ความภูมิใจกับ "โกวิทย์ ฝอยทอง" ในลีกเยอรมัน, กระทู้เก่าโดย PODOSKI MAN
คนไทยที่น่าปลื้มใจ โกวิทย์ ฝอยทอง ชื่อเล่นที่ทางบ้านจะเรียกว่า เอ๋ แต่เพื่อนๆ ในทีมชาติดรีมทีมจะเรียกว่า ซิกล้วย เนื่องจากเป็นคูหูกับ ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เพราะติดทีมชาติมาตั้งแต่รุ่น ยุวชนทีมชาติไทยอายุไม่เกิน 16 ปีด้วยกัน และมีใบหน้าคล้ายกับ น้ากล้วย เชิญยิ้ม จึงมีฉายาว่า ชิกล้วย ดังกล่าว โกวิทย์ เป็นเด็กหนุ่ม จากบ้านน้ำฆ้อง ตำบลพันดอน อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาเล่นฟุตบอลโดยเฉพาะ เขาไม่เคยผ่านการเล่นฟุตบอลให้ทีมจังหวัดอุดรธานีเลย ไม่ว่าจะเป็นระดับเยาวชนจังหวัด หรือ ระดับประชาชน โกวิทย์ได้เข้าคัดเลือกตัวลงเล่นฟุตบอลให้สโมสรทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่ส่งทีมลงแข่งขันในระดับถ้วย ค. ฝีเท้าของเขาเกิดเข้าตาบิ๊กหอย จนได้มีชื่อติดทีมยุวชนรุ่นไทยอายุไม่เกิน 16 ปี รุ่นเดียวกับ ซิโก้ และติดยาวมาจนถึงทีมชาติไทยชุดดรีมทีมในยุคนั้น เขาเป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทยคนเดียว ในประวัติศาสตร์ที่เล่นฟุตบอลถ้วยพระราชทานประเภท ค. ตลอดเวลาที่ติดทีมทีมชาติ เพราะไม่ต้องการจะย้ายออกจากสโมสรทรัพย์สินฯ อันเป็นสโมสรเดียวที่เขาได้สังกัดมาตลอด
ในปีที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดเอเชี่ยนเกมส์ที่กรุงเทพฯ โกวิทย์ ฝอยทอง ได้มีชื่อติดทีมชาติไทยเพื่อลงแข่งขันในครั้งนี้ด้วย แต่เขาขอถอนตัวเนื่องจากได้รับทุนจากสโมสรทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ให้ไปเรียนวิชาโค้ชกีฬาฟุตบอลที่ประเทศเยอรมัน โกวิทย์ได้เดินทางไปพักที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมัน ย่านที่ไปพักนั้นเขาเรียกว่า ย่านบาร์เยินมิวนิค และได้สมัครเข้าไปเรียนวิชาโค้ชฟุตบอล (สถาบันนี้จะสอนวิชาโค้ชทุกประเภทกีฬา) ที่สถาบันพลศึกษา แห่งหนึ่งของเมืองมิวนิค ที่มีลักษณะคล้ายกับสถาบันพลศึกษาของบ้านเรานั้นเอง คือบุคคลทั่วไปสามารถสมัครลงทะเบียนเรียนได้ ทางสถาบันจะแบ่งการสอนเป็น 2 แบบ อันได้แก่ การอบรมระยะสั้น (ประมาณ 1 เดือน) และการเข้าเรียนเป็นเกรด (เหมือนเป็นภาคเรียนในประเทศไทย) ซึ่งโกวิทย์ ได้สมัครเรียนแบบเป็นเกรด เขาเรียนจบระดับเกรด 3 คือ สามารถทำการฝึกสอนนักฟุตบอลระดับเยาวชนทีมชาติได้ แต่ไม่สามารถเป็นผู้ฝึกสอนสโมสรอาชีพได้ (วิทยา เลาหกุลจะได้ใบประกาศนียบัตรตัวนี้ จึงไปเป็นผู้ฝึกสอนที่ญี่ปุ่นได้) ผู้ที่เข้าไปเรียน จะต้องผ่านการสอบที่ละเกรด จึงจะสามารถเรียนต่อได้ในระดับเกรดต่อไป ผู้ที่ผ่านการสอบจะได้รับใบประกาศนียบัตรรับรองผล ที่สามารถนำไปใช้ได้ในทุกประเทศทั่วโลก
ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันนี้เอง ได้มีคนไทยที่เป็นรุ่นพี่ได้ให้คำแนะนำว่า โกวิทย์เป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย ควรจะไปสมัครเล่นฟุตบอลให้กับสโมสรฟุตบอลในเยอรมันที่มีอยู่มากมายทุกพื้นที่ จะได้ค่าจ้างเป็นการตอบแทน เป็นการเพิ่มรายได้ในช่วงเวลาที่อยู่เยอรมันด้วย โกวิทย์จึงไปคัดตัวที่สโมสร SV LOHHOF ซึ่งเป็นสโมสรกึ่งอาชีพในระดับ ลีกา 3 ทางโซนภาคใต้ แต่การจะเข้าไปเล่นฟุตบอลอาชีพที่เยอรมัน ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ จะต้องมีใบรับรอง ที่เป็นแบบฟอร์มของฟีฟ่า นำไปให้สโมสรต้นสังกัดในประเทศไทยโอนย้ายให้ และนำไปให้สมาคมฟุตบอลไทย ลงนามรับรองว่าเป็นนักฟุตบอลสังกัดประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง จึงจะมีสิทธิ์ลงทะเบียนเป็นนักฟุตบอลแข่งขันในลีกของเยอรมันได้
ระบบฟุตบอลลีกอาชีพของประเทศเยอรมันมีลักษณะเป็นแบบไหนบ้าง โกวิทย์ได้อธิบายให้ฟังว่า ประเทศเยอรมันเขาออกเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพเอาไว้เลย โดยการกำหนดในเรื่องของเงินเดือนค่าตอบแทนต่างๆ เอาไว้ชัดเจน ดังนั้นราคาค่าตัวนักฟุตบอลจึงไม่พุ่งสูงเหมือนในพรีเมืยร์ลีกของอังกฤษ เพื่อให้สโมสรน้อยใหญ่มีโอกาสเท่าๆ กัน แต่การจ่ายภาษีจากค่าตอบแทนในอาชีพนักฟุตบอลสูงเอามากๆ รัฐบาลเก็บถึง 48% เลยที่เดียว โกวิทย์ได้เงินเดือนจากการเล่นบอลเดือนละ 80,000 บาท หลังจากจ่ายภาษีแล้ว แทบไม่เหลือเพราะค่าครองชีพที่นั้นสูงเอามากๆ (เงินเดือน 20,000 บาทในกรุงเทพยังไม่พอใช้เลย) ฟุตบอลลีกอาชีพของเยอรมันจะประกอบไปด้วย 2 ดิวิชั่น คือ บุนเดสลีกา ที่พวกเราคุ้นเคยกันดี กับลีกา 2 ทีมสโมสรฟุตบอลที่จะได้ขึ้นไปเล่นยังลีกา 2 จะต้องเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพเท่านั้น ทางสมาคมฟุตบอลของเยอรมันจะวางกฎระเบียบเอาไว้ ส่วนฟุตบอลลีกของลีกา 3 จะเป็นการแข่งขันสโมสรฟุตบอลกึ่งอาชีพ (เซมิโปรฯ) ร่วมกับสโมสรฟุตบอลอาชีพ สโมสรฟุตบอลของบาร์เยินมิวนิค ก็มีทีมลงเล่นในฟุตบอลลีกา 3 โดยใช้ชื่อว่า ทีมบาร์เยินมิวนิค หากทีมนี้ได้สิทธิ์ขึ้นเล่นในลีกา 2 ทีมบาร์เยินทีมนี้จะสละสิทธิ์ให้ทีมลำดับถัดไปขึ้นไปแทน
รูปแบบการจัดการแข่งขันฟุตบอลลีกของลีกา 3 จะแบ่งออกเป็น 2 โซนคือ โซนภาคเหนือ เช่น เมืองฮัมบูร์ก ที่เราเคยได้ยินว่าทีมสิงห์เหนือ กับโซนทางภาคใต้ เช่น มิวนิค ที่เราเคยได้ยินว่า เสือใต้ สโมสรฟุตบอลที่ร่วมเล่นในฟุตบอลลีกลีกา 3 แต่ละโซนจะมีประมาณ โซนละเกือบ 30 ทีม เพราะประเทศเยอรมันมีสโมสรฟุตบอลมากมาย มีทุกหมู่บ้านทุกชุมชน เหมือนกับร้านโชห่วยในเมืองไทย ทีมแชมป์ของภาคเหนือและภาคใต้ มีสิทธิ์ขึ้นไปเล่น ลีกา 2 (ยกเว้นขอสละสิทธิ์ เพราะไม่ต้องการเป็นสโมสรอาชีพ) ทีมรองแชมป์ของภาคเหนือและใต้ มาแข่งเพลย์ออฟเพื่อหาทีมที่ 3 ขึ้นไปยังลีกา 2
ดิวิชั่นที่ต่ำกว่า ลีกา 3 ลงไป จะเป็นลีกท้องถิ่น จะเป็นสโมสรฟุตบอลสมัครเล่นและสโมสรฟุตบอลกึ่งอาชีพ ร่วมแข่งขันกัน ในแต่ละลีกท้องถิ่นนั้นจะประกอบไปด้วยทีมสโมสรในเมืองที่อยู่ใกล้ๆ กัน 2 3 เมืองรวมตัวกันขึ้นมาเป็นลีกฟุตบอล (ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล) นอกจากนั้นยังมีฟุตบอลลีกระดับเยาวชน ที่มีลักษณะเหมือนลีกท้องถิ่น คือเป็นการแข่งกันระหว่างเมืองใกล้ๆ ลีกของเยวชนจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ ลีกเยาวชนอายุไม่เกิน 13 ปี (มีหลายสิบลีกทั่วประเทศ) ลีกเยาวชนอายุไม่เกิน 16 ปี และลีกเยาวนชนอายุไม่เกิน 19 ปี ซึ่ง สองลีกหลังนี้ส่วนมากจะเป็นลีกการแข่งขันของทีมเยาวชนในสโมสรฟุตบอลอาชีพดังๆ เยอรมันเข้าจะเน้นการแข่งขันแบบฟุตบอลลีกเหย้าเยือน โกวิทย์บอกว่าเป็นการพัฒนาทักษะฟุตบอลได้ดีกว่าเล่นฟุตบอลลีกในสนามเป็นกลางมาก
มาดูสโมสรฟุตบอล SV LOHHOF ที่โกวิทย์ได้ลงเล่นให้บ้าง สโมสรนี้เป็นแบบกึ่งอาชีพเพราะ นักฟุตบอลส่วนหนึ่งที่เป็นชาวเยอรมันเองจะมีงานประจำทำ เช่นเป็นทนายความ วิศวกร ครู นักฟุตบอลกลุ่มนี้จะฝึกซ้อมเฉพาะช่วงเย็นของแต่ละวัน นักฟุตบอลอีกกลุ่มหนึ่งของสโมสรจะเป็นพวกนักฟุตบอลอาชีพ ส่วนมากจะเป็นนักฟุตบอลจากต่างประเทศ มาจากอาฟริกาเป็นส่วนมาก คนผิวดำพวกนี้เขาจะไม่ทำอาชีพอื่นเลย นอกจากตระเวณเล่นฟุตบอลให้กับสโมสรต่างๆ ทั่วประเทศเยอรมัน กลุ่มนักฟุตบอลอาชีพของสโมสร จะลงฝึกซ้อมวันละ 2 รอบคือเช้า กับบ่าย (สโมสรฟุตบอลอาชีพมีการซ้อม 2 รอบเหมือนกันทุกที่) คือรอบเช้า 2 5 โมงเช้า รอบบ่าย เริ่ม บ่ายสามโมง ถึงหกโมงเย็น ส่วนการแข่งขันจะทำการแข่งขันในวันเสาร์และอาทิตย์ มีกลางสัปดาห์บ้างเป็นบางครั้ง แฟนบอลของสโมสรก็มีไม่มาก ประมาณนัดละ สามพันคนโดยเฉลี่ย
มาพูดถีงระบบการหารายได้ของสโมสร SV LOHHOF กันบ้าง รายได้หลักของสโมสรมาจากค่าบัตรผ่านประตู ผมได้ถามโกวิทย์ว่า จะต้องมีแฟนบอลตีตั๋วเข้าชมเท่าไหร่สโมสรถึงจะอยู่ได้จากค่าบัตรผ่านประตู คำตอบที่ผมได้รับคาดไม่ถึงเลยจริงๆ โกวิทย์บอกว่า ขอให้มีแฟนบอลได้จ่ายค่าบัตรผ่านประตูเข้าไปชมเกมส์ในสนามนัดละ 500 คนขึ้นไป สโมสรก็สามารถอยู่รอดได้แล้ว คนไทยเราได้ดูฟุตบอลเยอรมันทางทีวี เห็นคนดูในสนามนับหมื่นคนขึ้นไป จึงพากันเข้าใจผิดว่า จะต้องมีคนดูในสนามจำนวนนับหมื่นฟุตบอลอาชีพจึงจะเกิดขึ้นได้ ความจริงมันไม่ใช่ สโมสรฟุตบอลแต่ละสโมสรจะมีรายรับเข้าสโมสรไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนเช่น การทำร้านค้าขาย หรือจำหน่ายสินค้าแต่ละร้านจะมีรายรับไม่เท่ากันในการจะทำให้ร้านอยู่รอดได้ ห้างบิ๊กซี แม็คโคร โลตัส ต้องมีรายรับวันละหลายแสนห้างถึงจะอยู่ได้ แต่ร้านขายข้าวแกง หรือร้านก๊วยเตี๋ยว มีรายได้วันละไม่กี่ร้อยบาทก็สามรถอยู่รอดได้เหมือนกัน
สโมสรบาร์เยินมิวนิค จะต้องมีแฟนบอลตีตั๋วเข้าไปชมเกมส์ในสนามสัปดาห์ละ 30,000 คน จึงจะสามารถหล่อเลี้ยงสโมสรให้อยู่รอดได้ เพราะนักฟุตบอลแต่ละคนได้รับเงินเดือนที่แสนแพง แต่ถ้าหากเป็นสโมสรระดับธรรมดา จะรู้ได้ไงว่าจะต้องมีแฟนบอลเท่าไหร่สโมสรจึงจะอยู่ได้ โกวิทย์บอกว่า คำนวณง่ายๆ จาก อัตราค่าจ้างแรงงานในประเทศนั้นๆ ที่สามารถทำให้ทุกคนมีชีวิตอยู่ได้ ในการทำงานในอาชีพอื่นๆ ยกตัวอย่างประเทศไทย เงินเดือนของข้าราชการที่เรียนจบปริญญาตรี คือ 7,630 บาท (เปรียบได้กับนักฟุตบอลที่ลงเล่นในสนามได้เลยไม่ต้องสอนอเะไรเพิ่มเติม) หากจบระดับ ปวส. ได้รับเงินเดือนประมาณ 6,000 บาท จบปวช. เงินเดือนประมาณ 5,000 บาท นี้คืออัตราค่าจ้างขั้นต้นง่ายๆ ว่าในบริษัทของเราจะจ้างพนักงานที่จบปริญญาตรีกี่คน จบ ปวส.กี่คน ปวช. กี่คน นักเตะระดับดาราที่มีเงินเดือนหลายหมื่น ในสโมสรหนึ่งๆ มีไม่เกิน 3 คนหรอกครับ เอาไว้เป็นนักเตะแม่เหล็กดึงแฟนบอลเข้าสนามเท่านั้นเท่านั้น (เหมือนนักร้องนำของวงดนตรี หรือพระเอกนางเอกในภาพยนต์ ดังนั้นทุกสโมสรจะต้องมี) ถ้าหากเป็นนักเตะต่างชาติฝีเท้าดี ค่าจ้างจะไม่แพง แต่ดึงแฟนบอลได้เป็นอย่างดี สโมสรเยอรมันจึงชอบมาก จึงมีนักเตะต่างประเทศเดินกันให้เกลื่อน
นอกจากรายได้หลักจากค่าบัตรผ่านประตูแล้ว สโมสรในระดับ ลีกา 3 จะได้รับเงินอุดหนุนจากสมาคมฟุตบอลเยอรมันทุกทีม เป็นเงินในการเตรียมทีม ผมเพิ่งรู้วันนี้เองว่า การที่ กกท. แจกเงินให้สโมสรฟุตบอลโปรลีก คนละ 500,000 บาทนั้น โกวิทย์บอกว่าเป็นการถูกต้องแล้ว แต่เงินรางวัลโปรลีก 10 ล้านบาท โกวิทย์ไม่เห็นด้วย โกวิทย์เคยคัดค้านในที่ประชุมโปรลีกมาแล้ว ว่าเงินรางวัลควรเฉลี่ยให้แต่ละทีมได้รับให้มันใกล้เคียงกัน มันจึงจะเกิดประโยชน์ในการพัฒนาทีม นอกจากเงินอุดหนุนจากสมาคมฟุตบอลเยอรมันแล้ว ทางสโมสร SV LOHHOF มีการจัดทำสโมสรให้เป็นที่พบกันเพื่อพูดคุยเรื่องฟุตบอลของสโมสร คนเยอรมันชอบกินเบียร์มากจึงมีสถานที่นั่งกินเบียร์ ขายของที่ระลึก ทำเป็นสโมสรสำหรับพบเจอกันดังกล่าว
รายได้จากการขายนักฟุตบอลของสโมสร มันเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนมาก นักฟุตบอลจะมีรายได้จากเงินเดือนของสโมสรที่ตนเองเล่นฟุตบอลให้เท่านั้น แต่สโมสรฟุตบอลจะมีรายได้จากการซื้อขายนักเตะที่สังกัดสโมสรของตนเอง ตลอดทุกครั้งที่มีการซื้อขายนักเตะคนนั้นๆ โดยจะมีการแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ให้สโมสรต่างๆ ที่นักเตะคนนั้นเคยสังกัดมา มีลักษณะเหมือนกับการขายสินค้า ประเภทขายตรง เช่น การขายแอมเวย์ ในบ้านเรานั้นละครับ ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ง่ายๆ เอย่างเช่น
โกวิทย์ ฝอยทอง เล่นฟุตบอลครั้งแรกที่สโมสรฟุตบอลอุดรธานี เมื่อโกวิทย์ ย้ายจากสโมสรฟุตบอลอุดรธานี ไปสังกัดสโมสรทรัพย์สินฯ ใน กรุงเทพมหานคร ค่าตัวที่สโมสรทรัพย์สินฯ จ่ายให้กับสโมสรฟุตบอลอุดรธานี จำนวน 100,000 บาท สโมสรฟุตบอลอุดรธานี จะได้รับคนเดียว ส่วนโกวิทย์ก็ได้รับเงินเดือนในการเล่นฟุตบอลจากสโมสรทรัพย์สิน
โกวิทย์ได้ย้ายจากสโมสรทรัพย์สินฯ ของประเทศไทย ไปเข้าสังกัด สโมสร SV LOHHOF ของประเทศเยอรมัน ราคาค่าซื้อตัวนักเตะที่สโมสร SV LOHHOF จ่ายให้ สโมสรทรัพย์สินฯ จำนวน 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) จะต้องแบ่งให้สโมสรฟุตบอลอุดรธานี 10% ตามสัญญา ที่เรียกกันว่า ออฟชั่น ที่เซ็นต์กันไว้เมื่อทำการซื้อขายกันครั้งแรก ดังนั้นในครั้งนี้ สโมสรฟุตบอลอุดรธานี จะได้รับเงิน 100,000 บาทจากการซื้อขาย ส่วนโกวิทย์ จะได้รับเพียงเงินเดือนจากสโมสร SV LOHHOF
ในฤดูกาลต่อมา สโมสรบาร์เยินมิวนิค มีความสนใจอยากจะได้ โกวิทย์ไปเป็นนักฟุตบอลร่วมสังกัด จึงขอซื้อในมูลค่า 100,000,000 บาท (หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน) สโมสร SV LOHHOF จะต้องแบ่งค่าตัวของโกวิทย์ ให้สโมสรทรัพย์สิน 20% ให้กับสโมสรฟุตบอลอุดรธานี 10% ด้วย ดังนั้นในการซื้อขายครั้งนี้ สโมสร SV LOHHOF จะได้รับเงิน 70 ล้านบาท สโมสรทรัพย์สินฯ จะได้รับส่วนแบ่ง 20 ล้านบาท สโมสรอุดรธานี จะได้รับส่วนแบ่ง 10 ล้านบาท ส่วนโกวิทย์ไปรับเงินเดือนของสโมสรบาร์เยินมิวนิค
ดังนั้นสโมสรฟุตบอลอาชีพในต่างประเทศจึงสามารถที่จะอยู่รอดได้ แล้วถามโกวิทย์ไปว่า ฝีเท้าของนักเตะไทย หากไม่ใช่ระดับทีมชาติเหมือนโกวิทย์แล้ว จะไปค้าแข้งในเยอรมันได้ไหม ได้รับคำตอบว่า ฟุตบอลสไตล์เยอรมัน เล่นง่ายและเหมาะสมกับคนไทย เพราะเป็นการเล่นฟุตบอลกับพื้น เน้นระบบทีมเวิร์ค เป็นการเล่นฟุตบอลแบบใช้สมองใช้จินตนาการมากกว่าจะใช้กำลังแบบฟุตบอลอังกฤษ จึงมีนักฟุตบอลจากเอเซียเข้าไปเล่นในลีกเยอรมันมากมาย แล้วทำไมสมาคมฟุตบอลไทยจึงพยายามผลักดันให้นักฟุตบอลไทยไปอังกฤษ โกวิทย์บอกว่า เป็นการเกาะติดกระแสของมวลชนชาวไทยไง เห็นคนไทยชอบดูฟุตบอลอังกฤษจึงต้องการหวังผลทางการตลาดมากว่า อย่างเช่นการส่งซิโก้ ไปอังกฤษ หรือส่งลีซอไปเรียนอังกฤษ ใครได้ผลกำไร รู้กันอยู่ อย่างที่โกวิทย์ไปเล่นเยอรมันตั้งหลายปี วิทยาไปเล่นเยอรมันตั้งหลายปี ไม่มีข่าว และไม่มีใครสนใจจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติเลย
http://www.bbznet.com/scripts2/view.php?...r=numtopic
http://www.thaigermanfanclub.com/commun ... owtopic=83
กระทู้เก่าโดย PODOSKI MAN
http://germanfanclub.ontflash.com/commu ... p?tid=1574