เกมอุ่นเครื่องคืนนี้ระหว่างทีมชาติอังกฤษกับฝรั่งเศสไม่ว่าผลการแข่งขันจะออกมาอย่างไร อย่างน้อยผมในฐานะกองเชียร์สิงโตคำรามก็ดีใจที่ได้เห็นการเรียกตัวเด็กดาวรุ่งขึ้นมาเสริมทีมชุดใหญ่
ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้วในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ชุดยู-21 พวกเด็กเยาวชนของอังกฤษทำผลงานได้ดีเมื่อทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศก่อนจะพ่ายให้กับเยอรมนีทีมเด็กไปด้วยสกอร์ 0-4
ผลที่ตามมาหลังจากนั้นของทีมชาติเยอรมนีคือ มานูเอล นอยเออร์, เจอโรม บัวเต็ง, เดนนิส อาโอโก้, ซามี เคดิรา, มาร์โก มาริน และ เมซุต โอซิล ได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ในชีวิตเมื่อถูกเรียกตัวไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2010 และทั้งหมดก็แจ้งเกิดเต็มตัวจากรายการนั้น เมื่อมีส่วนช่วยพาทีมได้อันดับสามมาครอง
ขณะที่ทีมชาติอังกฤษมีเพียง เจมส์ มิลเนอร์ คนเดียวจากชุดยู 21 ที่ได้ไปบอลโลก และอังกฤษก็ประสบความล้มเหลว
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างสองชาติคือความกล้า เยอรมนีกล้าที่จะพาตัวเองออกจากกรอบเดิมๆเมื่อมันไม่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จ
การตกรอบแรกในฟุตบอลยูโร 2000 คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้สมาคมฟุตบอลอินทรีเหล็กหันมาสนใจกับเด็กเยาวชน และยิ่งมาเน้นหนักมากขึ้นเมื่อทีมชุดใหญ่ยังพุ่งชนความล้มเหลวด้วยการตกรอบแรกฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป 2004 แบบไม่ชนะใครเลย
ที่สุดแล้วการหว่านเมล็ดพันธุ์กับเด็กเยาวชนก็เริ่มออกผล

ฟุตบอลโลก 2006 เยอรมนีภายใต้การนำของ เจอร์เกนส์ คลิ้นส์มันน์ และมือขวา โจอาคิม เลิฟ สามารถพาทีมคว้าอันดับสามมาครองได้อย่างงดงาม ต่อด้วยการเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในฟุตบอลยูโร 2008 ในยุคที่ เลิฟ ได้โอกาสคุมทีมเต็มตัว ล่าสุดกับฟุตบอลโลก 2010 ก็คว้าอันดับสามแบบน่าประทับใจด้วยขุนพลที่ประกอบด้วยเด็กดาวรุ่งมากมาย สไตล์การเล่นที่น่ายกย่อง บวกกับกึ๋นของกุนซือมาดเท่อย่างเลิฟ นั้นน่าจะทำให้ทีมชาติชุดใหญ่ของเยอรมนีสามารถมีลุ้นแชมป์ในรายการต่างๆได้อีกนาน
บุคคลที่มีส่วนอย่างมากในการพาทีมเยอรมนีก้าวไกลมาถึงตรงนี้ได้ต้องมีชื่อของ โจอาคิม เลิฟ อย่างแน่นอน
แม้ตอนที่ทำงานเป็นมือขวาอยู่เบื้องหลังของ คลิ้นส์มันน์ อาจจะไม่ได้เครดิตมากนักจากสายตาคนนอกที่แห่กันไปชื่นชมพี่ฉลาม แต่กับคนวงในแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่า เลิฟ มีความสำคัญต่อทีมแค่ไหน เขาเป็นมือแท็กติกชั้นยอด จิตวิทยาเป็นเยี่ยมและยิ่งกว่านั้นคือ เขาสามารถรวมใจทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียวได้
นอกจากนี้ เลิฟ ยังเป็นคนที่ให้โอกาสเด็กเยาวชนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในเกมอุ่นเครื่องคืนนี้กับสวีเดน เขายังได้เรียกตัวผู้เล่นหน้าใหม่มาอีก 4 คนคือ มาเซล ชเมลเซอร์, มาริโอ โกทเซ่, ลูวิส โฮลต์บี้ และ อังเดร ชูร์เร่

กลับมาที่ทีมชาติอังกฤษ ซึ่งได้กล่าวไปในตอนต้นแล้วว่ามีเพียง มิลเนอร์ คนเดียวที่ขึ้นมาจากทีมยู-21 ชุดรองแชมป์ยุโรปแล้วได้ไปลุยฟุตบอลโลก 2010 แต่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น ทีมน้องอย่างชุดยู-17 ก็สามารถคว้าแชมป์ยุโรปด้วยการทุบสเปนไปได้ 2-1 สตาร์ที่เรารู้จักกันดีในตอนนี้คือ จอร์ช แม็ดแอชราน ก็อยู่ในชุดนั้นด้วย ขณะที่ทีมเยาวชนยู-19 ก็สามารถทะลุเข้าถึงรอบตัดเชือกในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องยืนยันได้เลยว่าอังกฤษมีขุมกำลังเด็กชั้นยอดไม่แพ้ชาติไหนในโลกเลย แม้จะมีีอุปสรรคกับการขึ้นมาเล่นเป็นตัวจริงกับสโมสรในลีกสูงสุดอย่างพรีเมียร์ชิพ ทว่า...ด้วยปัญหาด้านการเงินที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็ทำให้หลายทีมเริ่มหันมาใช้บริการเด็กเยาวชนของตัวเองกันมากขึ้น และนั้นน่าจะทำให้ส่งผลดีต่ออนาคตของทีมชาติชุดใหญ่ไปด้วย
แน่นอนว่าผู้จัดการทีมชาติคือคนสำคัญว่าจะให้โอกาสกับเด็กที่ได้รับการโปรโมตขึ้นมาจากสโมสรต่างๆหรือเปล่า และสิ่งที่ผมเ็ห็นจากการเรียกตัวผู้เล่นมาเตะเกมอุ่นเครื่องกับฝรั่งเศส ก็ทำให้ผมยิ้มได้และรู้สึกดีกับ ฟาบิโอ คาเปลโล่

เจย์ โบธรอยด์, แอนดี้ แคร์โรล, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ คริส สมอลลิ่ง คือ 4 ผู้เล่นหน้าใหม่ในทีมชาติที่ดอนคาเปลโล่เรียกตัวมา แม้รายแรกจะอายุ 28 ปีแล้วก็ยังสามารถใช้งานได้อีกหลายปีถ้าดีจริง แต่กับสามคนที่เหลือนั้นคืออนาคตของทีมชาติชัดๆ เมื่อรวมกับพวกนักเตะอายุน้อยๆคนอื่นอย่าง โจ ฮาร์ท, คีแรน กิ๊บส์, ไมก้า ริชาร์ด, ธีโอ วัลค็อตต์, แจ็ค วิลเชียร์, อดัม จอห์นสัน, แอชลี่ย์ ยัง และ เจมส์ มิลเนอร์ อังกฤษก็มีผู้เล่นที่สามารถใช้งานไปได้อีกนานเลย
ในฐานะแฟนบอลสิงโตคำรามก็อยากเห็น คาเปลโล่ ให้โอกาสกับเด็กดาวรุ่งที่โชว์ฟอร์มในลีกได้ดีมาติดทีมบ่อยๆ อย่างตอนนี้กำลังคัดเลือกไปชิงแชมป์ยูโร 2012 อย่างน้อยก็ควรมองดูว่านักเตะคนไหนมีอายุที่พอเหมาะกับการไปลุยศึกได้บ้าง ไม่ใช่เอาแต่ตัวเก๋าๆมาเล่นคัดเลือก พอผ่านไปรอบสุดท้ายในอีกสองปีข้างหน้าได้พวกเก๋าๆก็เริ่มฟอร์มดร็อป แล้วพอไปเรียกตัวดาวรุ่งที่โชว์ได้ดีในตอนนั้นมาติด พวกนั้นก็ไม่มีประสบการณ์กับทีมชาติ สุดท้ายทีมก็ล้มเหลวอย่างที่ผ่านมา
ในเมื่อกรอบผู้เล่นตัวเดิมๆพาทีมเอาดีไม่ได้ ก็เลือกเด็กใหม่ๆมาเล่นไปเสียเลย กล้าๆแบบนี้ล่ะดีแล้วคาเปลโล่




