หลังจากรีวิวว่าที่ผู้จัดการทีมคนใหม่กันไปรอบนึง ตามกระทู้นี้
http://www.redarmyfc.com/forum/viewtopic.php?f=1&t=113714
สื่อทุกสำนักแทบจะฟันธง เป็นเสียงเดียวกันแล้วว่าฟานกัลมาแน่ คำถามนึงที่คาใจว่าทำไมฟานกัลเก่งจริง ถึงโดนไล่ออกจากบาร์เยินมิวนิค หลังจากเบ็คเค่นบาวออกมาคอนเฟิร์มด้วยอีกคน ผมจึงไปหาข้อมูลเพิ่ม ว่าฟร้านแกประชดหรือเปล่า ได้คำตอบดังนี้
1. ไดเร็คเตอร์ออฟฟุตบอล
บาร์เยินนั้น เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า ที่เป็นเบอร์ 1 เยอรมันมายาวนานนั้น เค้าใช้วิธีตัดกำลังคู่แข่ง ด้วยการดูดนักเตะมาร่วมทีมมาแต่ไหนแต่ไร ซึ่งวิธีการนี้ จำเป็นต้องมีตำแหน่งนึงขึ้นมา ซึ่งสโมสรในโลกหลายๆสโมสรมักจะเรียกตำแหน่งนี้ว่า ไดเร็คเตอร์ออฟฟุตบอล ซึ่งในบาร์เยิน เค้าเรียกพวกนี้ว่าผู้มีประสบการณ์ ซึ่งคนเหล่านั้นก็คือขาใหญ่ ฮีโร่ของเยอรมันในอดีต อย่าง ฟร้าน เบ็คเค่นบาวเออร์ อูลี่ เฮอร์เนส หรือ คาร์ลไฮน์ รุมมินิเก้ ทำหน้าที่เป็นแมวมองขาใหญ่ ที่จะเป็นคนตัดสินใจดึงตัวนักเตะเข้าทีมส่วนนึง อีกส่วนนึงก็ให้เป็นโควต้าของผู้จัดการทีม ที่จะเลือกนักเตะของตัวเอง ซึ่งไม่รู้ว่าบาร์เยินลืมคิดในจุดนี้ หรือว่าคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงฟานกัลได้ เค้าก็ทำแบบเดิมของตัวเอง ผลก็คือ บาร์เยินดึงตัวมาริโอโกเมส และติมูชุค เข้าทีมและทั้งสองคนโดนจับดอง เพราะฟานกัลบอกว่าไม่ใช่นักเตะของเค้าและฟานกัลก็ถูก หลังจากคว้าดับเบิ้ลแชมป์ และรองแชมป์ UCL ครั้งต่อมา ก็คือช่วงที่ ชไวสไตเกอร์ ยึกยักไม่ยอมต่อสัญญาในช่วงปี 2010-2011 แม้จะเป็นผู้เล่นคนสำคัญ แต่ฟานกัลก็ต้องการขายนักเตะออก แลกกับเงินราวๆ 30 ล้านยูโร เพื่อเอาเงินมาเสริมทีม แต่ฟานกัลก็โดนเบรก จากบรรดาขาใหญ่ บอกว่าชไนนี่เป็นนักเตะที่ห้ามขาย... และอีกครั้ง ที่บาร์เยินทำแบบเดิม คือประกาศดึงตัวมานูเอลนอยเออร์ ล่วงหน้า ส่วนฟานกัลนั้น ต้องการที่จะดันนักเตะจากเยาวชนอย่าง โทมัส คราฟ ตามนักเตะอย่าง อลาบา และมูลเลอร์ ขึ้นชุดใหญ่ แม้แต่แฟนบอลก็ต่อต้านไม่อยากได้ตัวนอยเออร์ เพราะอยากเห็นนักเตะเยาวชนที่โชว์ฟอร์มดีได้โอกาสมากกว่า
แบบนี้เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะทำงานร่วมกันได้ สำหรับแมนยูฯ แล้ว เราไม่เคยมีตำแหน่งไดเร็คเตอร์ออฟฟุตบอล รองประธานสโมสร อย่างเดวิดกิล หรือตอนนี้ก็คือเอ็ด วู้ดเวิร์ด มีหน้าที่ดำเนินการ ดึงนักเตะตามที่ผู้จัดการทีมต้องการ ส่วนพวกตำนานสโมสรอย่างชาร์ลตัน หรือเฟอร์กี้ ก็เพียงให้คำปรึกษา กับเจ้าของสโมสร ไม่มีการมาก้าวก่ายการซื้อนักเตะแต่อย่างใด...
2. Hollywood FC
บาร์เยินนั้นได้ฉายาจากพวกนักข่าวว่า Hollywood FC ฉายานี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่นั่นเป็นเพราะ บรรดาขาใหญ่ของสโมสร ที่กลัวจะตกงาน พวกขาใหญ่นี้ มีหน้าที่คอยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสโมสร วิจารณ์ทีม ซึ่งแน่นอน ผู้จัดการทีมอย่างฟานกัล ขนาดนักข่าว มีหน้าที่ของเค้าในการเล่นข่าว วิจารณ์ก็ไม่ค่อยจะถูกกับฟานกัลอยู่แล้ว พวกในสโมสร ที่ควรจะสนับสนุนกันเอง กลับมาจวกกันออกสื่อ แบบนี้ก็จบ ฟางเส้นสุดท้ายน่าจะมาจากตอนที่ฟานกัลเปิดตัวหนังสือของตัวเอง เกี่ยวกับปรัชญาการทำทีมของเค้า และในงานเปิดตัวนั่นเอง เค้าก็แนะนำให้ประธานสโมสรอย่างอูลี่ เฮอร์เนส ไปศึกษาซะ เป็นตลกร้าย ที่ทำให้ถึงขั้นแตกหักเลยทีเดียว
สำหรับแมนยูฯนั้น ตลอดช่วงที่เฟอร์กี้คุมทีม กฎเหล็กของเค้าก็คือการไม่จวกนักเตะตัวเองออกสื่อ ไม่ใช่ห่วยแล้วให้ท้าย แต่เค้าไปแฮร์ดรายเออร์กันภายใน ซึ่งไม่เฉพาะเฟอร์กี้ ตำนานอย่างชาร์ลตัน หรือใคร ปกติก็ไม่ใช่พวกต้องเกาะกระแสตลอด แบบที่ต้องมาแสดงวิสัยทัศน์เพื่อเด่นดังอยู่แล้ว
3. นักเตะห้ามแตะ
ข้อนี้จริงๆก็เรื่องเดียวกันกับขาใหญ่ของทีม ถามว่าแมนยูฯ มีนักเตะที่แตะไม่ได้อยู่หรือเปล่า คำตอบคือ ไม่มี ถึงจะเป็นรูนี่ก็เถอะถ้าป๋าอยู่ต่อ โดนขายไปแล้ว และแมนยูฯ ไม่ต้องง้อ ก็ซื้อนักเตะใหม่เข้ามา แมนยูฯ ถูกปลูกฝังมาแบบนั้นตลอด 27 ปี นั่นเป็นสิ่งที่ชัดเจน ว่าสโมสรอยู่ข้างหลังผู้จัดการทีม ไม่มีนักเตะคนไหนใหญ่กว่าสโมสร ถ้าสโมสรปักธงว่ามีนักเตะบางคนใหญ่กว่า ผมว่ามันก็เป็นเรื่องยากที่จะควบคุมอะไรได้ ไม่แปลกใจที่ผลงานในปีต่อมา ของบาร์เยินตกต่ำ ทั้งที่แทคติกก็ลงตัว แต่ปัญหานอกสนามมันเยอะเหลือเกิน
ปัญหาเหล่านี้ เป็นเหมือนเส้นขนานของทั้งฟานกัลและขาใหญ่ ไม่มีทางลงกันได้ ซึ่งแมนยูฯ ไม่มีระบบแบบนี้ ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมไกเซอร์ฟร้าน ถึงได้เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ในเรื่องความสามารถแล้ว เค้าไม่เป็นสองรองใคร โดยปีที่คว้าแชมป์ เค้าก็เล่นงานทีมของเจอร์เก้น คล๊อปในลีก ไปกลับเบาะๆ 8-2 (ในบ้าน 3-1 นอกบ้าน 5-1)...