
เขียนเป็น: ทำไมปีศาจแดงถึงเหี้ยมโหดจังครับ ไม่สงสารหรือเกรงใจทีมอื่นบ้างเลยเหรอ?
น้องเหยิน
...
ส่งไม่ตาย: ก่อนอื่นต้องขออภัยบรรดากองแช่งด้วยนะครับที่พลพรรคปีศาจแดงทำให้ขอบตาของพวกท่านร้อนผะผ่าวอีกแล้ว หนำซ้ำยังทำให้พวกท่านต้องกระสับกระส่ายในยามวิกาลอีกต่างหาก ขณะที่บางท่านคงจะนอนไม่หลับไปทั้งคืน โดยเฉพาะแฟนบอลบางคนที่ยังมั่นใจแบบเต็มประดาว่าทีมรักของตัวเองจะคว้าแชมป์ลีกสูงสุดในฤดูกาลนี้ แต่ทีมตัวเองกลับ...เอ่อ..อ...อ...แต่ทีมตัวเองกลับ...เอ่อ..อ..อ...ช่างมันเหอะ มันผ่านไปแล้ว ผมไม่อยากรื้อฟื้น (หาเรื่องโดนด่าอีกแล้วกู อิอิอิ) เรียนตามตรงว่าผู้ขายวิญญาณให้ท่านซาตานอย่างผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ยุคลูกกรอกซอยยิกจะเอาความยับเยินไปยัดเยียดให้ โบลตัน ซะขนาดนั้น ฮ่า-ฮ่า-ฮ่า
เหตุผลคือ...
1. ฤดูกาลที่แล้ว แมนฯยูไนเต็ด ทำได้แค่กระเสือกกระสนดิ้นรนตีเสมอเจ้าของสนาม รีบ็อคสเตเดี้ยม ด้วยสกอร์ 2-2
2. ผลงานนอกบ้านของ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังไม่ค่อยน่าไว้ใจ หลังจากที่ชนะเพียงแค่ 5 นัด เมื่อซีซั่นที่แล้ว
3. ก่อนแข่ง โบลตัน ตกอยู่ในสภาพหลังกระแทกฝาจากความพ่ายแพ้ติดต่อกัน 2 นัด
4. ก่อนแข่ง แมนฯ ซิตี้ มอบความกดดันให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยการแซงนำเป็นจ่าฝูง หลังถล่ม วีแกน 3-0 โดย กุน อเกวโร่ ทำแฮตทริคได้สำเร็จซะด้วย
ที่ไหนได้นะครับ - ที่ไหนได้
นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ เพราะไม่ถึง 5 นาทีเลยด้วยซ้ำ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็บุกไปทำลายตาข่ายของเจ้าบ้านซะอย่างนั้น
หลังจากนั้นก็ตามกระหน่ำอีก 2 ดอก เรียกว่า "มันจบแล้วครับนาย" ตั้งแต่ยังไม่หมดครึ่งแรก
แมนฯ ซิตี้ ชนะ 3-0 "เอล กุน" เซร์คิโอ อเกวโร่ ทำแฮตทริค - แมนฯ ยูไนเต็ด บุกถล่ม 5-0 "เอล กุน" ที่แปลว่า "น้องหมู" อย่าง เวย์น รูนี่ย์ ก็ทำแฮตทริคได้สำเร็จ แถมยังเป็นแฮตทริคที่ 2 ติดต่อกัน (เป็นคนที่ 4 ของพรีเมียร์ลีก หลังจากที่ เอียน ไรท์, เลส เฟอร์ดินานด์ และดิดิเยร์ ดร็อกบา เคยทำแบบนี้มาก่อน)
ถามว่าทั้ง 5 ประตูที่พวกลูกป๋านำไปมอบให้เจ้าถิ่น ผมชอบประตูไหนมากที่สุด?
ขอตอบว่าประตูแรกนี่แหละ
แม้จะเป็นการเข้าทำตามสูตรสำเร็จของเกมลูกหนัง คือเปิดจากริมเส้นก่อนที่กองหน้าพุ่งเข้าชาร์จ แต่ผมชอบอะไรที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ที่สำคัญมันเกิดจากรูปแบบการจู่โจมแบบนินจาลอบสังหารอีกแล้ว โดยใช้จังหวะการผ่านบอลอย่างรวดเร็วและแม่นยำเพียงแค่ 3 จังหวะเท่านั้นเอง
จังหวะที่ 1 เวย์น รูนี่ย์ วิ่งไปขอบอลจากเพื่อนร่วมทีมบริเวณกลางสนาม แล้วเร่งสปีดของเกมทันทีด้วยการจ่ายออกไปทางปีกขวาให้ นานี่
จังหวะที่ 2 นานี่ กระชากลูกเข้าไปเกือบถึงเส้นหลังและกรอบเขตโทษ ก่อนตวัดเข้าไปที่จุดนัดพบ
จังหวะที่ 3 ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ พุ่งเข้าชาร์จทางเสาแรกตัดหน้านายทวารของเจ้าถิ่นส่งลูกซุกก้นตาข่าย
เมื่อดูภาพช้า (ขนาดดูจากภาพช้าแล้วนะ) ผมพบว่าลูกเปิดยัดเข้ามาของ นานี่ ทั้งรุนแรงและรวดเร็ว หากเป็นกองหน้าดาดๆ โดยทั่วไปไม่มีทางเข้าถึงอย่างแน่นอน ผู้ที่จะกระทุ้งประตูนี้ได้ต้องมีทั้งความรวดเร็วและสัญชาติญาณนักล่าในกรอบเขตโทษระดับ "เหนือมนุษย์" ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ "ชิชาริโต้" สำแดงออกมาอีกครั้งหลังจากได้ลงตัวจริงเป็นนัดแรกของฤดูกาล
สถิติบอกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสทำลายตาข่ายน้อยกว่า โบลตัน อีกนะครับ
ตลอดทั้งเกมพวกเขามีโอกาสยิงประตูทั้งหมดเพียง 11 ครั้ง (เข้ากรอบ 8 ครั้ง) ผิดกับเจ้าถิ่นที่มีโอกาสมากกว่าถึง 5 ครั้ง (แต่เข้ากรอบแค่ 6 ครั้ง) ตรงจุดนี้แหละที่แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดและเฉียบคมของจังหวะเข้าทำที่รวดเร็วและกะซวกไส้ขึ้นแบบผิดหูผิดตา
น่าเสียดายที่นักเตะกุมารทองอย่าง ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ ถูกอาการบาดเจ็บกระชากออกจากสนามตั้งแต่นาทีที่ 8 แถมผลการตรวจสอบอย่างละเอียดออกมาแล้วว่าเส้นเอ็นเท้าเสียหายทำให้อดลงสนามอย่างต่ำเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ ซึ่งถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงของกองหน้าผู้มีอาการทางจิตของ โบลตัน อย่าง เควิน เดวิส
จังหวะนั้น เควิน เดวิส ไม่มีความจำเป็นต้องเสียบเลยนะครับ ในเมื่อ ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ ไม่ได้ไปฆ่าพ่อมึงสักหน่อย เอ๊ย!...ไม่ใช่!! ในเมื่อ ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ ได้บอลบริเวณกลางสนาม โดยไม่มีทีท่าว่าจะสร้างความอันตรายใดๆ ให้ทีมของ เควิน เดวิส สักหน่อย
กล่าวถึงกองหน้าวัย 34 ปีผู้นี้ของ โบลตัน เขาจัดเป็นผู้เล่นที่เสียชาติเกิดมาเป็นกองหน้าอย่างรุนแรง เพราะดันชอบสะสมใบเหลืองมากกว่าสะสมจำนวนประตูซะอย่างนั้น
ตลอดฤดูกาลที่แล้วเขาสะสมใบเหลืองไปทั้งหมด 13 ใบ โดยทำสถิติโดนใบเหลืองติดต่อกัน 5 นัดในช่วงต้นฤดูกาล ก่อนที่จะทำสถิติโดนใบเหลืองติดต่อกันอีก 4 นัดในช่วงท้ายฤดูกาล
5 ฤดูกาลที่ผ่านมา นักเตะคนนี้ได้รับใบเหลืองจากผู้ตัดสินทั้งหมด 49 ใบ แต่กลับเคยได้ใบแดงเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในรอบ 5 ปี เมื่อฤดูกาล 2006-07 ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพี่แกเอาตัวรอดจากการโดนไล่ออกมาได้อย่างไรตั้งนานขนาดนั้น
ที่แน่ๆ คือ เควิน เดวิส ไม่โดนแม้แต่จดชื่อตอนที่บรรจงมอบอาการบาดเจ็บให้ ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์
สำหรับเด็กผีที่อยากจะกระโดดถีบหน้า เควิน เดวิส ผมขอให้นึกถึงสิ่งที่ รอย คีน เคยกระทำกับเพื่อนร่วมอาชีพคนหนึ่ง
เหตุเกิดในเกมพรีเมียร์ลีกระหว่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด กับ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาล 1997-98 รอย คีน ดันสะดุดเงาตัวเองหกล้มลงไปกองกับฟลอร์หญ้า ส่งผลให้ อัล์ฟ อิงเก้ ฮาแลนด์ คิดว่าเขาเล่นละครตบตาผู้ตัดสินจึงวิ่งเข้ามาหาพลางกระซิบข้างหูว่า "ไอ้หอกหักเอ้ย! มึงลุกขึ้นมาเลย...อย่าสำออย"
แต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก เพราะนักเตะที่เพื่อนๆ เรียกว่า "คีโน่" ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจนลงสนามไม่ได้ตลอดฤดูกาลนั้น
กระทั่งวันหนึ่งที่ท่านซาตานในนรกลิขิตให้ทั้งคู่หวนกลับมาปะทะอีกครั้ง
เมื่อสบโอกาส รอย คีน บรรจงใช้ฝ่าตีนหุ้มสตั๊ดของตัวเองอัดกระหน่ำเข้าไปที่หัวเข่าของ อัล์ฟ อิงเก้ ฮาแลนด์ ซึ่งตอนนั้นเล่นให้ แมนฯ ซิตี้ ในรูปแบบของการ "จัดหนัก" พลางก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูด้วยความเป็นห่วงว่า "โธ่...ไอ้หน้าหนังหมา! วันนั้นกูไม่ได้สำออยโว้ย!!"
ว่าแล้วก็ "ส่าย" ออกจากสนามไปโดยไม่ต้องรอผู้ตัดสินชักใบแดงมอบให้เป็นของสมนาคุณ
อัล์ฟ อิงเก้ ฮาแลนด์ ไม่ได้สาหัสอะไรมาก แค่ต้องแขวนสตั๊ดไปเลย!
นอกจากนี้ในการเจอกันระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ โบลตัน เมื่อฤดูกาลก่อนที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด - จอนนี่ อีแวนส์ ก็เคยมอบอาการบาดเจ็บระดับขาหักให้ดาวเด่นของผู้มาเยือนอย่าง สจ๊วร์ต โฮลเด้น นั่นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไม "ไอ้จ้อน" ถึงโดนฝูงแฟนบอลเจ้าถิ่นสำรากเสียงโห่ใส่ตลอดเวลา
เช่นเดียวกับที่มันอาจเป็นเหตุผลบอกว่าทำไม เควิน เดวิส ถึงต้องเล่นรุนแรงแบบไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นการปราศจาก ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ กลับไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการเล่นและความสมดุลย์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อตัวสำรองที่ลงมาแทนอย่าง ไมเคิ่ล คาร์ริค บนวัย 30 กะรัต พยายามปรับตัวให้เข้ากับสปีดความเร็วของปีศาจแดงด้วยการไม่ครองบอลนาน และไม่ดึงจังหวะไว้กับตัวมากนัก
เกมของปีศาจแดงจึงไหลลื่นและยิงกระจายเหมือนเดิม
ว่าแล้วก็ต้องขออภัยแฟนบอลทีมอื่นอีกครั้งที่พลพรรคปีศาจสามง่ามทำให้พวกท่านทั้งหลายไม่สบายใจ อิอิอิ
Thank SiamSport








แล้วทำไมต้องมาจัดหนักกับน้องทอมด้วยยย !!








