เขียนเป็น: 6-1, 6-1, 6-1 เป็นอย่างไรครับกับเหตุฆาตกรรมหมู่เลื่อยไฟฟ้าที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โดนเข้าบ้าง หายบ้าไปเลยนะครับ? เกรียนศักดิ์แห่งสยาม ...
ส่งไม่ตาย: รู้นะว่า "รอ" อยู่ ไม่ต้องกลัวครับว่าจะฉวยโอกาสน้ำท่วมหนีหายไป ว่าแล้วขอแสดงความยินดีกับแฟนๆ ของ "เรือใบสีฟ้า" ที่พบได้อย่างชุกชุมในเมืองไทยด้วย ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าแฟนคลับของ แมนฯ ซิตี้ นี่มีไม่น้อยไปกว่า เด็กหงส์, เด็กปืน และเด็กสิงห์บลูส์ แหม...สะใจกันใหญ่เลยนะ ฮ่า-ฮ่า-ฮ่า
ใครจะอ่านเพราะความชอบหรือใครจะอ่านเพราะความเกลียด อย่างไรก็ขอขอบคุณครับที่ติดตามผลงานของผมเป็นประจำ เพราะนั่นช่วยให้ผมมีงานมากขึ้น (นอกเหนือจากงานประจำ) ถูกเชิญไปออกทีวีหลายรายการ ไหนจะงานอีเวนต์อีกเพียบ ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอา "เงิน" ไปเก็บไว้ที่ไหน? (อิอิอิ)
สำหรับความย่อยยับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในนัดล่าสุดไม่มีอะไรต้องแก้ตัวครับ ยอมรับตามตรงว่า "เสียหมา" และเป็นอะไรที่บัดซบสุดฤทธิ์
ที่สำคัญคือเมื่อคืนวันอาทิตย์ ผมนั่งดูถ่ายทอดสดศึกแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ที่ห้องอาหารแห่งหนึ่งโดยมีอดีตเด็กหงส์และเด็กเรือใบสีฟ้าชื่อ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ นั่งดูที่โต๊ะข้างๆ คิดดูนะครับว่าผมโดน "หนัก" ขนาดไหน ผมยังจำเสียงหัวเราะกับรอยยิ้มแบบมีเลศนัยของกุนซือเมืองทอง ยูไนเต็ด คนปัจจุบันได้อย่างแม่นยำทีเดียว
ฉะนั้นใครอยากจะเย้ยหยัน อยากจะถากถาง อยากจะถ่มถุย หรืออยากจะเกรียนแตกอย่างไรก็เชิญตามอัธยาศัย ของอย่างนี้มันห้ามกันได้ซะที่ไหน แต่อันดับแรกขอยกความดีความชอบให้ โรแบร์โต้ มันชินี่ ผู้เป็นกุนซือและนักเตะของ แมนฯ ซิตี้ (รวมถึงท่านชีค มันซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน ด้วยที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ กลายเป็นศูนย์รวมดาวดังแห่งอาบูดาบี)
โรแบร์โต้ มันชินี่ วางแผนและจัดการทีมได้อย่างยอดเยี่ยมมากครับ เขาวางหมากไม่ให้ลูกทีมเปิดเกมรุกแลกหมัดพลางเล่นอย่างรัดกุม ก่อนหาจังหวะตอบโต้ด้วยดาวเตะที่ความสามารถเฉพาะตัวสูงส่งอย่าง ดาบิด ซิลบา, กุน อเกวโร่ และมาริโอ บาโลเตลลี่ เพื่อจี้ "จุดอ่อน" ในเกมรับของปีศาจแดงให้แสดงความผิดพลาดออกมาโดยเฉพาะ
นั่นนำมาซึ่งประตูแรกแบบลอบฆ่า
แมนฯ ยูไนเต็ด เผยจุดอ่อนของตัวเองให้คู่ต่อสู้เห็นหลายนัดแล้วนะครับ ไอ้ที่เอาตัวรอดจากความฉิบหายวายป่วง เพราะท่านซาตานยังคุ้มครอง เรียนตามตรงว่าปีศาจแดงไม่น่าชนะ เชลซี - น่าจะแพ้ สโต๊ค และควรจะโดน นอริช กับ ลิเวอรืพูล ทะลวงตาข่ายได้มากกว่า 1 ดอก รอดมาได้อย่างไรก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์
เมื่อถึงวันที่โชคไม่ยอมเข้าข้าง แถมคู่แข่งไม่ยิงทิ้งยิงขว้าง ผลมันก็ออกมาอย่างที่เห็นนั่นแหละครับ
เละ!
ตั้งแต่ขายวิญญาณให้ปีศาจมาตั้งแต่ปี 1982 ผมยังไม่เคยเห็นความยับเยินคาบ้านขนาดนี้
จุดเปลี่ยนสำคัญระดับอุกาบาตพุ่งชนโลกเกิดขึ้นจากการโดนไล่ออกของ จอนนี่ อีแวนส์ เพียงนาทีแรกของครึ่งหลัง
แม้จะเล่นในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แต่ผู้ตัดสินไม่มีทางเลือกจริงๆ เพราะ "ไอ้จ้อน" นอกจากจะซุ่มซ่ามและโฉ่งฉ่าง ยังเป็นกองหลังตัวสุดท้ายอีกต่างหาก
เหลือ 10 ตัวกับทีมอื่นยังพอว่านะครับ นี่เหลือ 10 ตัวกับทีมที่มีค่าตัวรวมกันมากกว่า 200 ล้านปอนด์ แล้วมันจะไปเหลืออะไร
ขนาด "ซาก" ยังแทบจะไม่เหลือเลย!
ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าป๋าแกคิดอะไรถึงเอาปราการหลังที่ควรจะเชื่อใจได้มากกว่าอย่าง ฟิล โจนส์ ไปขังไว้บนม้านั่งสำรอง
จุดอ่อนอีกอันคือตำแหน่งแบ็คซ้ายของ ปาทริซ เอวร่า ที่มักจะเพลิดเพลินกับการเติมเกมรุกจนหลุดจากตำแหน่งที่ตัวเองต้องรับผิดชอบเป็นประจำ สังเกตมานานแล้วว่านักเตะผู้นี้ไม่ค่อยมีสมาธิในเกมรับสักเท่าไหร่ กว่า 3 ประตู เกิดจากเกมบุกทางด้านขวาของ แมนฯ ซิตี้
ขอโทษ...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะครับ มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ฤดูกาลก่อนแล้ว
ตกลงมึงเป็น "ปีก" หรือเป็น "แบ็ค" ก็ไม่ทราบ
กระนั้นจุดอ่อนของกองหลัง ส่วนหนึ่งบังเกิดจากความบกพร่องของกองกลาง โดยเฉพาะคู่มิดฟิลด์ตัวกลาง นับตั้งแต่ ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ ถูกอาการบาดเจ็บลักพาตัวไป อันแดร์สัน ก็หลุดจากฟอร์มอันสยดสยอง ไม่ว่าใครจะลงมาเล่นในตำแหน่งนี้ ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ หรือ ไมเคิ่ล คาร์ริค ต่างมีปัญหาในการคุมจังหวะ เช่นเดียวกับการเอาชนะคู่แข่งเพื่อช่วงชิงพื้นที่ในแดนกลาง หนำซ้ำยังบกพร่องในการยับยั้งเกมรุกคู่แข่งก่อนที่มวลเกมรุกก้อนใหญ่จะหลากไปถึงกองหลังโดยสะดวกโยธิน
นอกจากนี้ แมนฯ ซิตี้ ยังเล่นด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจกว่าเจ้าถิ่นที่ออกอาการเฉื่อยมาหลายนัด
ต่อให้ไม่โดนไล่ออก ผมว่า แมนฯ ยูไนเต็ด คงทำได้เต็มที่เพียงแค่เสมอเท่านั้นแหละ เพราะผู้มาเยือนเตรียมตัวมาดีจริงๆ เกมรับเหนียวแน่น เกมรุกอุดมด้วยประสิทธิภาพ
ตอนนำห่าง 3-0 ผมสังเกตเห็นว่า แมนฯ ซิตี้ ถอนตีนจากคันเร่งแล้วนะครับ
ประตูตีไข่แตกนี่แหละที่จุดประกายแห่งความหวังของ แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นมาอีกครั้ง อันนี้เข้าใจ เข้าใจว่าไม่มีอะไรจะเสีย พอๆ กับเข้าใจในความตายยากกว่าเจสันทั้ง 10 กว่าภาค แต่ตอนโดนนำห่าง 4-1 ในนาทีสุดท้าย พลพรรคปีศาจแดงควรจะยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยสกอร์นี้
แต่พวกเขากลับฝืนซะอย่างนั้น
ยิ่งฝืน ยิ่งขัดขืน ยิ่งโดนกะซวกไส้แตกอย่างที่เห็นนั่นแหละครับ ยิ่งโหมบุกเท่าไหร่ ยิ่งมีพื้นที่ว่างในแดนหลังมากขึ้นเท่านั้น
ในเมื่อผู้เล่นพันธุ์อสูรที่เหลือแค่ 10 ตัว ตั้งใจจะตีตื้น เพื่อแพ้ให้น้อยที่สุด หวังลดอาการเสียหมาโดยไม่ยอมประเมิณสถานการณ์และกำลังของตัวเอง ณ ขณะนั้น มันจึงนำมาซึ่งความเสี่ยงอย่างรุนแรง
เพียงแต่สถานการณ์นั้นไม่ควรเสี่ยงครับ ยอมแพ้ด้วยสกอร์ 4-1 ยังจะดีเสียกว่า
อย่างไรก็ตาม
อาจบอกได้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้เพราะจังหวะครับ ไม่ใช่แพ้เพราะสู้ไม่ได้อย่างที่นักวิจารณ์บางคนในจอทีวีนำมาวิเคราะห์บนความระรื่นของใบหน้า พวกลูกป๋าไม่ได้แพ้เพราะโดนกดอยู่ข้างเดียวจนต้องหายใจทางรูตูดสักหน่อย ตอนตัวผู้เล่นเท่ากันก็บุกมากกว่า แต่แพ้เพราะจังหวะ ซึ่งความวิปโยคแบบนี้เกิดขึ้นได้ครับ อย่าไปซีเรียส
ว่าแล้วขอแนะนำวิธีเอาตัวรอดเบื้องต้น
1. ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก
แกล้งมึนไปเลยครับ คือทำเป็นทองไม่รู้ร้อน...ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ และไม่สะทกสะท้านต่อเสียงเห่าหอนทุกรูปแบบ อย่าลืมว่าน้องหมาเห่ามากๆ เดี๋ยวมันก็เหนื่อย มันเหนื่อยเมื่อไหร่ก็จะหยุดเห่าเองนั่นแหละ นอกจากนี้ขอให้ปิดช่องทางสื่อสารทุกรูปแบบ งดเสพข่าวลูกหนังและงดการติดต่อสื่อสารสักระยะ กาลเวลาจะช่วยเยียวยาให้ดีขึ้นเอง
2. เก๊กเครียด
วิธีนี้ผมนำมาใช้เป็นประจำยามปีศาจแดงพุ่งชนความหายนะ พยายามทำหน้าเหมือนอยากกระโดดถีบหน้าคนตลอดเวลา แบบว่ากูอารมณ์ไม่ค่อยดี อย่ามายุ่งกับกูนะ
หลังจบเกมพร้อมความพินาศสิ้นของปีศาจแดง เพื่อนๆ และรุ่นน้องบางคนที่เป็นเด็กหงส์โฟนมาหากันใหญ่ ร้อยวันพันปีพวกแม่งไม่ค่อยโทร.มา ผมเลยแกล้งทำเสียงแข็งๆ กลับไปประมาณว่ามึงมีธุระอะไร "ไม่ทราบว่าน้ำท่วมฮวงซุ้ยอาว์ม่ามึงเหรอ?" ก่อนวางหูให้หาจังหวะสบถสั้นๆ ว่า "ไอ้สัด!"
3. วันพระไม่ได้มีหนเดียว
อย่าลืมว่าเดือนหนึ่งมีวันพระตั้ง 4 หน อดทนไว้ครับ พยายามอย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกา อย่าตอบโต้ อย่าแก้ตัว และอย่าแถ แพ้ก็แพ้ - แพ้ก็ไม่ตายสักหน่อย ไม่มีใครเป็นผู้ชนะไปตลอด ยอมรับความพ่ายแพ้แบบมีสปีริตดีกว่า แถมที่ผ่านมา แมนฯ ยูไนเต็ด ใช้ดวงอย่างสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว สักวันมันก็ต้องชดใช้กรรมในรูปแบบของความปราชัยอย่างยับเยินแบบนี้บ้าง ฉะนั้นขอให้รอวันและเวลาที่พอเหมาะพลางเอาใจช่วยทีมที่ตัวเองบูชาต่อไปอย่างภาคภูมิใจ อย่างไรวันนั้นมันก็ต้องมาถึง เชื่อผมเหอะ
วันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ค่อย "จัดหนัก" อีกที ฮ่า-ฮ่า-ฮ่า
"บอ.บู๋"
http://www.siamsport.co.th/Column/111024_292.html
















