
เวงเกอร์ กับ ลูกทีมตอนนี้ อยู่ในช่วงสภาวะที่เคร่งเครียด หลังฟอร์มบู่มาหลายนัดติดต่อกัน
ตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ นั้น ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังตามหลัง จ่าฝูงอย่างทีม อาร์เซน่อล ถึง 5 แต้ม ด้วยกัน หลังจากที่พ่ายแพ้กับทีมที่ไม่น่าจะแพ้อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมลูกไล่ร่วมเมือง ที่ตอนนี้ กำลังโชว์ฟอร์มฝืด หลังไม่ชนะใครมาเกือบสิบเกม แต่ก็ยังดีที่ชนะสเปอร์ส ได้ในเกมล่าสุด ซึ่งตอนนี้ สถานการณ์ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า เนื่องจากว่าขณะนี้ กลายเป็นว่าอาร์เซน่อล กำลังตามหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึง 3 คะแนนซะอย่างนั้น
มันเป็นแบบนี้ได้อย่างไรหว่า เพราะนี่เพิ่งผ่านเพียงแค่ 1 เดือนเศษๆ เท่านั้นเอง สามารถพลิกตารางคะแนนได้แบบพลิกความคาดหมาย จากเดิมที่อาร์เซน่อล เคยมีอยู่ 63 คะแนน และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มี 58 คะแนน ซึ่งมองถึงตรงนี้แล้ว ทำให้ยูไนเต็ด ออกจะเกิดอาการวิตกกังวลในการลุ้นแชมป์ เพราะการที่จะไล่ตามหลังจ่าฝูงถึง 5 แต้มนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเอาเสียเลย ยิ่งเป็นฟุตบอลลีกในสมัยใหม่ บวกกับฟอร์มอันร้อนแรงในตอนนั้น ของอาร์เซน่อล จึงเป็นทีมที่ถูกหยุดเอาได้ยาก

ตั้งแต่บ้ายอเปลี่ยนทรงผมมาใหม่ ก็ยิงประตู เอซี มิลาน ได้แค่ลูกเดียวเท่านั้นเอง
แต่หลังจากที่โดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถล่มแบบไม่ไว้หน้าถึง 4 ประตูต่อ 0 ใน เอฟเอ คัพ (ก่อนที่ยูไนเต็ด จะไปตกรอบกับปอร์ทสมัธ แบบน่าเจ็บใจ) คราวนี้ ผลงานของอาร์เซน่อล ก็เริ่มสะดุดลงเรื่อยๆ เริ่มจาก เสมอ เอซี มิลาน ใน ลอนดอน 0-0 เสมอกับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ 2-2 แถมเสีย ดูดู้ไปตลอดทั้งปี เสมอกับ แอสตัน วิลล่าแบบน่าแพ้ 1-1 ชนะเอซี มิลาน 2-0 ที่ซาน ซีโร่ และก็กลับมาเสมออีก 2 นัดรวด กับ วีแกน และโบโร่ กลายเป็นว่า ในพรีเมียร์ชิพ นี้ อาร์เซน่อล เสมอ 4 นัดรวด จึงทำให้เก็บแต้มได้เพียงแค่ 4 แต้มจาก 12 แต้มเต็ม ส่วน ยูไนเต็ดก็โกยแต้มได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย จนแซง อาร์เซน่อล ขึ้นจ่าฝูงอีกครั้ง
อะไรคือปัจจัยที่ทำให้อาร์เซน่อล ฟอร์มตกลงอย่างฮวบฮาบอย่างน่าใจหายอีกรอบ? คงจะหนีไม่พ้น จากการปะทะกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกนั่นแหละ เพราะเวลาที่ทีมปืนใหญ่จากนครลอนดอน กำลังจะยิงเป็นกระสุนปืนกล นั้น เมื่อเจอกับ ทีม ยูไนเต็ดครั้งใด ก็มักจะถูกหยุดสถิติ และสะดุดตัวเองไปซะอย่างนั้น ไม่เชื่อก็ต้องลองย้อนกลับไปดู สถิติไร้พ่าย 49 นัดเมื่อปี 2002 ดู นับตั้งแต่ แพ้ลีดส์ ยูไนเต็ด ก่อนที่จะทำสถิติไม่แพ้ใครมา 49 นัดและก็ต้องสะดุด เมื่อแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้น อาร์เซน่อล ก็ต้องพบกับฟอร์มอันสุดแสนระทม และมอบเข็มขัดแชมป์สถาบันพรีเมียร์ชิพ มาให้กับผู้ท้าชิงจากตำบล ซัลฟอร์ด ในที่สุด

กัปตันสมันน้อย คือ ฉายาที่ "ดร.พิว" มอบให้เป็นของขวัญ สำหรับ วิลเลี่ยม กัลลาส
จึงวิเคราะห์ได้ว่า อาร์เซน่อล นั้น กำลังอยู่ในช่วง Domino Effect (อีกแล้ว) เพราะหลังจากที่สะดุดกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีไร มักจะมีปัญหามาให้ได้ปวดหัวกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การเกือบเสียนักเตะไปชั่วชีวิต อย่าง เอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา เอย วิญญาณสากกะเบือ กลับร่าง อเดบายอร์ เอย รวมไปถึงการที่มีผู้นำของทีมที่ดีอย่าง วิลเลี่ยม กัลลาส ที่เป็นกัปตันทีมที่พึ่งพาได้จริงๆ หลังจากไปไดร์เป่าผมใส่ กาแอล คลีชี่ ที่ทำให้ทีมเสียจุดโทษในนาทีสุดท้ายกับเกมที่เจอกับ เบอร์มิงแฮม ก่อนที่ตัวเองจะงอแงเป็นเด็ก 3 ขวบ นั่งร้องไห้ กลางสนาม แบบไม่อายใคร
ปัจจัย ต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ อาร์เซน่อล เริ่มไกลห่างจากคำว่า "ผู้ท้าชิง" เข้าไปทุกที เนื่องจากส่วนประกอบต่างๆ เริ่มจะไม่สมประกอบเข้าเรื่อยๆ จากทีมที่ร้อนแรง ไม่เคยแพ้ใครมาง่ายๆ กลับมาทำแต้มทิ้งหกเรี่ยราดได้ตลอดทาง และไหนจะเจอกีบโปรแกรมอันสยองขวัญ เพราะหลังจากที่จะเจอกับ เชลซี ในสุดสัปดาห์นี้ อาร์เซน่อล ต้องอ้วกแตกอ้วกแตน เมื่อต้องเจอกับ ลิเวอร์พูล ทีมยักษ์ใหญ่แห่งเวทีฟุตบอลยุโรป ถึง 3 นัดติด!แบ่งเป็น พรีเมียร์ลีก 1 นัดและยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 นัด ถึงแม้จะมีโบลตัน วันเดอร์เรอร์ส คอยคั่นกลางก่อนที่จะไปเจอกับ ลิเวอร์พูล แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย

ฟาเบรกัส ปีนี้ฟอร์มร้อนแรงแค่ครึ่งฤดูกาลแรก ก่อนที่จะหายวับไปกับสายลม
นอกจากฟอร์มฝืดยังไม่พอ ยังส่งผลกระทบกับผู้เล่นบางคน อย่าง ฟรานเชส ฟาเบรกัส ที่โชว์ฟอร์มร้อนแรงสุดๆ ในช่วงต้นฤดูกาล ก่อนที่จะเริ่มถูกบดบังด้วยเงารัศมีของสากกะเบือเคลื่อนที่อย่าง อเดบายอร์ ถึงแม้ว่า เขาทั้งคู่จะมีชื่อทำประตูในสนาม ซาน ซีโร่ แต่การที่เสมอ 4 นัดรวดในพรีเมียร์ชิพ ฟอร์มของ ฟาเบรกัส นั้น ไม่เหมือนกับ ฟาเบรกัส ที่ทำให้ทีม อาร์เซน่อล พุ่งขึ้นทะยานเป็นผู้ท้าชิงแชมป์พรีเมียร์ ลีก อย่างเต็มตัวเอาเสียเลย

ปีนี้เป็นปีทองของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ "เจ็ตโด้" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียจริงๆ
ขณะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ นั้น ยังโชว์ฟอร์มได้ดีเป็นต่อเนื่องอย่างเรื่อยๆ และตอนนี้ ทำประตูรวมกันทุกรายการถึง 33 ประตูเสียแล้ว และใกล้จะทำลายสถิติ ของ รุด ฟาน นิสเตลรอย ในพรีเมียร์ชิพ ที่เคยทำไว้ที่ 25 ประตู แต่ดูเหมือนจะห่างไกลสถิติ ยิงทุกรายการของเพชรฆาตหน้าม้า ที่ทะลึ่งยิงไปทุกรายการรวมกัน 44 ประตู ถึงอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ โรนัลโด้ ก็ทุบสถิติของปีกพ่อมด ผู้ล่วงลับ อย่าง จอร์จ เบสต์ ที่ทำประตูได้สูงสุดทุกรายการรวมกัน ถึง 32 ประตู โดยไม่ใช่กองหน้า ในฤดูกาล 1967-1968
แต่สถิติยิงในลีกของโรนัลโด้ ยังห่างไกลกับเทพบุตรจากกรุง เบลฟาสต์ เพราะ จอร์จี้ เบสต์ ซัดในลีกไปถึง 28 ประตูด้วยกัน เป็นดาวยิงสูงสุดที่ไม่ใช่กองหน้า ในลีก ส่วนโรนัลโด้ เพิ่งจะยิงไปแค่ 24 ประตู แต่ต้องไม่ลืมว่า ตอนนี้ เพิ่งจะเดือนมีนาคม และฤดูกาลยังไม่จบดี ยังเหลือเกมในลีกให้เล่นอีก 8 เกม และถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างน้อย 2 นัด และมากสุดคือ 5 นัด ปีนี้จะเป็นปีที่เราได้เห็นแชมป์ลีก กับ ดาวซัลโว หน้าใหม่ ที่ไม่ใช่กองหน้า แต่ดันทะลึ่งยิงเก่งกว่ากองหน้าเสียอีก!
บทสรุปแชมป์พรีเมียร์ ลีก ปีนี้ คงจะหนีไม่พ้นลูกไม้เดิมๆ ที่ให้อาร์เซน่อล เป็นผู้ท้าชิง กับ ยูไนเต็ดที่แข็งแกร่ง ก่อนที่ จะมอบแชมป์ให้อย่างแบเบอหลังจากสะดุดตัวเองหัวทิ่มแบบไม่น่าให้อภัย
ถึงคนดูจะเบื่อกับบทสรุปของพรีเมียร์ชิพแบบนี้ แต่พวกเราไม่เบื่อใช่ไหม?