.
วันนี้คุณ "แอ๊บแบ๊ว" กันหรือยัง?!
ัเคยได้ยินคำว่า "แอ๊บ แบ๊ว" กันมั้ยคะ?
รู้สึกว่าอาการนี้กำลังระบาดไปทั่วจริงๆ เป็นยังไงมาดูกัน..
"แอ๊บแบ๊ว"
เป็นอาการทางจ(ริ)ตชนิดหนึ่ง มักเกิดขึ้นในเพศหญิงช่วงแรกสาวเป็นต้นไป แต่
เดี๋ยวนี้เริ่มลุกลามในผู้ชาย กะเทย และเพศใกล้เคียงด้วย โรคนี้จะมีอาการควบคู่
ไปกับ ภาวะแทรกซ้อน ที่แสดงออกทางอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนี้
1.ดวงตา
จากที่เคยมี ลูกตาขนาดปกติไม่ว่าขนาดใดก็ตาม คนที่"แอ๊บแบ๊ว" จะมีดวงตากลมบ้อง
แบ๊ว เกิดประกายวิบวับขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ ได้ (สันนิษฐานว่าเป็นที่มาของคำ
ว่าแอ๊บแบ๊วนั่นเอง) ถ้านึกภาพไม่ออก แนะนำให้ไปดูเอ็มวี เพลง ปู ของเนโกะจั๊ม
พ์ อะโนโนโน่ อย่างนี้ไม่ดี.. ช็อตทื่สองสาวเล่นกับ กล้อง นั่นแหละใช่ เลย!
อุปกรณ์เสริมความแบ๊วในข้อนี้ ได้แก่
ที่ดัดขน ตา,มาสคาร่า และอายไล เนอร์ ที่จะช่วยขับให้ตาแบ๊วขึ้นอย่าง น่า
อัศจรรย์ เดี๋ยวนี้มีคอนแท็ค เลนส์ประเภทเพิ่มขนาดลูกตาดำด้วย..แม่เจ้า แต่มี
ข้อแม้ว่าควรมีทักษะในการเสริมแต่งนิดนึง เพราะเคยเห็นสาวๆหลายคนทามาสคา ร่าหนา
เป็นปื้น ขนตาจับเป็นก้อนๆเหมือนขาแมลงวัน อันนั้นออกแนวสยองแล้วล่ะ ค่ะ เมื่อ
ตาโตขึ้นแล้ว อวัยวะข้างเคียงที่จะมีผล กระทบก็คือ คิ้ว ที่จะเลิกขึ้นนิดๆ หัว
คิ้วจะหดเข้าหากันนิดนึง นี่เป็นสาเหตุ ที่ทำให้คนแอ๊บแบ๊วมีสีหน้าดูสงสัย ไร้
เดียงสาอยู่ตลอดเวลา สายตาแบบนี้ เพื่อนชายหลายคนของอิชั้นสารภาพว่าเห็นแล้วถึง
กับร้องอ๊าง สาวคนไหนจะลองทำตา แบ๊วดูก็ไม่ว่ากันค่ะ
2. แก้ม
อยากรู้จัง ว่าใครคือมนุษย์คนแรกที่ตัดสินว่า ผู้หญิง แก้มป่องคือผู้หญิงน่า
รัก แก้มป่องจึงเป็นอาการแบ๊วอันดับสองที่ขาดไม่ ได้ ลำพังคนที่ แก้มป่องเป็น
ธรรมชาติก็ถือเป็นโชคดีของเค้าไปค่ะ แต่สำหรับคนที่แก้ม ตอบ โหนกปูด กรามสอง
ข้างทำมุมฉากซึ่งกันและกัน เราก็จะได้เห็นอาการพยายามอมลม ไว้ในปาก แล้วดัน
กระพุ้งแก้มให้ป่องออกมาจนกระทั่งดูน่าหยิกเล่น (อิชั้นเคยลองดู แล้ว รู้สึก
เหมือนอมน้ำยาบ้วนปากแล้วลืมบ้วนทิ้ง) คนที่แอ๊บแบ๊วจนชำนาญก็จะขนาดแก้ม ที่
ป่องกำลังดีดูน่ารัก แต่สำหรับแบ๊วมือใหม่หลายคนก็ พลาด กะไซส์แก้มผิดป่องเป็น
ปลาทองรักเร่ หรือไม่ ก็ ชิพกับเดลล์ เพิ่งผ่าฟันคุด ก็ถือว่าต้องฝึกกันอีก
เยอะ.. ได้ไม่ต้องกังวล เพราะถ้าแก้มยังทำให้คุณดูแบ๊วไม่สมใจละก็..ปาก ยังช่วย
คุณได้ ค่ะ
3. ปาก
ไม่ว่าตามปกติใครจะมีริม ฝีปากไซส์อ้อมพิยดา หรือจอยรินลณี ปากของ สาวแอ๊บแบ๊ว
จะถูกกำหนดให้มีริมฝีปากบนบางๆ แล้วยกเชิดขึ้นจนเห็นฟันคู่หน้า นิดๆ แบบอั้มพัช
ราภา/แตงโม/เมย์พิชนาฏ/ กิ๊บซ่า กิ๊บซี่ เกิร์ลลี่เบอรี่และดาราอีกเป็นสิบ คน
ที่ถ่ายรูปลงหนังสือกี่เล่มๆก็ทำปากแบบเดิมได้ตลอด เวลา ส่วนริม ฝีปากล่างขณะ
แอ๊บแบ๊วนั้นมีข้อบังคับว่า ห้ามเผยอออกมาจนห้อยย้อยแบบ โน๊ต เชิญยิ้ม เด็ดขาด
แต่ต้องเกร็งไว้นิดๆเบะคางให้ดูคล้ายแอบงอนใครมาหน่อยนึง และทีเด็ดคือต้องยิง
มุม ปากให้เบี้ยวไปข้างที่ถนัดข้างใดข้างหนึ่งพอประมาณหน้าแบ๊วที่ออกมาจะดู
แก่น เซี้ยวแสนซน และทำให้แอบคิดไปเองได้ว่า "ตอนนี้เราหน้าเหมือนโฟร์แล้วล่ะ
ตะ เอง.." อย่าลืม รักษารูปปากไว้ตลอดเวลาที่พูดคุยด้วยนะคะ เสียงที่ออกมาจะได้
อ้อม แอ้ม พูดไม่ชัด น่ารักน่าถีบ เอ๊ย! น่าจีบ ขึ้นอีกจมเลย
4. เสียง
เสียงเป็นอาการทางกายภาพข้อสุด ท้ายของโรคแอ๊บแบ๊ว เสียง มาตรฐานการแอ๊บแบ๊วคือ
เสียงเล็กๆ อู้อี้นิดๆ อ้อนหน่อยๆ ประมาณ น้องเบเบ้ หรือจิ๊บ ปกฉัตร อะไรแถบๆ
นี้ ใครที่เคยสอบอ่านร้อยแก้วร้อยกรองแล้วได้คะแนนเต็ม มา อาจจะต้องไป ตัดปลาย
ลิ้นตัวเองก่อน จึงจะออกเสียงแบ๊วๆแบบนี้ได้ น้ำเสียงที่นิยมแอ๊บแบ๊ว
คือ level ตั้งแต่ 2 เป็นต้นไป ทำ อย่างไรก็ได้ให้ผิดอักขระวิธีให้มากที่สุด เช่น
จริงเหรอ ออกเสียงเป็น จิ๊ง-ง๋ออออออ??
ใช่ไหม เป็น ชิเมะ? / ชิป้ะ? / ชิม้า?
ไม่เอา เป็น มิอาว ววว
คือว่า,เอ่อ เป็น คึ่ บั่บ / คึ่แบ๊บ / เอิ่ม / อึ่มมม
อะไรน่ะ เป็น อึ่หล่ายอ้ะ? เป็น ต้น
ตัวอย่างประโยค "อ้าว สวัสดีแก ไม่ได้เจอกันนานมาก คิด ถึงสุดๆ ไปกินข้าวที่
สยามกันมั้ย เดี๋ยวพี่ชายเราไปส่งล่ะ" เป็น "ฮั้ย! สัสดีแกร..มะได้เจ๊อกึนนาน
ม๊ากกก คิดถึ่งซูดซู๊ดดด ไปกินค๊าวที้ ซึ่หย่ามกึนเมะ เด๋วพี๊..ชายเราป้ะส่ง
แหละ"ฯลฯ
วิธีฝึกง่ายๆก็คือยืนหน้ากระจก ฝึกทำหน้าให้แบ๊วที่สุด แล้วลองอ่าน ข้อความ
เหล่านี้อัดเสียงใส่เทปเอาไว้ ถ้าเปิดฟังแล้วรู้สึกอยากกระโดดถีบตัวเองเมื่อ
ไหร่ แสดงว่าคุณผ่านการ "แอ๊บแบ๊ว" ระดับเบสิคได้ แล้วล่ะ
