LED TV คืออะไร ???
LED TV ย่อมาจาก Light Emitting Diode เป็นหลอดไฟขนาด “จิ๋วแต่แจ๋ว” ซึ่งใช้หลอด LED เป็นตัวกำเนิดแสง และมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สีทั้งสีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว คอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงจากหลอด LED ส่องลอดผ่านออกมาเป็นสีสีนต่างๆ
สรุปอย่างได้ใจความได้ว่า LED TV ก็คือ LCD TV ที่เปลี่ยนจากหลอด CCFL เป็นหลอด LED ในการกำเนิดแสงนั่นเอง โดยยังใช้ Liquid Crystral ผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สีในการสร้างสีในแต่ละพิหเซล ดังนั้นตามหลักการแล้วมันก็คือ LED LCD TV นั่นเอง เพียงแต่สลับจากการใช้หลอด CCFL ให้เป็นหลอด LED เพื่อใช้กำเนิดแสง อีกหนึ่งตัวอย่างก็คือ LED เป็นเทคโนโลยีที่มีให้เห็นกันบ่อยในจอโน็ตบุ๊คที่บางๆครับ
LED TV มีทั้งหมดกี่แบบ ???
อันนี้หลายๆท่านอาจะจะยังสงสัยว่า LED TV มันมีหลายแบบด้วยเหรอ คำตอบแบบฟันธงนะครับว่ามีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป เรามาดูกันเลยดีกว่า
1. EDGE LED : วางหลอด LED ไว้ตรงขอบของทีวี
EDGE ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “ขอบ” ครับ โดยหลอด LED จะถูกวางไว้ตามขอบบน ล่าง ซ้าย ขวา ของทีวีและคอยยิงแสงเข้ามาตรงกลางจอทีวี สำหรับข้อดีก็มีตรงที่ “ความบาง” ที่บางกว่า LCD TV ทั่วๆไปหลายเท่า เพราะหลอด LED อยู่แค่ด้านข้างครับ ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องการประหยัดไฟครับ อย่างไรก็ตามข้อเสียหลักๆเมื่อเทียบกับ LED แบบ Full LED ก็คือ ไม่สามารถทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิดหลอดไฟเป็นกลุ่มๆได้เนื่องจากหลอดไฟอยู่ที่ขอบนั่นเอง
2. Full LED : หลอด LED เป็นแผงอยู่ด้านหลัง
สำหรับแบบที่ 2 เราเรียกว่า Full LED (Direct LED) เพราะว่ามีหลอดไฟอย่าด้านหลังทั้งแผงคอยให้กำเนิดแสงนั่นเอง ข้อดีของ Full LED หรือบางค่ายก็เรียก Direct LED ก็คือ ความสามารถในการทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิด หลอด LED เป็นกลุ่มๆ หรือเฉพาะจุดนั้นเองอย่างอิสระ เช่นฉากๆ นึงด้านซ้ายเป็นสีดำ ด้านขวาเป็นสีขาว หลอด LED Backlight บริเวณด้านซ้ายก็จะปิดเพื่อทำให้สีดำบริเวณด้านซ้ายดำสนิท และกลุ่ม LED Backlightด้านขวาจะเปิดเพื่อให้แสงสามารถลอดออกมาเป็นสีขาวครับ ในขณะที่ CCFL และ EDGE LED ไม่สามารถได้ ส่วนข้อเสียคือเรื่องความหนาของตัวเครื่องครับ เนื่องจากต้องใช้หลอดไฟ LED หลายตัวไว้ด้านหลังของตัวจอ ซึ่งทำให้ทีวีมีความหนาประมาณ LCD TV ทั่วๆ ไปอยู่ครับ
2.1 Direct LED : คือ Full LED อีกประเภทหนึ่ง แต่จะเป็นเกรดที่ต่ำกว่าทั้งด้าน "ต้นทุน" และ "ประสิทธิภาพ" กล่าวคือจะใช้จำนวนหลอดไฟ LED น้อยกว่า คือประมาณ 50-60 หลอดเท่านั้น และที่สำคัญคือมันไม่สามารถทำ Local Dimming ได้ จุดประสงค์ของ Direct LED ก็เพื่อมาแทนพวก LCD TV ที่ใช้หลอด CCFL ซึ่งกินไฟกว่าครับ จะพบได้ใน LED TV รุ่นประหยัดของบางค่ายเช่น Philips รุ่น 5605 และ 6605 ในปี 2010-2011 ที่ผ่านมา และล่าสุดก็คือ Samsung LED TV Series EH5000 /6000 ในปี 2012 นี้ ดังนี้ข้อได้เปรียบของ Direct LED ที่เหนือกว่า Edge LED ก็คือเรื่องของความสว่างที่มีมากกว่า แต่ข้อเสียเปรียบก็คือความหนาเทอะทะของตัวเครื่องที่จะดูหนากว่า ไม่สามารถสู้หุ่นอันผอมเพรียวของ Edge LED ได้
3. RGB LED : หลอดไฟ LED สีแดง เขียว น้ำเงิน เป็นแผงอยู่ด้านหลัง
แบบสุดท้ายผมขอยกให้เป็นตัวท็อปของ LED TV ในปัจจุบันนะครับ ซึ่งก็คือ RGB LED TV นั่นเอง โดยหลักการให้กำเนิดแสงก็คล้ายๆ กับ Full LED เพียงแต่ว่าแทนที่จะใช้หลอด LED สีเดียวซึ่งปกติเป็นสีขาวในการกำเนิดแสง เจ้า RGB LED TV ใช้หลอด LED แม่สี 3 สี (แดง R, เขียว G, น้ำเงิน B) ในการให้กำเนิดแสงแทน ซึ่งหลอดไฟ 3 สีนี้แยกการทำงานกันอย่างอิสระ ส่งผลให้การสร้างสีดีขึ้น เพราะแสงต้นขั้วนั้นออกมาเป็นแม่สีตั้งแต่แรก ความถูกต้องและคมชัดของสีจึงมีมากขึ้น ตลอดจนความสามารถในการไล่เฉดสีจนมีมิติของภาพก็ดีขึ้น ตามหลักการแล้ว RGB LED ถือว่าเป็น LED TV ที่ดีที่สุดครับ มีต้นทุนที่สูงกว่า และความสามาถในการทำ Local Dimming หรือการเปิด/ปิดไฟเป็นกลุ่มๆอย่างอิสระเพื่อสีดำที่ดำสนิทและคอนทราสต์ที่มากขึ้นก็มีเช่นเดียวกับ Full LED แบบข้อที่ 2 ครับ ส่วนข้อเสียที่เห็นหลักๆก็คือระดับราคาที่ค่อนข้างสูงมากในตอนนี้LCD (Liquid Crystal Display) แสดงภาพโดยเริ่มจากแหล่งกำเนิดแสง "Backlight" (ในที่นี้คือหลอด CCFL และหลอด LED) ส่องแสงไปที่ผลึกแข็งกึ่งเหลว ลักษณะคล้ายๆปีโป้ และเจ้าผลึกแข็งกึ่งเหลว Liquid Crystal จะถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ในส่วนที่เป็น "ประตู" นั้น "บิดหมุน" เพื่อให้แสงจากหลอด Backlight ลอดผ่านไปยัง Color Filter แม่สีทั้ง 3 สี RGB ผสมกันออกมาแสงสีต่างๆ
LCD TV นั้น แต่ละพิกเซลไม่สามารถกำเนิดแสงได้เอง จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งกำเนิดแสงจากหลอด Backlight และมี "ประตู" Liquid Crystal ผลึกแข็งกึ่งเหลวเป็นตัวกำหนดว่าจะให้แสงลอดไปยังแม่สีใดบ้าง เพื่อแสดงสีสันต่างๆออกมาให้เราได้เห็นกันครับ เช่นหากฉากในทีวีตอนนั้นเป็นสนามบอลเขียวชอุ่ม เจ้าตัว Liquid Crystal ที่ทำหน้าที่เป็น "ประตู" หน้าด่าน ก็จะเปิดในส่วนที่ให้แสงลอดออกไปเจอ Color Filter สีเขียวเท่านั้น หรือหากฉากเป็นท้องผ้าสีนำเงิน เจ้าประตู Liquid Crystal ก็จะถูกเปิดในส่วนที่ให้แสงลอดออกไปเจอ Color Filter สีน้ำเงินเท่านั้นครับ
ข้อดีของ LCD TV
1. ให้แสงสี่ที่สว่างสดใสกว่า
2. เหมาะสมกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์แลต่อกับเครื่องเล่นเกมส์มากกว่าด้วยความละเอียดจอภาพที่มากกว่า
3. เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่สว่างสูง เช่นห้องนั่งเล่นหรือ ห้องรับแขกที่ไม่จำเป็นต้องคุมแสงได้ หรือท่านที่จะซื้อเพื่อใช้ไปติดตั้งในร้านค้าหรือร้านอาหาร LCD TV ก็จะเหมาะสมกว่า
4. อาการ Burn-In หรือภาพไหม้ค้างติดหน่าจอจะไม่โอกาสไม่เกิดขึ้นเลย
5. แอลซีดีทีวียังกินไฟน้อยกว่า และหน้าจอร้อนน้อยกว่าด้วย
6. สามารถทำจอ LCD ขนาดเล็กๆอาทิเช่นจอมือถือ ไปจนถึงจอขนาดยักษ์ใหญ่ๆ 100 กว่านิ้วก็ยังได้
ข้อเสียของ LCD TV
1. ยังมี Backlight รั่วอยู่ให้เห็นในฉากมืด ถึงแม้ประตู Liquid Crystal จะปิดเพื่อแสดงสีดำ แต่ก็ยังมีแสงลอดออกมาได้อยู่ดี สีดำจึงไม่ค่อยดำสนิทเท่าที่ควร
2. ความเร็วในการแสดงภาพเคลื่อนไหวจะไม่ได้ลื่นไหลสุดๆ จะยังมีโกสท์ให้เห็นบ้าง
3. ด้วยระดับความสว่างและสีสันที่สดใสที่มากไป (ส่วนใหญ่โหมดภาพสำเร็จรูปตั้งมาแบนี้) อาจจะทำให้ปวดตาได้ง่ายกว่า PLASMA TV จอภาพแบบ Plasma TV เป็นจอทีวีที่สามารถกำเนิดแสงได้เอง กล่าวคือ เพียงแค่ปล่อยแรงดันไฟเข้าไปกระตุ้นเม็ดพิกเซลก็จะส่องสว่างได้เอง โดยเม็ดพิกเซลของ Plasma TV นั้นจะมี ก๊าซ Neon และ Xenon บรรจุอยู่ข้างในก็จะแตกตัวเป็น UV ซึ่งเมื่อเจ้า UV ไปกระทบกับสาร Phospor ซึ่งเป็นสารเรื่องแสงที่เคลือบไว้ ก็จะก่อนให้แสงสีต่างๆออกมา
สรุปง่ายๆหลักการทำงานของ Plasma TV คือหากต้องการให้เม็ดสีไหนส่องสว่าง ก็แค่ปล่อยแรงดันไฟฟ้าเข้าไปครับ เม็ดพิกเซลก็จะส่องสว่างขึ้นมาเองรวดเร็วทันใจมากมาย เพราะว่า "ก๊าซ" มันไวกว่าพวก "ของแข็งของเหลว" เหมือนที่เราเคยเรียนมาตอนเด็กๆนั่นแหละครับ
ข้อดีของ Plasma TV
1. สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวได้ดีกว่า ลื่นไหลกว่า เพราะเม็ดพิกเซลสามารถกำเนิดแสงเองได้ เหมาะกับพวกหนัง Action และกีฬามาก
2. สามารถแสดงสีดำให้ดำสนิทและลึกมีมิติกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่อง Backlight รั่ว
3. มีคอนทราสต์ที่สูงกว่าทำให้เห็นมิติของภาพได้ดีกว่า
4. มุมมองจอภาพที่กว้างกว่า LCD TV มองด้านข้างสีไม่ซีดจาง
5. ให้สีสันที่ถูกต้องเป็นธรรมชาติมากกว่า ไม่ได้สดจนโอเวอรืเกินจริง
6. ระดับความสว่างของภาพและโทนสีเป็นมิตรต่อสายตามากกว่า ดูนานๆโอกาสปวดตาน้อยกว่า
ข้อเสียของ Plasma TV
1. อาการ Burn-In มีโอกาสเกิดขึ้นได้ถ้าเปิดภาพนิ่งเป็นเวลานานๆ เช่นโลโก้ช่อง 7 หรือโลโก้ True Vision เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์ ศึกษาเรื่อง Burn In เพิ่มเติม >> คลิ๊กเลย <<
2. ไม่เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่คุมแสงไม่ได้เช่นห้องที่มีความสว่างจากหลอดไฟสูงๆ หรือกลางแจ้ง
3. หน้ากระจก ทำให้เกิดการสะท้อนเป็นเงาได้
4. กินไฟมากกว่า และหน้าจอร้อนมากกว่าแล้วเลือกซื้อตัวไหนดีกว่ากันหละครับ ช่วยแนะนำหน่อย ???
จริงๆทั้ง CCFL LCD TV, EDGE LED TV, Full LED TV, และ RGB LED TV ก็มีข้อดี ข้อด้อยแตกต่างกันออกไปครับ รวมถึงระดับราคาที่สูงขึ้นไปตามความล้ำของเทคโนโลยี ทั้งนี้เรื่อง “ความคุ้มค่า” ในการเลือกซื้อนั้น อันที่ขึ้นอยู่กับความพอใจของเรามากกว่า ด้วยสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ หลายท่านคิดว่าซื้อ LCD TV ธรรมดาก็พอแล้ว ภาพก็ไม่ได้ด้อยกว่า LED TV ซักเท่าไหร่ เหลืองเงินไปซื้ออย่างอื่นได้อีก หรือบางท่านเห็นว่า LED TV ได้บางเฉียบและประหยัดไฟกว่าในระยะยาว น่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่า หรือบางท่านต้องการทีวีที่ให้คุณภาพระดับเทพที่สุด โดยไม่เกี่ยงเรื่องราคาก็อาจจะอัพไปเล่น Full LED TV / RGB LED TV ตัวท็อปเลย ซื้อทีเดียว จ่ายทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลาและเสียเงินเสียทองหลายรอบครับ อย่างที่บอก “ความคุ้มค่า” มันขึ้นอยู่กับ “ความพอใจส่วนบุคคล” !!!!
ทีมงาน LCDTVTHAILAND หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านในการเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจซื้อทีวีครับ เพื่อนๆสามารถ Copy บทความนี้ไปโพสต์ลงเว็บอื่นหรือ Blog ก็ไม่ว่ากัน เพียงแค่ช่วย Credit เว็บ http://www.lcdtvthailand.com ให้เป็น credit ตอนต้นหรือตอนท้ายเท่านั้นเองนะครับ***หมายเหตุ ข้อมูลปี 2009 นะครับ ในปัจจุบันไม่มี RGB LED TV จำหน่ายแล้ว
หาข้อมูลมาเปรียบให้ อาจจะดูจริงจังไปหน่อยแต่น่าจะมีประโยชน์ในการตัดสินใจนะครับ
ยี่ห้อไหนดี ต้องไปดูเปรียบเทียบด้วยตนเอง เพียงแค่เบื้องต้นคุณต้องตัดสินใจให้ดีก่อนว่าจะซื้อทีวีแบบไหน ไม่งั้นมีหวังเดินเลือกกันปวดตาทีเดียว