ไม่รู้ว่าอ่านกันรึยัง แต่ผมอ่านแล้ว บัง มันหล่อมาก
วันหนึ่ง ออเรลิโอ เปเรยร่า รับโทรศัพท์จาก คาร์ลอส เคยรอช เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้ช่วยฯ ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เห็นได้ชัดว่าเขามีเรื่องรบกวนจิตใจพอสมควร
เคยรอช เดินทางมา โปรตุเกส พร้อม เดวิด กิลล์ ซีอีโอใหญ่ของ "ปีศาจแดง" เพื่อจัดแจงการเจรจาซื้อปีกผลผลิตล่าสุดของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน และต้องการทำให้มั่นใจว่า ยูไนเต็ด คิดถูกแล้วที่ยอมจ่ายเงิน 17 ล้านปอนด์ แลกนักเตะที่ชื่อ หลุยส์ คาร์ลอส อัลเมยด้า ดา คุนญ่า หรือที่รู้จักกันในชื่อ "นานี่"
เปเรยร่า หัวหน้าเครือข่ายแมวมองของ สปอร์ติ้ง วัย 64 ปี ที่ได้รับความเคารพจากทั่ววงการลูกหนังฝอยทอง จากการเป็นคนค้นพบ หลุยส์ ฟิโก้, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เปาโล ฟูเตร้ และ ริคาร์โด้ กวาเรสม่า แต่เขาไม่ค่อยพูดถึงศิษย์เก่ามากนัก ย้อนความว่า "คาร์ลอส อยู่ที่โรงแรมใน ลิสบอน เขาอยากรู้เรื่อง นานี่ ว่าสภาพจิตใจเป็นยังไง เขาจะรับมือแรงกดดันจากการเล่นให้ ยูไนเต็ด ได้มั้ย เขาไม่อยากรู้เรื่องที่ว่าเขามีเท้าที่สุดยอดขนาดไหน เขารู้หมดแล้ว"
"เขาอยากรู้เรื่องส่วนตัว บุคลิกภาพว่า เขาจะรับมือกับการเล่นในลีกต่างแดน กับทีมที่แตกต่างไปได้มั้ย มันเป็นความรับผิดชอบครั้งใหญ่ของ คาร์ลอส เพราะมันเป็นการทำสัญญามูลค่า 25 ล้านยูโร และเขาอยากมั่นใจสุดๆ กับการเจรจานี้ ผมบอกเขาให้ใจเย็น และตอบเขาไปว่า เขากำลังจะซื้อนักเตะที่ครบเครื่องที่สุด"
จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ยูไนเต็ด เช็กแฮนด์กับ สปอร์ติ้ง บรรลุข้อตกลงการย้ายทีมของ ปีก 20 ปี ไปเล่นที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ... นั่นเองที่การเดินทางบทใหม่ของ นานี่ เริ่มต้น
ตัวเลข 184 ป้ายอยู่หน้าประตูสีน้ำเงิน บนถนน - หากคุณคิดว่าสามารถเรียกแบบนั้นได้ - ที่ไม่มีชื่อ มันเป็นเพียงทางที่เต็มไปด้วยฝุ่น ลากยาวไปตามสนามหญ้า ที่พาคุณไปยังสถานที่ที่ นานี่ เติบโตขึ้นใน ซานตา ฟิโลเมน่า หมู่บ้านเล็กๆ ริมเนินเขา ที่มองลงมาเห็นเมือง อมาโดน่า ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ ลิสบอน
กว่า 30 % จากประชาชนอายุระหว่าง 15-30 ปี ที่อยู่ที่นี่ มีประวัติก่ออาชญากรรม การจะมาที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องฉลาด เว้นเสียแต่ว่าคุณจะทำงานในบริษัทท้องถิ่นเหมือน อัลซิเดส เมนเดส ผู้ก่อตั้ง และประธานของ "เอสปาโก้ โชเบม" (Espaco Jovem) องค์กรเยาวชนที่ช่วย นานี่ ให้ห่างไกลจากอาชญากรรม หลังจากเขาถูกแยกตัวมาจากพ่อแม่ที่เขามาจาก เคป เวิร์ด เกาะหนึ่งในแอฟริกา ตั้งแต่อายุน้อยๆ
ตอน นานี่ อายุ 7 ขวบ โดมิงโกส พ่อของเขากลับไปเยี่ยมบ้านในช่วงฮอลลิเดย์ และไม่กลับมาอีก ส่วน มาเรีย แม่ของเขา ออกจาก โปรตุเกส ไปอยู่ ฮอลแลนด์ ตอนเขาอายุ 12 ปี แต่แม้จะตัวกะเปี๊ยกแค่นั้น นานี่ ลูกคนสุดท้องจากพี่น้อง 10 คน ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้วว่าเขาจะอยู่ โปรตุเกส ที่ ซานตา ฟิโลเมน่า กับครอบครัวของป้าอันโตเนีย ที่บ่อยครั้งในห้องๆ หนึ่ง ต้องนอนแออัดกับญาติพี่น้องถึง 6 คน
ในบ้านที่หน้าต่างมีเหล็กดัดติดอยู่ ยังสามารถมองออกไปเห็นทางรถไฟที่ นานี่ จะเดินไปตามทางนั้นเป็นระยะทาง 6 ไมล์ส เพื่อซ้อมฟุตบอลกับ เรอัล มาซซาม่า สโมสรลูกหนังแห่งแรกของเขา บางครั้ง หากเขามาสาย เขาจะแวบขึ้นรถไฟ และหลบเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว ในทางกลับกัน มันใช้เวลาเดินเพียง 2 นาทีเท่านั้น จากบ้านไปยังสนามคอนกรีต ใจกลางเมือง ซานตา ฟิโลเมน่า เพื่อเล่นฟุตบอลโต๊ะเล็ก 5 คน สังเวียนที่เขาใช้ฝึกฝนศิลปะสตรีทฟุตบอล
"ที่นั่นคือตลาดใหญ่ของเรา เด็กๆ แอฟริกันจากละแวกนี้อย่าง นานี่ นั่นแหละ กระทั่งตอนนี้คุณก็สามารถเห็นได้ว่าเขาผสมผสานการเล่นระดับสูงด้วยลูกเล่นจากข้างถนน" เปเรยร่า กล่าวถึงสังเวียนคอนกรีทใน ซานตา ฟิโลเมน่า
เป็นที่นี่ที่ นานี่ หัดเล่นบอลสองเท้า คุณสมบัติเด่นที่ได้ผลอย่างร้ายกาจยามเขาลากตัดมายิงประตูตจากปีกขวาในการเล่นให้ ยูไนเต็ด ซึ่งเจ้าตัวรำลึกว่า "ผมจะอยู่ที่นี่หลายชั่วโมง เล่นบอลมันทั้งสองเท้า ผมอยากเล่นเท้าซ้ายให้ได้แบบเท้าขวา"
จากเด็กๆ ยากไร้กว่า 80 คนใน ซานตา ฟิโลเมน่า, อัลซิเดส เมนเดส จำได้ว่า นานี่ เป็นคนเดียวที่ไม่หยุดไล่ล่าฝัน "เขาจะเลือกเพื่อนที่เตะไม่เก่งมาอยู่ข้างตัวเอง เพื่อที่จะได้ได้บอลเยอะๆ มันเป็นเกมโต๊ะเล็ก ข้างละ 5 คน ทีมไหนชนะเล่นต่อ และเขาจะเซ็งมากทุกครั้งที่แพ้ เขาต้องการชนะ เขาอยากลงไปเล่น ไม่มีอะไรอย่างอื่น มันยากมากที่เด็กๆ จะรับรู้โลกภายนอก ปัญหาที่นี่คือ คนที่นี่ไม่ใช่พวกอพยพ แต่ก็ไม่ใช่คนโปรตุเกสด้วย"
"พวกเขาเกิดที่นี่ แต่พ่อแม่มาจากประเทศอาณานิคมใ แอฟริกา อย่าง เคป เวิร์ด เป็นต้น พวกเขาเลยเหมือนพวกคนนอกสังคม (นานี่ เป็นพลเมืองโปรตุเกส ตอนอายุ 18) ขนาดในโรงเรียนยังมีการจัดห้องแยกพวกเขาออกไปต่างหาก นานี่ อยู่บ้านหลังเล็กๆ แต่ครอบครัวอบอุ่น ความสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติแนบแน่นมากๆ พี่คนโตสำคัญกับ นานี่ ที่สุด เขาเคยทำงานก่อสร้าง และบางครั้ง นานี่ จะไปช่วยเขาทำงาน เขาพัฒนาความรู้สึกที่แข็งแกร่งในครอบครัวที่แม้จะขัดสน แต่มันก็เป็นบ้าน"
แม้ชีวิตวัยเด็กจะยากลำบาก แต่ นานี่ กลับมีความทรงจำแสนสุข และหนึ่งในนั้นกิจกรรมที่เขาชอบที่สุดของสมาคมฯ คือ "คาโปเอร่า" ศิลปะผสมผสานระหว่างการป้องกันตัว และดนตรีของ บราซิล และการตีลังกาฉลองประตูของเขา เป็นเรื่องแสนจะธรรมดาตามท้องถนนใน ซานตา ฟิโลเมน่า
"เพื่อนๆ บอกว่าผมเพี้ยน แต่ผมอยากเก็บอะไรที่เกี่ยวกับคาโปเอร่า นั่นแหละผมถึงฉลองประตูด้วยการตีลังกา" นานี่ พูดระหว่างสัมภาษณ์ทีวีโปรตุเกส สัปดาห์นี้ "คนจะชอบพูดถึง เจ้าหนูนานี่ (พี่สาวตั้งให้) เจ้าเด็กหัวหยิก ชีวิตมันลำบากแต่มีความสุข ปัญหาอย่างเดียวคือความหิว บ้านเราไม่ได้ดีเด่อารัย เราไม่มีอาหารเยอะ บางครั้งต้องให้ เปาโล พี่ชายผม เอาของกินมาให้ อย่างพวกคุ้กกี้ เป็นต้น เราจะไปขโมยผลไม้หรือของอย่างอื่นมากิน ผมหลงผิดไปบ้าง แต่ก็กลับมาถูกเสมอ คุณเปลี่ยน หรือหลบอดีตไม่ได้ ผมไม่อายสถานที่ที่ตัวเองอยู่ และเคยลำบากมายังไง ถ้าผมไปถึงจุดที่ผมอยากไป มันก็เพราะผมมีความพยายาม และมันคุ้มค่า"
นานี่ ยังปฏิเสธเรื่องที่ว่าพ่อทิ้งพวกเขาไป ยืนยันว่าพ่อกลับมา โปรตุเกส ไม่ได้เพราะปัญหาทางการ และสองพ่อลูกได้ปะหน้ากันอีกครั้งในปี 2006 นานี่ รำลึกว่า "พ่อพยายามอธิบายว่าไม่ได้ทิ้งครอบครัว แต่ผมบอกพ่อไม่ต้องพูด และบอกว่า - พ่อไม่ต้องอธิบายหรอก ผมโอเค ผมมีความสุข ผมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร พ่อจึงไม่ได้ติดค้างคำอธิบายใดๆ กับผม - ผมไม่ได้คิดถึงพ่อนัก เพราะว่าพี่ๆ ผมรับบทบาทนั้นไป พวกเขามอบความรัก และกำลังใจให้ผม ผมเป็นแค่เด็กตัวน้อยๆ ได้รับการปกป้อง ไม่มีใครมาแตะผมได้"
ช่วงเวลาที่ต้องพึ่งพาเรื่องอาหาร และแบ่งปันเสื้อผ้าจากเพื่อนๆ ครั้งที่อยู่กับ เรอัล มาซซาม่า เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ นานี่ ไม่เคยลืม "ผมได้เพื่อนๆ ช่วยเยอะแยะ เพราะผมมีปัญหาหลายอย่าง ผมไม่มีเงินซื้อพวกของใช้แพงๆ พวกเพื่อนๆ เลยเอารองเท้า หรือเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้วมาให้ผม บางครั้งพวกเขาจะชวนผมไปอยู่ที่บ้านเป็นอาทิตย์ ผมกลายเป็นลูกชายแห่งมาซซาม่า พวกเขาให้ผมทุกอย่าง รองเท้า และของกิน ผมได้อภิสิทธิที่คนอื่นๆ ในสโมสรไม่ได้"
หลุยส์ ดิอาส อาจารย์ของ นานี่ ในทีมระดับดิวิชั่นสอง ยอมรับว่า เขาน่าจะเติบโตกับ เบนฟิก้า แต่โชคชะตาพาเขาไป สปอร์ติ้ง และต่อด้วยที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในที่สุด โดยปัจจุบัน ดิอาส เป็นโค้ชเยาวชนของ สปอร์ติ้ง เขาเป็นอดีตโค้ชของ นานี่ ในทีมชุดยู-11 ตอนที่ มาซซาม่า ได้รับเชิญไปเล่นที่สนาม สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ จาก แกรม ซูเนสส์ โค้ชเบนฟิก้าตอนนั้น "เป็นความจริงที่เขาซ้อมกับ เบนฟิก้า เช่นเดียวกับที่ สปอร์ติ้ง ตอนนั้น เบนฟิก้า เชิญ มาซซาม่า มาเล่นที่สนามขนาดใหญ่โต มโหฬาร ต่อหน้าแฟนบอลเต็มสนาม ก่อนเกมกับ เบาวิสต้า"
"แต่วันนั้นฝนตกหนัก และ ซูเนสส์ บอกว่าพวกเด็กๆ คงเล่นไม่ได้เล่นแล้ว เพราะเดี๋ยวสนามจะพัง เวลาคุณสัญญาอะไรไว้กับเด็กๆ คุณควรรักษาสัญญา แต่ เบนฟิก้า ไม่ใช่ พวกเขาติดต่อมาหา นานี่
ตลอดเวลา แต่เขาคิดว่าพวกนั้นไม่เคารพเขา เขาไม่อยากเป็นสินค้า แม้เขาจะจน แต่ก็มีศักดิศรี" ดิอาส กล่าว โดยหลังจากทนเห็นภาพ นานี่ เดินหิ้วถุงพลาสติกใส่รองเท้า มานาน ดิอาส ลงทุนไปขอกระเป๋ารองเท้าลอตโต้ (Lotto) มาให้ นานี่
การได้รับความเอาใจใส่เกิดขึ้นกับ นานี่ เสมอ ดิอาส เล่าว่า "ผมต้องเป็นทั้งโค้ช, จิตแพทย์, หมอ บางครั้งก็คนขับรถ ผมรู้อยู่แล้วว่าผมไม่ได้มีหน้าที่โค้ชเขาอย่างเดียว ผมต้องเป็นติวเตอร์ให้เขา ดูแลเรื่องอาหารการกิน, การนอน, ไปโรงเรียน และทำให้มั่นใจว่าเขาจะเข้าห้อง มันเป็นเรื่องปกติที่คนเป็นพ่อเป็นแม่จะทำ ที่ มาซซาม่า เขาจะกินข้าวเที่ยงก่อนออกไปซ้อม และจะกินมื้อเย็นหลังจากนั้นเสมอ มันเป็นสิ่งที่เราไม่ทำกับเด็กคนอื่นๆ เพราะหากเขาไม่ได้กินข้าวที่นี่ เขาอาจไม่ได้กินเลย"
ใช้เวลาขับรถจาก ลิสบอน ราวๆ 30 นาที ระยะทาง 11 ไมล์ส ไปทางใต้ ข้ามสะพาน วาสโก ดา กาม่า และปากแม่น้ำทากัส (Tagus) ก็จะถึง อัลโคเชเต้ สถานที่ที่ นานี่ ฝึกปรือทักษะของเขา แม้กระทั่งตอนนั้น เมื่อคุณขับรถผ่านทุ่งปศุสัตว์ ต้นไม้ มันก็มีเพียงป้ายบนถนนลูกรังสายเล็กๆ ที่บอกให้คุณเลี้ยวครั้งสุดท้ายไปยังที่ "Academia do Sporting Clube de Portugal" ศูนย์เยาวชนของสโมสรสปอร์ติ้ง ลิสลอน
มันนานกว่า 10 ปีแล้วที่ สปอร์ติ้ง สร้างคอมเพล็กซ์แห่งนี้ขึ้นมา มันมีสนาม 7 สนาม, ที่พักสำหรับเด็กๆ กว่า 130 คนที่มาฝึกบอลที่นี่ มันมีค่าใช้จ่ายตกปีละ 4 บ้านปอนด์ แต่ ดิโอโก้ มาโตส ผู้อำนวยการศูนย์ฯ ประมาณการณ์ว่ามันทำเงินให้สโมสรไปแล้วกว่า 150 ล้านปอนด์ ในแง่ของการประหยัดเงินที่จะหมดไปกับการซื้อนักเตะใหม่ และการขายนักเตะเด็กสร้างอย่าง นานี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
"ที่นี่เรามีอะไรบางอย่างที่พิเศษเกิดขึ้น" มาโตส ที่ตอนนี้เด็กๆ ชุดยู-19 ของทีม ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสุดยอดทีมของการแข่งขัน NextGen Series ใน ยุโรป กล่าว ภายในโรงยิม สถิติของ นานี่ ที่สถิติการวิ่งทดสอบ 63 รอบ ระยะทาง 2,520 เมตร ติดอยู่ในลิสต์อันดับ 7 ตลอดกาล ถูกแปะอยู่ที่ป้าย
แม้สถานการณ์ส่วนตัวของเขาจะทำให้เขาต้องอยู่ที่ มาซซาม่า ต่อไป แต่เขาก็แวะมาซ้อมกับ สปอร์ติ้ง อย่างสม่ำเสมอตอนอายุ 16 ปี เขาได้เงินในฐานะเด็กเยาวชนเดือนละ 900 ปอนด์ และเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ปอนด์เมื่อเขาเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพ ด้วยเงินที่หามาได้ เขาพาป้าอันโตเนีย ออกมาจาก ซานตา ฟิโลเมน่า และกระทั่งทุกวันนี้เขาก็ยังส่งเงินที่ได้จาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปช่วยเหลือครอบครัวของป้า
มันเป็นภาระที่เขายินดีที่จะแบกเอาไว้อย่างเต็มใจ แม้มันจะส่งผลต่อการเล่นใน พรีเมียร์ลีก บ้างก็ตาม "ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ผมเป็นเสาหลักของครอบครัว ทุกครั้งที่พวกเขามีปัญหา ผมไม่เคยปฏิเสธ ผมรู้ว่าผ่านอะไรมาบ้างสมัยผมเป็นเด็ก ผมทนเห็นคนในครอบครัวลำบากไม่ได้ แต่ปัญหาส่วนตัวทำให้ผมสูญเสียโฟกัส บางครั้งใจผมก็ล้า ไม่เว้นแม้กระทั่งก่อนเกมใหญ่ๆ หรือ ดาร์บี้แมตช์ แต่ผมจะโทรศัพท์หาใครก็ตามที่สามารถแก้ปัญหาได้ ผมมีรายได้เยอะ แต่มันไม่ได้หล่นมาจากฟ้า ผมต้องวิ่ง เวลาผมเล่นไม่ดี ผมจะโดนไล่ล่า ยังกับผมเป็นคนเลว"
ชีวิตใน อังกฤษ ไม่ง่ายสำหรับ นานี่ เขาต้องใช้เวลานานกว่าจะชนะใจแฟนบอล และก้าวพ้นหลืบเงาของ โรนัลโด้ ที่ ยูไนเต็ด ได้ หรือจะพูดกันตรงๆ คงไม่ผิดอะไรหากจะบอกว่าความกังวลใจของ คาร์ลอส เคยรอช เกือบเป็นจริง
นานี่ ครองสถิติจ่ายให้เพื่อนทำประตูมากสุดในพรีเมียร์ลีก ซีซั่นที่แล้ว แต่เขากลับพบว่าตัวเองเป็นตัวสำรองเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ กับ บาร์เซโลน่า ขณะที่การย้ายมาของ แอชลี่ย์ ยัง ในช่วงซัมเมอร์ ยิ่งทำให้อนาคตของเขาอยู่ในเครื่องหมายคำถามว่า หรือนี่อาจถึงเวลาที่ ปีกวัย 24 ปี ต้องเก็บของออกจาก โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แต่ข็อเท็จจริงออกมาว่า นานี่ เป็นนักเตะที่ดีที่สุดของทีมในซีซั่นนี้ เขามีความสุขตอนลงสนาม และอบอุ่นที่บ้านใน เชสไชร์ ที่เขาอยู่กับหวานใจคนสวย ดาเนียล่า พร้อมด้วยเพื่อน 4 ขาสองตัว (ลาบาดอร์ กับ เชาเชา)
สถานการณ์ตอนนี้มันต่างจากความทรนมานในช่วงแรก แม้ตอนนั้นจะมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คอยช่วยให้ปรับตัว "ส่วนที่แย่ที่สุดคือคุณต้องอยู่คนเดียว พูดอังกฤษก็ไม่เป็น มันมีช่วงที่ผมไปอยู่บ้านของ คริสเตียโน่ และตอนนั้นมันดีมาก ผู้คนสนุกสนานร่าเริง เรามีทุกอย่างเลย สระว่ายน้ำ, อ่างจากุซซี่, สนามเทนนิส, โต๊ะปิงปอง ตอนนั้นผมไม่คิดถึงบ้านเลยนะ แต่ต่อมาผมก็ต้องย้ายออกมาอยู่คนเดียว มันสุดๆ ไปเลย เพราะบ้านหลังใหญ่ และกลางคืนดูยังกับบ้านแม่มดเลย"
"ผมกลัวการอยู่บ้านคนเดียว บางครั้งผมไม่ออกจากห้องด้วยซ้ำ ผมเข้านอนไว ไม่ได้กินข้าวอย่างเหมาะสม เพราะผมไม่อยากกินข้าวเย็นคนเดียว" นานี่ กล่าว แต่แม้จะผ่านมานานแล้ว ตอนนี้ นานี่ ก็ไม่กล้าดูหนังสยองขวัญ เพราะมันจะทำให้เขานอนไม่หลับ รายการโปรดของเขาจึงเป็นการดูละครกับ ดาเนียล่า และเล่นเปียโน ซึ่งเขาบอกว่า "มันช่วยให้ผมผ่อนคลายมาก การได้ฝึกสมาธิเป็นเรื่องที่ดี"
เดือนตุลาคม 2011 เกมคัดยูโร 2012 ที่ เอสตาดิโอ โด ดราเกา ของ ปอร์โต้ นานี่ ยิงสองลูกแรกช่วย โปรตุเกส ชนะ ไอซ์แลนด์ 5-3 ฟอร์มของเขากลบรุ่นพี่อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และเช้าวันถัดมา หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์อย่าง "Correio da Manha" และ "A Bola" เป็นภาพการฉลองประตูของเขา โดยแม้อีก 4 วันถัดมา ความพ่ายแพ้ที่ เดนมาร์ก จะเขี่ยให้ โปรตุเกส ต้องไปเตะเพลย์ออฟ เพื่อไปเล่นรอบสุดท้ายที่ โปแลนด์-ยูเครน แต่มันแน่ยิ่งกว่าแช่แป้งอีกว่า ปีกเจ้าของเสื้อหมายเลข 17 นักเตะที่ เปาโล เบนโต้ โค้ชทีมชาติโปรตุเกส อบรมสั่งสอนด้วยตัวเองตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะเยาวชน และ ทีมชุดใหญ่ของ สปอร์ติง ลิสบอน กลายเป็นดาวดวงเด่นในแบบฉบับของตัวเองไปแล้ว
เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว นานี่ กลับไปยัง ลิเวอร์พูล พร้อมความทรงจำไม่น่าอภิรมย์ เพราะเป็นเกมที่ แอนฟิลด์ ในเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ที่เขาร่ำไห้ในสนามหลังโดนสตั๊ดแข็งๆ ของ เจมี่ คาราเกอร์ เสียบจนแข้งซ้ายเหวอะ ท่ามกลางเสียงแซวว่าเป็นเด็กขี้แง นานี่ พูดในเวลาต่อมาว่า อารมณ์ของเขาตอนนั้นไม่ใช่ร้องเพราะเจ็บแผล แต่กลัวว่าตัวเองอาจจะต้องพักยาวไปตลอดซีซั่น ซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักไปอีกนาน
"ผมรู้ว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้ได้มันยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหน ผมจะทุ่มเทเต็มที่เพื่อไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีคนที่สู้เพื่อครอบครัว" นานี่ กล่าว และคงไม่มีใครแย้งว่า เจ้าหนูจาก ซานตา ฟิโลเมน่า คนนี้ มาไกลมากจริงๆ
ร็อกโคราช (แปล-เรียบเรียง)
เครดิต www.siamsport.com
















