บกระดูกเท้าแตกที่เดิมและต้องเร่งรักษาตัวท่ามกลางการเอาใจ ช่วยของแฟนบอลชาวผู้ดี แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝัน
ขณะที่ตัวเก๋าๆ อย่างพอล สโคลส์ และไรอัน กิ๊กส์ ก็เรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้อีกครั้งจนพลพรรคอสูรแดงไล่ต้อนคู่แข่งทั่วราช อาณาจักรและมีลุ้นประสบความสำเร็จด้วยการเป็นแชมป์พรีเมียร์ชิพอีกครั้งใน ฤดูกาลนี้
โดยที่มี "คิง" คนใหม่ของโอลด์ แทรฟฟอร์ด อย่างเวย์น รูนี่ย์ เป็นกำลังสำคัญ ..
ฤดูกาลที่ 2008/09 ในขณะที่แดนหน้าของผีแดง มีทั้งคาร์ลอสเตเบซ และ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอพ เป็นตัวเลือก รวมถึง โรนัลโด้ที่ท่านเซอร์จับลงเล่นเป็นกองหน้าในบางครั้ง แต่รูนีย์ ก็ยังเป็นตัวเลือกหลัก ของทีมอยู่ดี
<object width="640" height="385"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/nhWFwgCDEsw?fs=1&hl=en_US&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/nhWFwgCDEsw?fs=1&hl=en_US&color1=0x3a3a3a&color2=0x999999" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="640" height="385"></embed></object>
ตอนแรกกะจะเอามาให้อ่านสักสองบันทัด
แต่พอเราอ่านไปอ่านมา ทำให้ไม่กล้าตัดออก
เพราะประวัติน้องเวน ทำเอาเราเคลิ้มไปเลย
เป็นเด็กอัจฉริยะเหลือเกิน มีจิตใจที่แข็งแกร่งมาก
ไม่รู้ว่าถ้าเราขาดรูนี่ไปแมนยูเราจะเป็นอย่างไร
และทีมชาติก้อเหมือนกัน ความกดดัน
อยู่ที่ผู้ชายคนนี่หมด
แต่เราเชื่อว่าเวนจะรับมือกับมันได้
สู้ต่อไป นะ รูนี่
ขอ ให้ ฟอร์ม กลับมา ไวๆ นะ
แล้วก็อยุ่ กับ ทีมเราไป นานๆ








