ผู้จัดการทีม
|
Jose Mourinho
โชเซ่ มูรินโญ่
|
วันเกิด 26 มกราคม 1963 อายุ 61 ปี
สถานที่เกิด โปรตุเกส
|
|
น้ำหนัก - ส่วนสูง -
เซ็นสัญญา พฤษภาคม 2016 |
ถือว่าเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างยาวไกลเลยทีเดียว สำหรับผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคนใหม่อย่าง โชเซ่ มูรินโญ่
นี่คือชาวผู้ที่ก้าวขึ้นมาจากโค้ชในทีมฟุตบอลระดับโรงเรียน จนมาถึงสถานะที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้จัดการทีมที่โด่งดังที่สุดในโลก โดยคว้าแชมป์ลีกได้ใน 4 ประเทศ และยังคว้าเกียรติยศที่สูงที่สุดอย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกได้กับ 2 สโมสร และต่อจากนี้ไป เขาจะสร้างเรื่องราวของเขาต่อในโรงละครแห่งความฝัน
เขาคือลูกชายของผู้รักษาประตูทีมชาติโปรตุเกส เรียกได้ว่ามูรินโญ่มีสายเลือดนักฟุตบอลอยู่เต็มเปี่ยม แต่แทนที่เขาจะเดินตามรอยเท้าพ่อของเขาด้วยอาชีพค้าแข้ง เขากลับเลือกที่จะมุ่งมั่นทางด้านการเรียนแทน โดยศึกษาด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาในมหาวิทยาลัย ก่อนที่จะมาเป็นครูสอนในโรงเรียน ขณะเดียวกันก็รับงานเป็นโค้ชของทีมเยาวชนไปด้วย จากนั้นในปี 1992 เขาก็กลายมาเป็นล่ามให้กับ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ที่สปอร์ติ้ง ลิสบอน และทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้เขาได้ตามอดีตผู้จัดการทีมชาติอังกฤษไปทำงานที่บาร์เซโลน่าด้วยในปี 1996
ร็อบสันอำลาสโมสรกาตาลันในปีต่อมา แต่ทีมงานของเขาบางส่วนอย่างเช่นมูรินโญ่ก็ยังอยู่ทำงานที่คัมป์ นูต่อไป ภายใต้การคุมทีมของกุนซือคนใหม่อย่าง หลุยส์ ฟาน กัล ซึ่งมอบหมายให้เขารับผิดชอบการทำทีมชุดเอกับชุดบี ตำนานบาร์ซ่าอย่าง ชาบี ก้าวขึ้นมาพอดีในช่วงนั้น และเขาก็ประทับใจในตัวมูรินโญ่อย่างรวดเร็ว "เขายอดเยี่ยมมากตลอด 3 ปีที่บาร์ซ่า" ชาบีกล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ "มีคนพูดว่าเขาทำหน้าที่เป็นล่าม ไร้สาระสิ้นดี เขาเป็นผู้ช่วยโค้ชต่างหาก เป็นคนที่เข้าใจปรัชญาของบาร์ซ่าดี เขาได้รับการนับถือเป็นอย่างมากจากพวกนักเตะ ผมประหลาดใจที่เขาสร้างชื่อขึ้นมาด้วยการทำทีมในแบบเน้นเกมรับ เพราะว่าเขาไม่เคยเป็นแบบนั้นเลยตอนอยู่กับเรา"
ขณะที่ชื่อเสียงของเขาในวงการฟุตบอลเริ่มเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ มูรินโญ่ก็ได้กลับบ้านเกิดไปคุมทีมยักษ์ใหญ่ของโปรตุเกสอย่างเบนฟิก้าเมื่อปี 2000 มันเป็นการทำงานในช่วงระยะเวลาที่สั้นมาก แต่งานที่ 2 ของเขาในฐานะนายใหญ่ของอูนิเอา เด เลเรียนั้นถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จ
เอฟซี ปอร์โต้คือที่หมายต่อไป และมันก็กลายมาเป็นสรวงสรรค์ที่เขาได้สร้างขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาได้ทำให้ทางสโมสรถึงกับต้องสร้างห้องขึ้นมาใหม่เพื่อเก็บถ้วยแชมป์ที่เขาไล่ล่ามาได้ รวมถึงถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2004 ด้วย หลังจากที่มูรินโญ่คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพมาได้ในปีก่อนหน้านั้น โดยในเส้นทางสู่การคว้าชัยในถ้วยใหญ่ของยุโรป มูรินโญ่ก็ได้ทำการแนะนำตนเองต่อวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อเขาฉลองชัยแบบสุดบ้าคลั่งด้วยการวิ่งไปทั่วเส้นข้างสนามที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในเกมรอบน็อคเอาท์ที่เขี่ยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดตกรอบ
หลังจากที่เขาพาทีมจากโปรตุเกสไปถึงตำแหน่งแชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็เป็นเชลซีที่คว้าตัวเขาไปในช่วงซัมเมอร์ โดยเจ้าของทีมสิงโตน้ำเงินครามอย่าง โรมัน อบราโมวิช พร้อมที่จะจ่ายเงินให้ตามที่เขาต้องการ การแถลงข่าวเปิดตัวของเขาได้กลายมาเป็นประวัติศาสตร์ โดยได้เกิดประโยคเด็ดที่ทำให้เขาได้รับการขนานนามว่า 'สเปเชียล วัน' มาจนถึงทุกวันนี้ "ได้โปรดอย่ามองว่าผมเป็นคนจองหอง เพราะสิ่งที่ผมจะพูดนั้นเป็นเรื่องจริง" โชเซ่บอกกับนักข่าว "ผมคือแชมป์ยุโรป ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ไม่รู้ ผมคิดว่าผมคือสเปเชียล วัน"
แม้จะเป็นคำพูดที่ดูออกตัวแรง แต่เขาก็ทำได้ตามนั้นจริงๆ ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก 2 สมัยติดต่อกันในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เช่นเดียวกับแชมป์ลีก คัพ 2 สมัย และแชมป์เอฟเอ คัพ ปี 2007 (ซึ่งเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในนัดชิงฯ) ด้วยความสำเร็จขนาดนี้ ทำให้การอำลาทีมเชลซีของเขาเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ โดยเขาแยกทางกับทีมสิงห์บลูส์ครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2007 เพียงไม่กี่วันก่อนที่ทีมของเขาจะมาเยือนโอลด์ แทรฟฟอร์ด
งานถัดไปของมูรินโญ่ก็คือที่อินเตอร์ มิลาน ซึ่งในช่วงนั้นเขาสามารถพูดภาษาอิตาเลียนได้อย่างคล่องแคล่ว โดยที่เขาอ้างว่าใช้เวลาเรียนภาษาเพียงแค่ 3 สัปดาห์เท่านั้น ถือเป็นการเริ่มต้นด้วยความมั่นใจ และการคุมทีมในถิ่นซาน ซิโร่ของเขาก็ประสบความสำเร็จอีกครั้งด้วยการคว้าแชมป์เซเรีย อา 2 สมัย, โคปปา อิตาเลีย, ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียนา และแชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2010
เขายังมีความสัมพันธ์อันยอดเยี่ยมกับดาวยิงประจำทีมอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช อีกด้วย "เขาคือผู้นำของกองทัพของเขา" แข้งชาวสวีเดนเขียนเอาไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติส่วนตัว "แต่เขาก็ใส่ใจกับทุกคน เขาส่งข้อความหาผมเสมอ คอยถามว่าผมทำอะไรอยู่ มูรินโญ่เป็นคนในแบบที่คุณพร้อมจะตายเพื่อเขาได้เลย"
ปี 2010 มูรินโญ่ย้ายไปคุมทีมเรอัล มาดริด และก็ช่วยให้ทีมราชันชุดขาวที่ร้างแชมป์มานานโค่นบัลลังก์ของบาร์เซโลน่าภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ลงได้ แม้จะเป็นที่พูดถึงกันว่านี่เป็นงานที่กดดันที่สุดในวงการฟุตบอล และต้องเผชิญหน้ากับอีกทีมที่ว่ากันว่าเป็นชุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่โชเซ่ก็ยังเยือกเย็น แถมยังปล่อยประโยคเด็ดอีกครั้งให้กับนักข่าวด้วย
"ยิ่งกดดันผมก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น" เขากล่าว "ที่โปรตุเกส เรามีคำกล่าวกันว่า ยิ่งเรือใหญ่ขึ้น พายุก็จะยิ่งหนักขึ้น ถือว่าโชคดีสำหรับผม ที่ผมอยู่ในเรือใหญ่มาตลอด เอฟซี ปอร์โต้ถือว่าเป็นเรือใหญ่มากในโปรตุเกส, เชลซีก็เป็นเรือใหญ่ในอังกฤษ และอินเตอร์ก็เป็นเรือใหญ่ในอิตาลี ตอนนี้ผมอยู่ที่เรอัล มาดริด ซึ่งอาจจะเป็นเรือลำที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้"
เรอัลจบอันดับที่ 2 ในลา ลีกา ภายใต้การคุมทีมของมูรินโญ่เมื่อฤดูกาล 2010/11 แต่เขาก็คว้าแชมป์ได้ในครั้งต่อมาในฤดูกาล 2011/12 ซึ่งทีมของเขาได้สร้างสถิติสโมสรขึ้นมาด้วยการเก็บคะแนนได้ถึง 100 แต้ม และทำประตูในลีกไป 121 ลูก โดย 46 ลูกในนั้นมาจากลูกทีมเพื่อนร่วมชาติของเขาอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ตลอด 3 ฤดูกาลในลา ลีกา เขายังพาเรอัล มาดริดคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์ และสแปนิช ซูเปอร์ คัพ อีกอย่างละสมัย แต่ก็น่าผิดหวังที่มูรินโญ่ไม่สามารถพาทีมไปไกลเกินกว่ารอบรองชนะเลิศได้เลยในแชมเปี้ยนส์ ลีก ตลอดช่วงเวลาของเขาในถิ่นเบร์นาเบว
มูรินโญ่หวนกลับมาคุมทีมเชลซีอีกครั้งเมื่อปี 2013 ครั้งนี้เขาเรียกตัวเองว่าเป็น 'เดอะ แฮปปี้ วัน' และเขาก็สร้างทีมชุดใหม่ของเขาขึ้นมาอย่างรวดเร็วในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ในฤดูกาลที่ 2 ของเขากับสโมสร ซึ่งก็คือฤดูกาล 2014/15 ทีมสิงโตน้ำเงินครามคว้าแชมป์ลีกได้ด้วยคะแนนห่าง 8 แต้ม นอกจากนี้ก็ยังได้แชมป์แคปิตอล วัน คัพด้วย จากนั้นในฤดูกาลป้องกันแชมป์ เชลซีก็ต้องพบกับความยากลำบากเมื่อเก็บชัยชนะได้แค่ 4 ครั้งเท่านั้น จาก 16 นัดแรกในเกมพรีเมียร์ ลีก นั่นทำให้การคุมทีมเชลซีสมัยที่ 2 ของมูรินโญ่ต้องจบลงเมื่อเดือนธันวาคม 2015
ตอนนี้ หลังจากได้ไปพักผ่อนมาอย่างเต็มที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ชายผู้กระหายในชัยชนะอยู่เสมอ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เท่ากับว่าตอนนี้สโมสรที่มากด้วยประวัติศาสตร์ได้เซ็ตฉากเอาไว้พร้อมแล้ว เพื่อให้ชายผู้นี้ได้สร้างเรื่องราวขึ้นมาท่ามกลางแสงสปอตไลท์ในอีกวาระ
|
มูรินโญ่ แถลงข่าวก่อนเกมเอฟเอ คัพ
สัมภาษณ์ โชเซ่ มูรินโญ่ หลังต่อสัญญาคุมทีมอีก 1 ปี
|
|
|
|
|