
สากกะเบือคนนี้ผลิตประตูไปแล้วถึง 19 ประตูในลีก เทียบเท่ากับไอ้เจ็ตโด้แล้วนะ
สากกะเบือนั้น เป็นอุปกรณ์ครัวเรือนที่มักจะใช้นิยมในการตำร่วมกับครบ โดยสามารถตำได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกเอย ส้มตำเอย แล้วแต่ว่าอยากจะตำอะไร แต่ถ้ามองกลับกันมาในโลกของลูกหนังแล้ว คำว่า 'สากกะเบือ' นั้น จะมอบให้กับตำแหน่งศูนย์หน้าที่สามารถทำประตูได้น้อยกว่ากองหลังของทีม ใช้โอกาสเปลืองเป็นว่าเล่น ยิงเท่าไหร่ก็ยิงไม่เข้า เหมือนอาการกระสุนด้านอย่างไงอย่างนั้น
เอ็มมานูเอล อะเดบายอร์ คงไม่ดีใจแน่ๆ ที่เหล่าบรรดาแฟนปืนใหญ่ทั้งหลาย รวมทั้งแฟนผีบางส่วนด้วย ต่างพากันพร้อมใจเรียก ไอ้บ้ายอ กันว่า 'สากกะเบือ' ทั้งๆ ที่ผลงานและฟอร์มการเล่นในฤดูกาลนี้จะตรงข้ามกับฉายาโดยสิ้นเชิง หรืออาจจะเป็นความหมั่นไส้เล็กๆ น้อย ที่ฝีเท้ามาก่อนหน้าตา ในฉบับแบบนักฟุตบอลโซนแอฟริกัน หรือไม่ก็ผลงานจากฤดูกาลที่แล้ว ที่ยิงประตูทุกรายการรวมกันได้ 12 ประตู จากการลงสนาม 44 นัด!

อะเดบายอร์อาจจะสืบทอดตำแหน่งคานู(ซ้าย)ไปในตัว ไม่เชื่อลองดูจากหน้าตา และทรงผมดิ
จะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ณ ปัจจุบัน ตอนนี้ เวลานี้ อดีตสากกะเบือปืนโตผู้นี้ กำลังครองจ่าฝูงทำเนียบดาวซัลโว ร่วมกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกขวาชาวโปรตุกีสหุ่นทรมานใจเกย์ ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ 19 ประตูด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะยิงประตูในบอลถ้วยน้อยกว่า โรนัลโด้ แต่ขณะนี้ ทีมของเขาอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูง นำห่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ 5 คะแนนด้วยกัน โดยตอนนั้น ทั้งสองทีมแข่งไปทั้งหมด 26 นัดแล้ว นั่นแปลว่ายังเหลืออีก 12 นัดกันให้ลุ้นแชมป์กันต่อไป
ลักษณะการเล่นของอะเดบายอร์นั้น จัดว่า เป็นศูนย์หน้าที่มีความเร็ว ทั้งๆ ที่ตัวสูงโย่งถึง 193 เซ็นติเมตร ก็ตาม และมีทักษะและลีลาจัดจ้าน เสมือนเอาเธียรี่ อองรี ผสมฟิวชั่น ร่วมกับ เอ็นวาโก้ คานู เข้าด้วยกัน และแล้วทุ่งข้าวสาลี ก็เลยออกมาเป็น โกโก้ ครั๊นช์ เอ้ย! ออกมาเป็น เอ็มมานูเอล อะเดบายอร์ ผู้สืบทอดตำแหน่งเสื้อหมายเลข 25 ของ เอ็นวาโก้ คานู นอกจากนี้ไม่พอ รูปร่าง ลักษณะ และหน้าตา ดันเหมือนกันเกือบทุกประการ แต่อะเดบายอร์หนุ่มกว่า 10 ปี ไม่เชื่อก็ลองดูรูปเปรียบเทียบสิ

นี่ไง สากกะเบือของแท้ และแน่นอน ที่สามารถหาดูชมได้ในปัจจุบัน
เมื่อเห็นผลงานของอะเดบายอร์แล้ว ก็อย่าไปว่าเขาว่าเป็นสากกะเบือซะอีกล่ะ ส่วนที่สากกะเบือจริงๆ และเป็นคนที่ได้รับความสนใจจากแฟนบอล (?) มากที่สุดในโลก ก็หนีไม่พ้น.....เดิร์ก....เค้าท์ (อีกแล้วครับท่าน) ณ แอนฟิลด์ ที่สามารถยิงนกตกปลาได้เป็นประจำมาตลอดช่วงครึ่งซีซั่นที่ผ่านมา จนทำให้โอกาสทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีก สูงขึ้นตามลำดับ โดยสังเกตุได้จากอัตราต่อรองของบริษัทรับพนันถูกกฏหมายของอังกฤษ ให้ราคาเย้ายวนใจที่ 50 ต่อ 1 (แทง 1 จ่าย 50) ซึ่งราคาดีแบบนี้ ก็หมายความว่า โอกาสที่จะได้ มันน้อยใช่ไหมล่ะ (ฮา)
กลับมาที่เรื่องศูนย์หน้าชาวโตโก กันต่อ ซึ่งฤดูกาลนี้ การเก็บชัยชนะทุกๆ นัดของอาร์เซน่อล ต้องยอมรับว่า อะเดบายอร์ ผู้นี้ มีส่วนเป็นอย่างมาก ซึ่งบทบาทจะผิดแตกต่างจากฤดูกาลที่แล้ว โดยการยืนเป็นคู่ศูนย์หน้ากับ เธียร์รี่ อองรี (ก่อนที่จะเจ็บยาว และแพ็คข้าวของไป คัมป์ นู) และ โรบิน ฟาน เพอร์ ซี่ และการปรับหมากเกมรุกของอาร์แซน เวนเกอร์ ในปีนี้ ก็อาจจะทำมาเพื่อ อะเดบายอร์โดยเฉพาะ ซึ่งมีความถนัดในลูกกลางอากาศเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ดร็อกบา คือศูนย์หน้าตัวเป้าในอดุมคติของผู้จัดการทีมทั้งหลาย
แต่ถ้าเทียบกับดิดิเย่ร์ ดร็อกบา แล้ว อะเดบายอร์ มีข้อด้อยต่างจากไอ้แมลงสาปนี้อีกเยอะ โดยเฉพาะความแข็งแกร่งในการเบียด และบังบอลนั้นสู้ศูนย์หน้า ไอวอรี่ โคสต์ ผู้นี้ไม่ได้เลยเพราะอดีตนักเตะทีมโมนาโกผู้นี้ จะต้องคอยการเปิดบอลที่ยอดเยี่ยมจากเพื่อนๆ อยู่ตลอดเวลา ขณะที่ดร็อกบานั้น สามารถลุยขึ้นไปเองก็ยังได้ด้วย ซึ่งองค์ประกอบปัจจัยโดยรวมแล้ว ดร็อกบากับอะเดบายอร์ แทบไม่มีความแตกต่างในสไตล์การเล่น และตำแหน่งยืน แต่ความสามารถเฉพาะตัว ดร็อกบาเหนือกว่า
ถึงอย่างไรก็ตาม ฤดูกาลนี้ ดร็อกบา แทบจะไม่ค่อยได้แสดงพิษสงมาให้เห็นมากมายเหมือนฤดูกาลก่อน ด้วยเนื่องมาจากอาการบาดเจ็บรบกวนเป็นระยะๆ และการไปเตะฟุตบอลทัวร์นาเม้นท์ของทวีปตัวเอง นั้น ทำให้ปีนี้ ไม่ค่อยจะยิงประตูได้ถล่มทลายเหมือนปีที่แล้ว รวมไปถึงอาจจะมีการแพ็คกระเป๋าเก็บข้าวของ ถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เพื่อไปตามหารักแท้ กับ โฆเซ่ มูรินโญ่ อดีตผู้จัดการทีมเชลซี ที่กำลังว่างงานอยู่ตอนนี้ กันต่อไป

สองนักเตะที่ต้องระวังมากที่สุดของอาร์เซน่อล ในขณะนี้ และเป็นการบ้านที่เฟอร์กี้ต้องมาแก้ไข
จุดเด่นของอะเดบายอร์หลักๆ นั้นก็จะเป็นที่ความเร็วในการกระชากและลากเลื้อย เป็นไปตามฟุตบอลสไตล์บุกเร็วสวนเร็ว ของอาร์เซน่อล ที่ใช้มาเป็นกลยุทธเด็ดโดยตลอด และสามารถเป็นกองหน้าตัวเป้าคอยโหม่งพักบอลจ่ายบอลให้เพื่อนๆ ได้ดีในระดับหนึ่ง ส่วนจังหวะการจบสกอร์นั้น จัดว่าค่อนข้างน่ากลัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ปีที่ผ่านมาของอาร์เซน่อลนั้น ถึงแม้จะทำผลงานแกว่ง และล้มเหลวในซีซั่นที่แล้ว แต่ก็พลิกโฉมตัวเองได้มาใหม่อีกทีในซีซั่นนี้ ซึ่งนักเตะแต่ละคนของอาร์เซน่อล มีการพัฒนาฝีเท้าแบบก้าวกระโดด ซึ่งไม่เว้นแต่ อะเดบายอร์ เองด้วย
วันเสาร์นี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมเปิดบ้านรับการมาเยือนของอาร์เซน่อล แต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ไม่วายแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คารัง จนทำให้อาร์เซน่อล ทำแต้มทิ้งห่างไปแล้ว 5 คะแนน และคราวนี้ก็จะต้องมาเจอกันในศึก เอฟเอ คัพ รอบที่ 5 ที่ได้เจอกันไวกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งแมนฯ ยูไนเต็ด เอง ต้องจำเป็นเขี่ยอาร์เซน่อล ให้พ้นทางไปให้ได้ เพื่อที่จะได้สร้างขวัญ และกำลังใจในการไล่ล่าแต้มตีตื้นอาร์เซน่อลกันต่อไป
อ้อ! ลืมไป หลังจากอาร์เซน่อล เจอกับ ยูไนเต็ด เสร็จแล้ว ก็จะเตรียมพบกับ เอซี มิลาน ใน ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก นัดแรก ซึ่งจะเล่นในบ้านของอาร์เซน่อล ซึ่ง เอซี มิลาน ในผลงานยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก ปีที่แล้ว ก็สามารถล้มทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล จนมีเพลงเชียร์ประจำสโมสรเพิ่มอีก 2 เพลง นั่นก็คือ 'ผีกาก้า' และ 'ผีปิ๊บโป้'
เรามาดูกันว่า จะมี 'ผีปาโต้' เกิดขึ้นมาใหม่อีกหรือเปล่า?