ก่อนอื่นขอจั่วหัวด้วยชื่อภาคของ Star War ภาค 5 เลยละกันเห็นมันกำลังเข้ากับภาวะปัจจุบันดี....
โดยเรื่องราวของปิศาจแดง ตั้งแต่พฤศจิกายน คาบเกี่ยวมาถึงธันวาคม คงเป็นช่วงเวลาที่อยากจะลืมเสียจริงๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆ ไล่ตั้งแต่ปัญหาวุ่นๆ ภายในแคมป์ ในกรณีอดีตหัวโจกออกมาวิพากษ์บรรดานักเตะยังเติร์กในทีมหลังพ่ายอัปยศต่อเดอะโบโร่ และความที่ไม่กินเส้นกับเคยรอซ ทำให้ต้องจำจากเนรเทศตัวเองออกไปเพราะอาการคับใจอย่างรุนแรง เข้าข่าย คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ไม่ได้แล้วเว้ย!!
การสูญเสียยังมิอาจประเมินค่าได้ในเวลานี้ หากยังไม่สามารถหาใครสักคนมาทดแทนการขาดหายไปของลูกพี่รอย เคราะห์ซ้ำกรรมซัด จอร์จ เบสต์ ปีกพ่อมดเทพมหาภัย ก็ต้องถึงคราวสิ้นลมจากไปแล้วจริงๆ ถึงใครหลายๆ คนอาจจะทำใจพร้อมกับเผยความรู้สึกออกมาว่า "โอวว์ พระเจ้าจอร์จ มันรอดยาก" ไว้แล้วก็ตามที
เท่านั้นยังไม่พอสถานการณ์ในถ้วยใบเขื่องอย่างยูซีแอล หรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ไม่สู้ดีเท่าไร นัดสุดท้ายต้องไปวัดดวงในนัดสุดท้ายกับเบนฟิก้า ซึ่งในอดีตปิศาจแดงเคยดับซ่าทีมของ"เสือดำแห่งโมซัมบิก" ยูเซบิโอ มาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา ไล่ตั้งแต่ปี 1967 โดยต้อนไป 5-1 ก่อนที่นัดชิงยูโรเปี้ยน คัพ ปี 1968 จะย้ำแค้นได้อีกทีโดยพิชิตชัยไป 4-1 ซึ่งในยุคนั้น ขุนพลปิศาจแดงนำทัพโดยบุรุษท่านหนึ่งนามว่า จอร์จ เบสต์
ไม่ต้องพูดถึงผลในเกมคืนก่อนให้มากนัก หลังปราชัยไปอย่างเจ็บปวด 2-1 ทำให้หล่นไปอยู่อันดับบ๊วยของกลุ่ม แม้แต่ประตูสู่ถ้วยใบเล็กอย่างยูฟ่า คัพ ยังลงกลอนล็อกไว้อีกด้วย
"สาละวันสันเตี้ยลง...." เฟอร์กี้ บ่นเสียงอ่อย
ใกล้ถึงเพลาอวสานกันเสียทีกับอนาคตของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เชื่อว่าเกลเซอร์ คงจะเริ่มร่ายโครงการเพื่อการถอนทุนคืนแล้ว หลังจากต้องสูญเม็ดเงินจำนวนมหาศาลไปก่อนเวลาอันควร
ต้องรอดูว่าช่วงมกราคมนี้ เกลเซอร์ จะตัดสินใจยังไงว่าจะเชือดเนื้อตัวเองจัดสรรเม็ดเงินให้จับจ่ายเป็นงวดสุดท้าย หรือว่าจะบีบให้เฟอร์กี้ ยึดนักเตะชุดปัจจุบันต่อไปจนสิ้นฤดูกาล
หากดูสถานการณ์แล้วหลายคนอาจหนไปคิดถึงเมื่อ 2 ฤดูกาลที่แล้ว คราวที่อาณาจักรโรมัน ได้เข้ามาครอบงำสแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งผู้จัดการทีมสมัยนั้นคือ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ชาวอิตาเลี่ยน
อบราโมวิช แกโยนค่าขนมรายสัปดาห์ให้รานิเอรี่ จับจ่ายซื้อนักเตะดังๆ มาร่วมทีมไม่ให้ขาดมือ แต่ตั้งเป้าว่าจะต้องคว้าแชมป์มาให้ได้ไม่งั้น โดนเจี๋ยน!!
และแล้วก็เป็นเสือมือเปล่าเมื่อสิ้นฤดูกาล ซึ่งความจริงอบราโมวิช แกพยายามบีบให้ออกไปตั้งแต่วินาทีแรกที่เดินเข้ามาในสแตมฟอร์ด บริจด์ แล้วต่างหาก
กลับมาเรื่องของเราต่อ...ขณะนี้เรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับเชลซี เมื่อ 2 ปีก่อนก็เป็นได้ สมมตินะครับสมมติหากเกลเซอร์ ประกาศออกมาว่าจะเด้งเซอร์หลังจบฤดูกาลนี้ ไม่ว่าจะได้แชมป์พรีเมียร์ชิพ และเอฟเอ คัพ ก็ตาม ลองมาพิจารณากันเล่นๆ ดีกว่าว่าคนที่จะมาทำหน้าที่นี้จะเป็นใคร?
ตอนนี้ผมขอตัดกุนซือที่ประสบความสำเร็จในระดับยุโรปหลังจากดูจากลิสต์ที่เคยพาดหัวข่าวกับปิศาจแดง ดูก่อนนะครับ ก็มี... อ็อตม่า ฮิทซ์เฟล, ฟาบิโอ คาเปลโล่, อ็อตโต้ เรฮาเก้, สเวน โกรัน อีริคส์สัน และอีกหนึ่งคนจากแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลนี้ โดยตัดมูรินโญ่ กับเบนิเตซ ไปก่อนเลย ส่วนในรายของมาร์ติน โอนีล ยังไม่เข้าขั้นระดับฉกาจฉกรรจ์ในเวทีระดับยุโรป เกลเซอร์คงไม่อยากจะลองของเล่นๆ เป็นแน่
ในใจผมตอนนี้อยากให้เป็น ฮิทซ์เฟล ไม่ก็ คาเปลโล่ ถามว่าทำไมน่ะเหรอ?....
หากได้ ฮิทซ์เฟล ก็จะมีพลังในการดูด มิชาเอล บัลลัค ไม่มากก็น้อย...
หากเป็นคาเปลโล่ ก็อาจจะเหน็บเอาวิเอร่า มาอีกด้วย หลังจากเจ้าตัวเผยความนัยว่าอยากมารับช่วงต่อจากคีน หากว่าแฟนปิศาจแดง ยังให้อภัย....
สิ่งเหล่านี้มันก็เหมือนกับการซื้อเวลาและความสำเร็จให้ได้มาเร็วขึ้นโดยยึดหลักการของนักธุรกิจมะกัน ตอนนี้ล่ะ "ถึงเวลาเอาคืน" แต่ต้องเริ่มจากการโค่นตำแหน่งขั้วอำนาจเก่าในสโมสรลงเสียก่อน ตอนนี้ล่ะ อาจจะถึงเวลาเปลี่ยนแปลงสักทีก่อนที่หายนะจะมาเยือนยิ่งไปกว่านี้
ดังนั้นสรุปได้ว่าฤดูกาลนี้เป็น"ฝันร้าย"สำหรับใครหลายๆ คน แต่ช่วงนี้อากาศมันเย็นนะเพ่ เลยยังไม่อยากตื่น.......จบข่าว
*หมายเหตุ ....บางทีเกลเซอร์ น่าจะลองไปทาบทาม "โค้ชหรั่ง" อ.ชาญวิทย์ ผลชีวิน เลยเป็นไง ลองนึกภาพแกเข้ามาคุมทีมแมนฯ ยูฯ ดูนะครับ กับประโยคแรกที่แกอาจจะหล่นวจี อมตะ ออกมาบ้างว่า "คุณเคยเป็นแชมป์ซีเกมส์อย่างผมรึป่าว?...." เชื่อว่าอึ้งกิมกี่ ขี้เต็มเกง ไปตามๆ กัน