ผมได้ยินคนพูดกันว่าผู้จัดการทีมไม่สามารถทำอะไรได้ หลังนักเตะวิ่งผ่านเส้นกั้นในสนามไปแล้ว นั่นมันเป็นเรื่องตอแหล เจ้านายของเรา เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับทีมทุกๆครั้งที่มีการแข่งขัน คุณสามารถรู้สึกถึงเขาได้ในหัวของคุณ คุณจะคิดว่า "พระเจ้า เราจะต้องปเผชิญหน้ากับเขาในช่วงพักครึ่ง เราควรจะทำผลงานให้ดีขึ้ันหรืออาจจะโดนเขาเลาะกระโหลกออกมาได้"
เขาเป็นคนที่ควบคุมทุกๆอย่าง เขาเป็นคนสร้างคุณหรือหยุดคุณในอาชีพการค้าแข้งของคุณ เขาเป็นคนตัดสินใจว่าคุณจะได้ไปนั่งดื่มด่ำกับอาหารจีนและไวน์กับครอบครัวของคุณหลังจบเกม หรือคุณจะนั่งอยู่ท่ามกลางความเงียบที่แสนทรมาน
มันเกิดขึ้นครั้งแรกที่แอนฟิลด์ที่ผมได้เห็นสิ่งที่ทุกคนเรียกกันว่า "ไดร์เป่าผม" ถึงแม้ว่านักเตะของพวกเราจะไม่เคยเรียกแบบนั้นก็ตาม
"แกลื่นล้ม" เจ้านายตะโกนใส่ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล "คุณก็เหมือนกัน" ชไมเคิ่ลสวนกลับ หลังสิ้นเสียงของเขา ทุกๆคนเงยหน้าขึ้นมองและคิดว่า "โอ้พระเจ้า เขาโดนแน่" และมันก็แน่นอนเจ้านายจัดการเด็ดหัวปีเตอร์ออกเรียบร้อย

หลังจากนั้นมีเหตุการณ์ในปี 1994 ที่พวกเราถูกบาร์เซโลน่าไล่ถล่มที่คัมป์ นู ในช่วงครึ่งเวลาเจ้านายจวกพอล อินซ์ซะยับ โดยมีจุดหนึ่งไบรอัน คิดด์ (ผู้ช่วยผู้จัดการทีม) อยู่ระหว่างพวกเขาทั้งสอง พร้อมที่จะหยุดพวกเขาและคิดว่ามันจะเกินเลยไปกว่านั้น
หลังจากที่อินซ์ได้ย้ายทีมในปี 1995 หลายๆคนสงสัยว่าเจ้านายทำอะไรลงไป หลังจากบทสรุปในฤดูกาลที่แสนย่ำแย่ที่ผ่านมา เขาคงจามขวานของเขาลง
อินซี่ถูกเสนอขายให้กับอินเตอร์ มิลาน อังเดร แคนเชสกี้เป็นรายต่อไป และที่ช็อคที่สุดก็คือสปาร์คกี้ (มาร์ค ฮิวจส์) ผมนั่งอยู่ในรถของผมและได้ยินวิทยุบอกว่าเขาจะย้ายไปเล่นให้กับเชลซี ผมมึนงงเฉกเช่นเดียวกับเหล่าแฟนบอลสเตร็ทฟอร์ด เอ็น
อิทธิพลและความหนักแน่นของเจ้านายไม่เคยจางหายไป แม้กระทั่งเขาเข้าใกล้อายุ 70 ปีแล้วก็ตาม ฉะนั้นแล้วมันทำให้พวกเราประหลาดใจในตอนที่เขาวางแผนจะเลิกคุมทีมในช่วงปี 2002
ในตอนที่พวกเราลงเล่นในฤดูกาลนั้น พวกเรานับวันถอยหลังรอวันเลิกคุมทีมของเขา หลังจากนั้นยาป สตัมถูกขายทิ้ง และเหล่านักเตะก็งงกันเป็นไก่ตาแตก

ทฤษฎีสมคบคิดต่างๆถูกยกขึ้นมาเพราะการย้ายทีมของยาป มาหลังจากที่เขาออกหนังสืออัตชีวประวัติ ถึงแม้ว่าตัวผมเองจะคิดว่าหนังสือนั้นมีส่วนเพียงน้อยนิด หรือไม่เกี่ยวข้องเลยก็ตาม
ผมรู้ว่าผู้จัดการทีมไม่ได้อะไรกับมันมากนัก เช่นเดียวกับผมที่ถูกเขาเรียกว่า "ไอ้ตัวหัวค**น่ารำคาญ"
ยาปได้เรียกคำนั้นกับผมต่อหน้าหลายๆครั้ง และผมก็รู้ว่ามันหมายความแบบนั้นจริงๆ แต่มันก็ไม่ได้ดูฉลาดมากนักกับการเผยแพร่เรื่องนี้ไปทั่วหน้าหนังสือพิมพ์
สิ่งเดียวที่น่าจะเป็นเหตุผลก็เพราะผู้จัดการทีมสูญเสียความมั่นใจในตัวเขา เขาคิดว่ายาปช้าลง ซึ่งแม้กระทั่งว่าบางส่วนของเขาอาจจะคิดถูก เขาก็ยังคงเป็นกองหลังที่ยอดเยี่ยมของพวกเราอยู่ดี มันเป็นการตัดสินใจที่แปลกประหลาด และทำให้มันแปลกไปกว่านั้นหลังเขาดึงตัวโลร็องค์ บล็องก์ กองหลังสุดคลาสสิคแต่ชัดเจนว่าผ่านจุดที่ดีที่สุดของเขาไปแล้วมาแทนการจากไปของยาป
มันมีการตัดสินใจครั้งสำคัญไม่มากนักที่คุณจะชี้นิ้วแล้วบอกว่าเจ้านายตัดสินใจพลาด แต่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2002 เขาเปิดเผยว่าเขาจะไม่เลิกคุมทีมแล้ว ลึกลงไปในจิตใจของพวกเราทุกๆคนล้วนแล้วแต่ดีใจกันทั้งนั้น
ผมบอกว่าทุกๆคน แต่ใบหน้าของดไวท์ ยอร์คดูซึมๆ เพราะเขาตกเป็นตัวสำรองและบางทีเขาจะได้การออกสตาร์ทใหม่ๆ จากผู้จัดการทีมคนใหม่ ตอนนั้นเจ้านายแทบจะยังไม่ได้ออกจากห้องตอนที่รอย คีนโป้งออกมาว่า "มึงซวยแล้วไงล่ะ ยอร์คกี้"
การตัดสินใจที่จะคุมทีมต่อไปของผู้จัดการทีมส่งผลกระตุ้นชั้นยอดให้กับพวกเรา แต่มันมาช้าไปสำหรับการรักษาฤดูกาลที่เต็มไปด้วยความไม่สม่ำเสมอ คนที่ดูขึ้นๆลงๆมากที่สุดดูจะเป็นรุด ฟาน นิสเตอรอย - เขาเป็นตัวจบสกอร์ชั้นยอดและดูเหมือนจะเป็นเพื่อนร่วมทีมคนเดียวที่ผมเคยมีปัญหาด้วย
พวกเรากำลังลงแข่งขันกับมิดเดิ้ลสโบรห์ และผมก็จ่ายบอลทะลุช่องให้กับเขา รุดยกมือของเขาขึ้นไปในอากาศ เหมือนกับจะบอกว่า "เอ็งพยายามจะทำอะไร?" ผมวิ่งเข้าไปหาเขาแล้วบอกกับเขาว่า "วิ่งตามมันไปสิวะ ไอ้***ขี้เกียจ"
หลังจากจบเกมการแข่งขันผมกำลังนั่งอยู่ที่มุมห้องและถอดรองเท้าออก ก่อนรุดจะบินเข้ามาหาผมและพูดกับผมว่า "อย่าได้ทะลึ่งตะโกนใส่กูในสนาม" ผมพยายามจะผลักเขาออกไป เพื่อนร่วมทีมโดดเข้ามาห้ามและแยกพวกเราออกจากกัน สิ่งต่างๆดูเดือดขึ้นเรื่อยๆในค่ำคืนนั้น แต่วันต่อมาพวกเราก็จับมือกัน
บางทีเขาคงจะคิดว่าผมเป็นแค่ขนตูดนักเตะแบ็คขวาทีมชาติอังกฤษธรรมดา ส่วนเขาเป็นผู้สืบทอดของฟาน บาสเท่น โดยการวิ่งไล่ตามบอลทะลุช่องไม่ใช่จุดแข็งของเขา และเขาอาจจะคิดถูกก็ได้
พวกเราดูแข็งแกร่งในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลถัดมา แต่แม้ในกระทั่งฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จ มันก็มักจะมีเกมการแข่งขันที่ทุกๆอย่างดูผิดพลาดไปซะหมด ฤดูกาลนั้นพวกเราแข่งขันที่เมน โร้ดในเดือนพฤศจิกายนและพ่ายแพ้ให้กับซิตี้ 3-1 ผู้จัดการทีมเดือดสุดๆ คุณสามารถมองเห็นเขาใกล้จะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
หลังจากนั้นรุดเดินเข้าห้องแต่งตัวพร้อมกับมีเสื้อของนักเตะซิตี้พาดบ่าอยู่ เขาคงจะถูกขอแลกเสื้อในระหว่างทางเดินและไม่ได้คิดอะไร
แต่ผู้จัดการทีมคิด "แกอย่าบังอาจเอาเสื้อไปให้กับใคร อย่าได้ทำแบบนั้นอีก หากอั๊วะได้เห็นใครสักคนให้เสื้อของตัวเองกับคนอื่น มันคนนั้นจะไม่ได้ลงเล่นให้กับอั๊วะอีก"
ในเดือนกุมภาพันธ์พวกเราต้องตกรอบเอฟเอ คัพด้วยน้ำมือของอาร์เซนอล แต่มันไม่ใช่ผลการแข่งขันที่ทำให้เกิดปัญหาครั้งใหญ่
ในห้องแต่งตัว ผู้จัดการทีมกล่าวโทษเบ็คส์ที่ทำให้เสียประตูประตูหนึ่ง เบ็คส์ไม่เห็นด้วย โต้ตอบเขากลับไปและผู้จัดการทีมก็ระเบิดออกมา เขาหันไปรอบๆมองเห็นสตั๊ดวางอยู่กับพื้นและเตะมันเหมือนกับพยายามตะบันยิงประตู
เขาเผชิญหน้ากับเบ็คส์ แต่มันไม่มีทางเลยที่เขาตั้งใจจะเตะใส่หน้าของเบ็คส์ ผมได้เห็นผู้จัดการทีมเตะบอลในช่วงซ้อมมาแล้ว ให้เขาทำแบบนั้นอีกพันครั้งเขาก็ทำไม่ได้หรอก แต่สตั๊ดลอยไปโดนหน้าเบ็คส์ในส่วนเหนือตาของเขา และสร้างบาดแผลให้กับเขา เขายกมือขึ้นและรู้ว่าเลือดไหล จากนั้นแล้วเบ็คส์ยืนขึ้นและอาละวาดทันที
ในช่วงไม่กี่วินาที เจ้านายตกตะลึงพูดอะไรไม่ออกซึ่งมันดูไม่เหมือนกับเขาเลย ผมคิดว่าเขารู้ว่าเตะนักเตะของเขาด้วยรองเท้าสตั๊ด แม้ว่ามันจะเป็นอุบัติเหตุ เขาขอโทษตรงๆ "เดวิด ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเตะรองเท้าใส่หน้าแกนะ"
เบ็คส์ไม่ได้รับฟังคำขอโทษดังกล่าว พวกเราบางคนต้องแยกเขาสองคนออกจากกัน เหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์แทบจะทุกฉบับ การเปลี่ยนแปลงดูจะมาจากสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
พวกเราคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกกลับมาได้ในปี 2003 แต่มันเป็นจุดจบของเบ็คส์ มันไม่ใช่แนวทางที่เขาต้องการจะย้ายทีม แต่เขาก็สามารถจะได้เล่นให้กับสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเช่นเดียวกับยูไนเต็ด เรอัล มาดริด ที่ๆเขาจะได้ลงเล่นกับสตาร์ชื่อดังทั้งซิเนอดิน ซีดาน, หลุยส์ ฟิโก้และโรแบร์โต้ คาร์ลอส
เหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2005 แต่มันยากเหลือเกินที่จะได้รู้ว่าความเปลี่ยนแปลงต่างๆคืออะไร จนกระทั่งคำวิจารณ์ของรอย คีนผ่านรายการโทรทัศน์ของสโมสรเราเอง MUTV
ผลการแข่งขันที่พวกเราถูกมิดเดิ้ลสโบรห์ถล่มไป 4-1 ทำให้พวกเราถูกเชลซีทิ้งห่างในลีก รอยรู้สึกว่านักเตะดาวรุ่งนั้นไม่ทุ่มเท เขาเห็นเด็กพวกนั้นเล่นเกมเพลย์สเตชั่นกันและเขาก็รับไม่ได้ โปรแกรมการออกอากาศถูกยกเลิกโดยทางสโมสร แต่เรื่องราวหลุดออกไปและสื่อต่างๆก็เล่นมัน
ผู้จัดการทีมมีความภาคภูมิใจในตัวเองสำหรับการเก็บเรื่องราวปัญหาต่างๆไว้หลังประตู เขาเรียกทุกๆคนมาที่ออฟฟิศของเขาเพื่อสะสาง รอยและผู้จัดการทีมไม่พูดคุยกันอีกเลยและมันไม่สามารถดำเนินต่อไปแบบนั้นได้
รอยกำลังจะกลับมาลงเล่นในทีมสำรองกับผม หนึ่งในทีมงานบอกกับเขาว่าเขาจะไม่ได้เล่น เขาเองรู้ดีกับจุดจบที่ใกล้จะเกิดขึ้นและวันถัดมารอยก็จากไป
มันเกิดขึ้นในการแข่งขันแชมเปี้ยนส์ ลีกปี 2007 เมื่อผมมีปัญหาการเผชิญหน้าที่ซีเรียสที่สุดกับผู้จัดการทีม พวกเราได้ประตูจากลูกฟรีคิกเร็วในขณะที่ลีลล์กำลังตั้กำแพงกันอยู่ หลังจากพวกเขาประท้วงผู้ตัดสินพวกเขาเริ่มที่จะวอล์คเอ้าท์
"มาสิวะ ลงเล่นกันต่อไปเถอะ" ผมพูดกับกัปตันทีมของเขาบริเวณข้างสนาม สิ่งต่อไปที่ผมรู้ก็คือผู้จัดการทีมดิ่งมาหาผม และตะโกนใส่ผมว่า "แกทำอะไรของแก กลับไปอยู่ในสนาม!"
สิ่งเดียวที่ผมเป็นห่วงตอนนั้นก็คือ ผมพยายามจะทำทุกๆอย่างให้ทุกๆคนกลับไปลงสนามซึ่งพวกเรากำลังนำอยู่ ผมสวนเขากลับไปว่า "ฟัค อ้อฟ" แล้วก็เดินหนีออกมา
ถึงตอนนี้ ผมพูดคำว่า "ฟัค อ้อฟ" เป็นล้านๆครั้งกับหลายๆคนแต่ผมไม่เคยพูดกับผู้จัดการทีมเลยสักครั้ง ผมรู้ว่าผมจะไม่รอดไปจากคำพูดนั้น หลังจากนั้นผมก็ถูกเรียกให้ไปพบเจ้านายในห้องทำงานของเขา เขาโกรธมากๆ และเล่นงานผมทันที
พวกเราลงเล่นกับฟูแล่มในสัปดาห์ถัดมา และเขาก็เรียกผมติดทีมไปด้วยที่ลอนดอน แต่ไม่ได้ใส่ผมในรายชื่อตัวสำรอง อีก 3 วันหลังจากนั้นผมก็ติดทีมไปที่เรดดิ้งและก็ถูกปล่อยให้อยู่บนอัฒจรรย์อีกครั้ง ทริปนั้นเป็นอะไรที่เสียเวลามากแต่ผู้จัดการทีมก็มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น ผมจะไม่ไปสบถใส่เขาอีกแล้ว
มันคงจะเป็นช่วงเวลาที่น่าเศร้ามากๆในวันที่เขาเลิกคุมทีม ผู้จัดการทีมคนต่อไปของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะต้องกล้าหาญ และเขาจะต้องมีความเด็ดขาด
ในช่วงเดือนตุลาคม 2010 เวย์น รูนี่ย์ทำให้ทุกๆคนตกตะลึงโดยการตัดสินใจว่าเขาต้องการจะย้ายออกจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
หลังจากนั้น ก่อนเกมแชมเปี้ยนส์ ลีกกับบูราสปอร์ เขาออกแถลงการณ์เปิดเผยว่าสโมสรขาดความทะเยอทะยานและขุมกำลังนั้นไม่ดีพอ
เวย์นเป็นคนดี เขาไม่ใช่พวกตัวสร้างปัญหา ฉะนั้นแล้วพวกเราต่างตกตะลึงกับคำพูดของเขา
ในเช้าวันถัดมา ผมเห็นเวย์นในสนามซ้อม "เอ็งมาทำอะไรที่นี่ไอ้อ้วน?" ผมถามเขา "ฉันจะอยู่ต่อ" เขาตอบผม "ป้อมึงดิ! จริงหรอ? ถ้าแกจะอยู่ต่อแกก็ต้องขอโทษนะ"
ผมไม่คิดว่าเขาจำเป็นจะต้องได้รับการบอกให้ทำแบบนั้น ในช่วง 24 ชั่วโมงเวย์นโทรหานักเตะทุกๆคนให้มารวมกันและกล่าวคำขอโทษ เขาบอกว่าเขาได้ทำพลาดและอ่านสถานการณ์ผิดไป


บทความดังกล่าวเป็นบทความของแกรี่ เนวิลล์ที่เขียนให้กับหนังสือพิมพ์ Daily Mail
ที่มา : http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=472522

















