
สำหรับฤดูกาล 2014/15 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะลงเตะในชุดแข่งที่ 3 ตัวใหม่ซึ่งเป็นสีน้ำเงินแบบ 2 โทน เสื้อตัวนี้ได้แรงบันดาลใจจากชุดแข่งสีน้ำเงินของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงยุค 1980 เช่นเดียวกับชุดที่พวกเขาสวมใส่ในตอนคว้าแชมป์ยุโรปครั้งแรกเมื่อปี 1968
เสื้อ, กางเกง และถุงเท้าจะเป็นสีน้ำเงินสดที่ด้านหน้า โดยที่ด้านหลังนั้นจะเป็นสีน้ำเงินเข้มค่อนไปทางกรมท่า ที่จุดเชื่อมระหว่างทั้ง 2 สีนั้นจะมีแถบสีแดงพาดผ่าน ซึ่งเป็นสีที่สื่อถึงชุดเหย้าของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แถบสีแดงที่ว่านั้นเริ่มต้นลงมาตั้งแต่ปกคอเสื้อ, บริเวณไหล่, ด้านข้างของเสื้อ, กางเกง และยาวลงไปถึงถุงเท้า
สำหรับการออกแบบเสื้อแข่งแบบฝั่งละสีนั้นเคยมีมาก่อนแล้วในวงการฟุตบอล แต่นี่จะเป็นครั้งแรกที่จะมีการใช้แบบแบ่งด้านหน้า และด้านหลัง
เสื้อตัวนี้มีดีไซน์แบบใช้ปกคอโปโล มีกระดุม 3 เม็ดติดอยู่ที่แถบที่เป็นสีน้ำเงินเข้ม
ด้านในคอเสื้อจะมีป้ายเล็กๆ ที่มาพร้อมกับข้อความว่า "Youth, Courage, Greatness" (เยาวชน, ความกล้าหาญ, ความยิ่งใหญ่) ซึ่งสื่อความหมายถึงแก่นแท้ของสโมสร
ชุดแข่งที่ 3 ตัวใหม่นี้จะสามารถหาซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนเป็นต้นไป
นอกเหนือจากดีไซน์ใหม่จากทางไนกี้แล้ว ผู้ผลิตก็ยังได้คำนึงถึงผู้เล่นในแง่ของนวัตกรรมที่จะเสริมสร้างประสิทธิภาพ, เทคโนโลยี และการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย
ไนกี้ ดราย-ฟิต เทคโนโลยี
เทคโนโลยี ดราย-ฟิต จากไนกี้จะช่วยระบายเหงื่อจากร่างกายให้ระเหยออกจากเสื้อ และกางเกงอย่างรวดเร็ว มันจะช่วยให้นักเตะสร้างผลงานในสนามอย่างเต็มประสิทธิภาพโดยที่ยังรักษาความเย็น, ความแห้ง แถมยังสวมใส่สบายอีกด้วย
รูด้านข้างที่เจาะด้วยเลเซอร์นั้นถือเป็นจุดสำคัญสำหรับเสื้อแข่งตัวนี้ มันจะช่วยระบายอากาศไปยังร่างกายของนักเตะ และยังช่วยรักษาอุณหภูมิให้พร้อมสำหรับการลงเตะในสนามตลอดทั้ง 90 นาทีอีกด้วย
ชุดแข่งนี้ผลิตจากเส้นใยพิเศษที่ถักทอมาจากผ้าฝ้ายและโพลิเอสเตอร์ มันช่วยขจัดเหงื่อได้ดี, ให้ผิวสัมผัสที่นุ่มนวล และเหนือสิ่งอื่นใดคือมันมีความสวยงาม
การรักษาสิ่งแวดล้อม
ไนกี้ยังสานต่อแนวคิดรักษาสิ่งแวดล้อมซึ่งได้กลายมาเป็นหัวใจสำคัญของชุดแข่งจากทางบริษัทไปแล้ว มาคราวนี้มันก็ยังใช้โพลิเอสเตอร์แบบรีไซเคิลเช่นเคย นั่นทำให้ชุดแข่งนี้ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลงด้วย
ชุดแข่งนี้ทำขึ้นมาจากขวดพลาสติกรีไซเคิล สำหรับกางเกงจะมาจากโพลิเอสเตอร์แบบรีไซเคิล 100 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เสื้อจะมาจากโพลิเอสเตอร์แบบรีไซเคิล 96 เปอร์เซ็นต์ ส่วนถุงเท้านั้นอยู่ที่ 78 เปอร์เซ็นต์
เสื้อแข่งแต่ละตัวจะมาจากขวดพลาสติกรีไซเคิลโดยเฉลี่ย 18 ขวด และตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ไนกี้ก็ได้ใช้ขวดไปแล้วเกือบ 2 พันล้านขวดในการนำมาผลิตเสื้อแข่งออกวางจำหน่าย
จากการใช้วัตถุดิบแบบนี้ทำให้ไนกี้สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้สูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
รูปทรงกระชับได้รูปที่ได้รับการปรับปรุงใหม่
ไนกี้ได้ใช้ระบบสแกนแบบ 3 มิติจากร่างกายของนักฟุตบอลระดับโลกในการผลิตเสื้อแข่งแต่ละตัว โดยคราวนี้มันได้รับการปรับปรุงใหม่เพื่อให้เข้ารูปมากยิ่งขึ้น โดยรูปทรงแบบใหม่นี้จะทำให้นักเตะเคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กับชุดแข่งได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งนั่นจะส่งผลต่อความสบายและประสิทธิภาพของตัวนักเตะด้วย
ถุงเท้าไนกี้ อีลิท แมตช์ นั้นถูกดีไซน์ใหม่ ซึ่งมันได้ผลิตออกมาสำหรับกีฬาฟุตบอลโดยเฉพาะ
ทีมออกแบบของไนกี้ได้ไปพูดคุยกับนักเตะชั้นนำของโลกเพื่อมองหาความต้องการของพวกเขาเกี่ยวกับถุงเท้าในการเตะระหว่างเกม สำหรับถุงเท้าแบบใหม่นี้จะมีโซนกันกระแทกที่ออกแบบมาป้องกันบริเวณหัวแม่เท้าและบริเวณตาตุ่ม ซึ่ง 2 จุดนี้จะถูกกระแทกบ่อยที่สุด นอกจากนี้ก็ยังมีการออกแบบมาเพื่อป้องกันอาการลื่นที่ฝ่าเท้าด้วยเช่นกัน
มีการใช้วัตถุดิบน้อยชิ้นสำหรับถุงเท้าเพื่อสร้างผิวสัมผัสที่ดีสำหรับนักเตะ โดยร่องที่บริเวณส้นเท้า และส่วนหน้าของเท้านั้นถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันถุงเท้าย้วยลงมากองเป็นกระจุกนั่นเอง